ไม่รักนวลสงวนตัว ช่างเป็นสตรีที่น่าไม่อายเอาเสียเลย

1522 คำ
มีนาเดินไปตามเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังละแวกร้านอาหาร สอดส่ายสายตามองหาผู้ชายคนนั้นไปทั่ว เมื่อไม่เห็นจึงได้แวะไปถามป้าเจ้าของร้านอาหารทั่วไปที่คังยูไปสร้างเรื่องมาวันนี้ พอได้รับคำตอบว่าไม่เห็นกลับมา หญิงสาวก็เริ่มไปถามตามร้านรวงอื่นๆ ถามไปถามมาก็แทบจะถามทุกร้านเลยทีเดียว ซ้ำยังเดินไปไกลจนถึงสี่แยกอีกถนนที่อยู่ทางด้านหลังอพาร์ตเมนต์ของเธออีกด้วย สงสัยวันนี้คงจะต้องถอดใจแล้ว ได้รับแต่คำปฏิเสธอย่างนั้น คังยูคงจะไปไหนต่อไหนแล้วล่ะ มีนาตั้งใจว่าจะกลับที่พักด้วยเห็นว่าเริ่มดึกมากขึ้นทุกที ทว่าเสียงเบรกดังเอี๊ยดของรถที่ลอยมาเข้าหูก็ทำให้เธอต้องหันไปมองยังต้นเสียง มันเป็นสัญชาตญาณโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องระมัดระวังภัยเมื่อได้ยินเสียงดัง ทว่าสำหรับมีนามันไม่ได้เป็นเพียงสัญชาตญาณตามธรรมชาติอย่างเดียว ยังมีลางสังหรณ์ประหลาดๆ ที่แผ่วาบเข้ามาในหัวอีกด้วย ได้สติอีกทีก็ต้อนได้ยินเจ้าของรถคันนั้นเปิดประตูลงมาตะโกนด่าหยาบคาย พร้อมกับรถคันอื่นๆ ที่พากันบีบแตรระงม มีนาไม่รู้หรอกว่าตรงนั้นเกิดอะไรขึ้น มองไกลๆ ก็เห็นแค่มีผู้ใช้ถนนหลายคนกำลังโวยวายใส่ใครบางคนอยู่ หรือว่า... เอะใจขึ้นมาฉับพลัน พาตัวเองตรงไปยังจุดหมายอย่างรวดเร็ว แล้วก็แทบจะต้องขยุ้มผมตัวเองอย่างบ้าคลั่งเมื่อเห็นว่าตัวต้นเหตุของความวุ่นวายคือผู้ชายคนเดิม ประเมินจากสถานการณ์แล้ว การที่ชายหนุ่มไปยืนหัวโด่อยู่กลางถนนน่าจะเป็นเพราะต้องการข้ามถนนอย่างแน่นอน ทว่าพอเห็นรถยนต์แล้วก็เกิดอาการติดสตั๊นท์ ไปต่อไม่ถูกอะไรอย่างนั้น มีนาสังเกตจากสีหน้าตื่นตระหนกของคังยู แม้จะไม่ได้ออกอาการมาก แต่ก็สังเกตเห็นได้ชัดเจนดี เท่านั้นหญิงสาวก็ก้าวฉับๆ ตรงไปยังท่านรองเจ้ากรมทันทีก่อนที่ใครสักคนจะเอาประแจทุบหัวเขาแบะเพราะเอาแต่ยืนนิ่งไม่รู้สึกรู้สาว่าตัวเองเดินข้ามถนนโดยไม่รอสัญญาณไฟ “ขอโทษนะคะ เขาเป็นญาติฉันเองค่ะ” ออกปากไปอย่างนั้น คังยูหันขวับมามองยังผู้มาใหม่อย่างรวดเร็ว พอเห็นว่าเป็นสตรีเจ้าของห้องที่เขาไปโผล่เมื่อเช้าก็ขมวดคิ้วทันควัน “เจ้าอีกแล้วรึ” ย่ะ! มีนาตอบรับในใจ ขณะที่ชายคนหนึ่งซึ่งได้รับความเดือดร้อนจากคังยูจะออกปากต่อว่าเธอเสียงดัง “อ้อ ญาติเธองั้นเหรอ รู้ไหมว่าญาติเธอสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นน่ะ ไม่เคารพกฎจราจรอย่างนี้ เดี๋ยวก็ได้ตายเป็นผีเฝ้าถนนหรอก!” “ขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ พอดีเขาสติไม่ค่อยดี” มีนาก้มศีรษะ โค้งตัวนอบน้อมไปหลายต่อหลายครั้งโดยอัตโนมัติ คังยูมองแล้วก็ขมวดคิ้วหนักมากขึ้นไปอีก สติไม่ดี...