มีนาเดินไปตามเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังละแวกร้านอาหาร สอดส่ายสายตามองหาผู้ชายคนนั้นไปทั่ว เมื่อไม่เห็นจึงได้แวะไปถามป้าเจ้าของร้านอาหารทั่วไปที่คังยูไปสร้างเรื่องมาวันนี้ พอได้รับคำตอบว่าไม่เห็นกลับมา หญิงสาวก็เริ่มไปถามตามร้านรวงอื่นๆ
ถามไปถามมาก็แทบจะถามทุกร้านเลยทีเดียว ซ้ำยังเดินไปไกลจนถึงสี่แยกอีกถนนที่อยู่ทางด้านหลังอพาร์ตเมนต์ของเธออีกด้วย
สงสัยวันนี้คงจะต้องถอดใจแล้ว ได้รับแต่คำปฏิเสธอย่างนั้น คังยูคงจะไปไหนต่อไหนแล้วล่ะ
มีนาตั้งใจว่าจะกลับที่พักด้วยเห็นว่าเริ่มดึกมากขึ้นทุกที ทว่าเสียงเบรกดังเอี๊ยดของรถที่ลอยมาเข้าหูก็ทำให้เธอต้องหันไปมองยังต้นเสียง มันเป็นสัญชาตญาณโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องระมัดระวังภัยเมื่อได้ยินเสียงดัง ทว่าสำหรับมีนามันไม่ได้เป็นเพียงสัญชาตญาณตามธรรมชาติอย่างเดียว ยังมีลางสังหรณ์ประหลาดๆ ที่แผ่วาบเข้ามาในหัวอีกด้วย ได้สติอีกทีก็ต้อนได้ยินเจ้าของรถคันนั้นเปิดประตูลงมาตะโกนด่าหยาบคาย พร้อมกับรถคันอื่นๆ ที่พากันบีบแตรระงม
มีนาไม่รู้หรอกว่าตรงนั้นเกิดอะไรขึ้น มองไกลๆ ก็เห็นแค่มีผู้ใช้ถนนหลายคนกำลังโวยวายใส่ใครบางคนอยู่
หรือว่า...
เอะใจขึ้นมาฉับพลัน พาตัวเองตรงไปยังจุดหมายอย่างรวดเร็ว แล้วก็แทบจะต้องขยุ้มผมตัวเองอย่างบ้าคลั่งเมื่อเห็นว่าตัวต้นเหตุของความวุ่นวายคือผู้ชายคนเดิม
ประเมินจากสถานการณ์แล้ว การที่ชายหนุ่มไปยืนหัวโด่อยู่กลางถนนน่าจะเป็นเพราะต้องการข้ามถนนอย่างแน่นอน ทว่าพอเห็นรถยนต์แล้วก็เกิดอาการติดสตั๊นท์ ไปต่อไม่ถูกอะไรอย่างนั้น มีนาสังเกตจากสีหน้าตื่นตระหนกของคังยู แม้จะไม่ได้ออกอาการมาก แต่ก็สังเกตเห็นได้ชัดเจนดี
เท่านั้นหญิงสาวก็ก้าวฉับๆ ตรงไปยังท่านรองเจ้ากรมทันทีก่อนที่ใครสักคนจะเอาประแจทุบหัวเขาแบะเพราะเอาแต่ยืนนิ่งไม่รู้สึกรู้สาว่าตัวเองเดินข้ามถนนโดยไม่รอสัญญาณไฟ
“ขอโทษนะคะ เขาเป็นญาติฉันเองค่ะ”
ออกปากไปอย่างนั้น คังยูหันขวับมามองยังผู้มาใหม่อย่างรวดเร็ว พอเห็นว่าเป็นสตรีเจ้าของห้องที่เขาไปโผล่เมื่อเช้าก็ขมวดคิ้วทันควัน
“เจ้าอีกแล้วรึ”
ย่ะ!
มีนาตอบรับในใจ ขณะที่ชายคนหนึ่งซึ่งได้รับความเดือดร้อนจากคังยูจะออกปากต่อว่าเธอเสียงดัง
“อ้อ ญาติเธองั้นเหรอ รู้ไหมว่าญาติเธอสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นน่ะ ไม่เคารพกฎจราจรอย่างนี้ เดี๋ยวก็ได้ตายเป็นผีเฝ้าถนนหรอก!”
“ขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ พอดีเขาสติไม่ค่อยดี” มีนาก้มศีรษะ โค้งตัวนอบน้อมไปหลายต่อหลายครั้งโดยอัตโนมัติ
คังยูมองแล้วก็ขมวดคิ้วหนักมากขึ้นไปอีก
สติไม่ดี...หมายถึงข้าฟั่นเฟือนงั้นหรือ?
“ข้าสมประกอบดี” ออกปากเถียงทันทีที่สำนึกได้
มีนาค้อนขวับอย่างรวดเร็ว พลางส่งเสียงลอดไรฟัน
“เงียบไปเลยคุณน่ะ”
“จะให้ข้าเงียบได้อย่างไรในเมื่อเจ้าพูดเท็จใส่ร้ายข้า”
มีนาแทบจะเอาหัวโขกกับพื้นถนนเสียเดี๋ยวนี้
ก็เพราะจะช่วยน่ะสิยะถึงต้องบอกไปอย่างนั้น!
แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้มแห้งๆ แล้วบอกกับคู่สนทนาที่จ้องเธอและเขาเขม็ง
“คนป่วยทางจิตก็แบบนี้แหละค่ะ ไม่ค่อยยอมรับความจริง”
ยิ่งฟังก็ยิ่งขัดใจ สติไม่ดีบ้างล่ะ แสร้งทำเหมือนกับว่าเขาฟั่นเฟือนจริงๆ บ้างล่ะ มันหมิ่นเกียรติกันชัดๆ ที่เขามายืนอยู่ตรงนี้ก็เพราะประหลาดใจกับรถม้าเหล็กมากมายพวกนี้ต่างหาก การที่เขาไม่เคยเห็นรถม้าเหล็กพวกนี้มาก่อน ไม่ได้หมายความว่าเขาด้อยปัญญาเสียหน่อย!
“ข้าไม่...”
คังยูตั้งท่าจะเถียงอีกครั้ง แต่ก็ถูกหญิงสาวแทรกขึ้นมาก่อนแล้ว
“อย่าไปถือสาเลยนะคะ พอดีช่วงนี้ขาดยาเลยจะมีอาการนิดหน่อย”
คนฟังพอจะเชื่อคำพูดหญิงสาวอยู่บ้าง ก็ดูสภาพของผู้ชายคนนั้นสิ แต่งตัวก็ประหลาด พูดจาก็แปลกๆ ดูอย่างไรก็เพี้ยนชัดๆ
“งั้นก็ดูแลดีๆ หน่อย อย่าปล่อยให้ออกมาสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านอย่างนี้ นี่มันถนนสาธารณะ ไม่ใช่ที่วิ่งเล่นคนบ้า”
มีนายิ้มรับเจื่อนๆ โค้งแล้วโค้งอีกจนเธออดคิดไม่ได้ว่าหากโค้งกว่านี้อีกสักนิด สะโพกของเธอคงต้องครากอย่างแน่นอน
“เลิกคำนับได้แล้ว บุรุษผู้นั้นจากไปแล้ว”
ได้ยินเสียงทุ้มจากคนข้างกาย มีนาถึงได้เหยียดตัวตรงขึ้นมา ก่อนจะรีบส่งสายตาเขียวๆ ไปยังคนต้นเหตุ
“คุณไม่ต้องมาพูดดีเลย เพราะคุณนั่นแหละ”
จู่ๆ ก็ถูกกล่าวโทษ คังยูย่นหน้าพลัน หากแต่ไม่ทันจะได้พูดอะไร สาวเจ้าก็คว้าแขนเขาหมับแล้วลากออกจากกลางถนนแล้ว
ไม่เพียงแต่ลากออกจากกลางถนน ยังลากเดินลิ่วๆ ไปอีกด้วย ทำเอาชายหนุ่มต้องออกปากถาม
“คิดจะพาข้าไปที่แห่งใดงั้นรึ”
มีนาชะงักฝีเท้าทันที ปล่อยมือออกจากต้นแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามมาเท้าสะเอวแทน
“ก็จะพาไปที่ห้องฉันน่ะสิ”
“ห้อง?”