หมายถึงข้าฟั่นเฟือนงั้นหรือ? “ข้าสมประกอบดี” ออกปากเถียงทันทีที่สำนึกได้ มีนาค้อนขวับอย่างรวดเร็ว พลางส่งเสียงลอดไรฟัน “เงียบไปเลยคุณน่ะ” “จะให้ข้าเงียบได้อย่างไรในเมื่อเจ้าพูดเท็จใส่ร้ายข้า” มีนาแทบจะเอาหัวโขกกับพื้นถนนเสียเดี๋ยวนี้ ก็เพราะจะช่วยน่ะสิยะถึงต้องบอกไปอย่างนั้น! แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้มแห้งๆ แล้วบอกกับคู่สนทนาที่จ้องเธอและเขาเขม็ง “คนป่วยทางจิตก็แบบนี้แหละค่ะ ไม่ค่อยยอมรับความจริง” ยิ่งฟังก็ยิ่งขัดใจ สติไม่ดีบ้างล่ะ แสร้งทำเหมือนกับว่าเขาฟั่นเฟือนจริงๆ บ้างล่ะ มันหมิ่นเกียรติกันชัดๆ ที่เขามายืนอยู่ตรงนี้ก็เพราะประหลาดใจกับรถม้าเหล็กมากมายพวกนี้ต่างหาก การที่เขาไม่เคยเห็นรถม้าเหล็กพวกนี้มาก่อน ไม่ได้หมายความว่าเขาด้อยปัญญาเสียหน่อย! “ข้าไม่...” คังยูตั้งท่าจะเถียงอีกครั้ง แต่ก็ถูกหญิงสาวแทรกขึ้นมาก่อนแล้ว “อย่าไปถือสาเลยนะคะ พอดีช่วงนี้ขาดยาเลยจะมีอาการนิดหน่อย” คนฟังพอจะเชื่อคำพูดหญิงสาวอยู่บ้าง ก็ดูสภาพของผู้ชายคนนั้นสิ แต่งตัวก็ประหลาด พูดจาก็แปลกๆ ดูอย่างไรก็เพี้ยนชัดๆ “งั้นก็ดูแลดีๆ หน่อย อย่าปล่อยให้ออกมาสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านอย่างนี้ นี่มันถนนสาธารณะ ไม่ใช่ที่วิ่งเล่นคนบ้า” มีนายิ้มรับเจื่อนๆ โค้งแล้วโค้งอีกจนเธออดคิดไม่ได้ว่าหากโค้งกว่านี้อีกสักนิด สะโพกของเธอคงต้องครากอย่างแน่นอน “เลิกคำนับได้แล้ว บุรุษผู้นั้นจากไปแล้ว” ได้ยินเสียงทุ้มจากคนข้างกาย มีนาถึงได้เหยียดตัวตรงขึ้นมา ก่อนจะรีบส่งสายตาเขียวๆ ไปยังคนต้นเหตุ “คุณไม่ต้องมาพูดดีเลย เพราะคุณนั่นแหละ” จู่ๆ ก็ถูกกล่าวโทษ คังยูย่นหน้าพลัน หากแต่ไม่ทันจะได้พูดอะไร สาวเจ้าก็คว้าแขนเขาหมับแล้วลากออกจากกลางถนนแล้ว ไม่เพียงแต่ลากออกจากกลางถนน ยังลากเดินลิ่วๆ ไปอีกด้วย ทำเอาชายหนุ่มต้องออกปากถาม “คิดจะพาข้าไปที่แห่งใดงั้นรึ” มีนาชะงักฝีเท้าทันที ปล่อยมือออกจากต้นแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามมาเท้าสะเอวแทน “ก็จะพาไปที่ห้องฉันน่ะสิ” “ห้อง?” มีนากลอกตา “บ้านน่ะบ้าน ฉันจะพาคุณไปที่บ้าน” คังยูประหลาดใจหนักเข้าไปอีก ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจว่าคำว่าห้องหรือบ้านแปลว่าอะไร