มีนากลอกตา
“บ้านน่ะบ้าน ฉันจะพาคุณไปที่บ้าน”
คังยูประหลาดใจหนักเข้าไปอีก ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจว่าคำว่าห้องหรือบ้านแปลว่าอะไร แต่ประหลาดใจที่หญิงสาวตรงหน้าใจกล้าถึงขนาดเป็นฝ่ายออกปากชักชวนชายไปถึงที่พำนักของตัวเองต่างหาก
ช่างเป็นแม่หญิงที่ไร้ยางอายยิ่งนัก
ถึงเขาจะเป็นสุภาพบุรุษพอที่จะไว้ใจได้ว่าไม่กระทำการอันใดละลาบละล้วงเธออย่างแน่นอน ทว่ามันก็หาใช่สิ่งสมควรที่ผู้หญิงจะเอ่ยปากเชิญชวนฝ่ายชายขนาดนี้
สตรีนางนี้น่าจะไร้การอบรมสั่งสอนที่ดี เกิดจากตระกูลต่ำชั้นอย่างแน่นอน
ถึงจะเกิดในตระกูลต่ำศักดิ์ขนาดไหน เจ้าหล่อนก็ไม่สมควรพูดอย่างนั้นกับชายแปลกหน้า ถึงเธอจะรู้จักว่าเขาเป็นใคร แต่เขาไม่ได้รู้จักเธอสักหน่อย ทำให้เขาอดที่จะตำหนิออกไปไม่ได้เลยเมื่อเห็นว่ามีนาตั้งท่าออกเดินอีกครั้ง
“กิริยามารยาทเจ้าช่างไม่งามเอาเสียเลย เป็นสตรีอย่าได้เอ่ยปากชักชวนชายเข้าห้องหับสิ”
มีนามึนงงไปชั่วขณะ ครู่เดียวก็ตีความหมายออกว่าคนตรงหน้าพูดอะไรกับเธอ
นี่จะบอกว่าฉันเป็นพวกผู้หญิงใจง่ายล่ะสินะ
ถึงกับต้องสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่หลายต่อหลายครั้งเพื่อสงบจิตสงบใจ พอจะใจเย็นขึ้นบ้างแล้วถึงได้ขยับริมฝีปาก
“แต่คุณไม่มีที่ไปไม่ใช่เหรอ ฉันก็แค่จะให้คุณไปตั้งหลักที่ห้องฉันก่อนก็เท่านั้น”
“ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์ใด หญิงที่อยู่ตัวคนเดียวเช่นเจ้าก็มิควรจะชักชวนชายใดไปเยี่ยมเยือนในที่รโหฐาน มิเช่นนั้นเจ้าจะไม่ต่างอะไรจากหญิงในหอนางโลมที่ยั่วยวนชายน้อยใหญ่ให้หลงใหล”
พูดมาก เดี๋ยวก็ปล่อยให้นอนข้างถนนเสียเลยนี่!
เธอก็อยากจะทำอย่างนั้นอยู่หรอก ใครจะไปรู้ล่ะว่าผู้ชายหน้าตาดี ท่าทางเคร่งขรึมจะปากคอเราะร้ายอย่างนี้ พูดเนิบนาบๆ แท้ๆ แต่ทุกประโยคทำให้เธอหน้าแดงขึ้นมาน้อยๆ ด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามจะทำความเข้าใจว่าอีกฝ่ายหลุดออกมาจากนิยาย และมาจากคนละยุคประวัติศาสตร์ ดังนั้นการกระทำของเธอซึ่งเป็นคนสมัยใหม่อาจจะไปขัดหูขัดตาคนรุ่นทวดของทวดของทวดอย่างเขาก็ได้ จึงสงบจิตสงบใจอีกครั้งก่อนแสร้งทำเป็นหูทวนลม
“ฉันจะเป็นอะไรก็เรื่องของฉันค่ะ แต่คืนนี้คุณต้องมีที่พัก ยังไงก็มาที่ห้องฉันก่อนเถอะ อย่ามัวพูดมาก เรื่องมากอยู่เลย ดึกแล้ว”
สิ้นเสียงก็คว้าเอาแขนชายหนุ่มแล้วลากออกเดิน ตอนนี้เองที่คังยูตระหนักได้ว่านอกจากคนตัวเล็กตรงหน้าจะเอ่ยปากชักชวนเขาไปถึงที่พำนักแล้ว ยังจะมือไม้อยู่ไม่สุขอีก ครั้งที่สองแล้วนะที่แตะเนื้อต้องตัวเขาอย่างนี้
ไม่รักนวลสงวนตัว ช่างเป็นสตรีที่น่าไม่อายเอาเสียเลย
ทำเป็นบ่นในใจไปอย่างนั้น แต่ตัวเองก็เดินตามแผ่นหลังบางไปแต่โดยดีโดยไม่พูดอะไร ขณะที่มีนาซึ่งเดินนำหน้าได้แต่บ่นพึมพำในใจเป็นภาษาบ้านเกิด
“หาเหาใส่หัวตัวเองจริงๆ เลยนังมีนา”