แต่ประหลาดใจที่หญิงสาวตรงหน้าใจกล้าถึงขนาดเป็นฝ่ายออกปากชักชวนชายไปถึงที่พำนักของตัวเองต่างหาก ช่างเป็นแม่หญิงที่ไร้ยางอายยิ่งนัก ถึงเขาจะเป็นสุภาพบุรุษพอที่จะไว้ใจได้ว่าไม่กระทำการอันใดละลาบละล้วงเธออย่างแน่นอน ทว่ามันก็หาใช่สิ่งสมควรที่ผู้หญิงจะเอ่ยปากเชิญชวนฝ่ายชายขนาดนี้ สตรีนางนี้น่าจะไร้การอบรมสั่งสอนที่ดี เกิดจากตระกูลต่ำชั้นอย่างแน่นอน ถึงจะเกิดในตระกูลต่ำศักดิ์ขนาดไหน เจ้าหล่อนก็ไม่สมควรพูดอย่างนั้นกับชายแปลกหน้า ถึงเธอจะรู้จักว่าเขาเป็นใคร แต่เขาไม่ได้รู้จักเธอสักหน่อย ทำให้เขาอดที่จะตำหนิออกไปไม่ได้เลยเมื่อเห็นว่ามีนาตั้งท่าออกเดินอีกครั้ง “กิริยามารยาทเจ้าช่างไม่งามเอาเสียเลย เป็นสตรีอย่าได้เอ่ยปากชักชวนชายเข้าห้องหับสิ” มีนามึนงงไปชั่วขณะ ครู่เดียวก็ตีความหมายออกว่าคนตรงหน้าพูดอะไรกับเธอ นี่จะบอกว่าฉันเป็นพวกผู้หญิงใจง่ายล่ะสินะ ถึงกับต้องสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่หลายต่อหลายครั้งเพื่อสงบจิตสงบใจ พอจะใจเย็นขึ้นบ้างแล้วถึงได้ขยับริมฝีปาก “แต่คุณไม่มีที่ไปไม่ใช่เหรอ ฉันก็แค่จะให้คุณไปตั้งหลักที่ห้องฉันก่อนก็เท่านั้น” “ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์ใด หญิงที่อยู่ตัวคนเดียวเช่นเจ้าก็มิควรจะชักชวนชายใดไปเยี่ยมเยือนในที่รโหฐาน มิเช่นนั้นเจ้าจะไม่ต่างอะไรจากหญิงในหอนางโลมที่ยั่วยวนชายน้อยใหญ่ให้หลงใหล” พูดมาก เดี๋ยวก็ปล่อยให้นอนข้างถนนเสียเลยนี่! เธอก็อยากจะทำอย่างนั้นอยู่หรอก ใครจะไปรู้ล่ะว่าผู้ชายหน้าตาดี ท่าทางเคร่งขรึมจะปากคอเราะร้ายอย่างนี้ พูดเนิบนาบๆ แท้ๆ แต่ทุกประโยคทำให้เธอหน้าแดงขึ้นมาน้อยๆ ด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามจะทำความเข้าใจว่าอีกฝ่ายหลุดออกมาจากนิยาย และมาจากคนละยุคประวัติศาสตร์ ดังนั้นการกระทำของเธอซึ่งเป็นคนสมัยใหม่อาจจะไปขัดหูขัดตาคนรุ่นทวดของทวดของทวดอย่างเขาก็ได้ จึงสงบจิตสงบใจอีกครั้งก่อนแสร้งทำเป็นหูทวนลม “ฉันจะเป็นอะไรก็เรื่องของฉันค่ะ แต่คืนนี้คุณต้องมีที่พัก ยังไงก็มาที่ห้องฉันก่อนเถอะ อย่ามัวพูดมาก เรื่องมากอยู่เลย ดึกแล้ว” สิ้นเสียงก็คว้าเอาแขนชายหนุ่มแล้วลากออกเดิน ตอนนี้เองที่คังยูตระหนักได้ว่านอกจากคนตัวเล็กตรงหน้าจะเอ่ยปากชักชวนเขาไปถึงที่พำนักแล้ว ยังจะมือไม้อยู่ไม่สุขอีก ครั้งที่สองแล้วนะที่แตะเนื้อต้องตัวเขาอย่างนี้ ไม่รักนวลสงวนตัว ช่างเป็นสตรีที่น่าไม่อายเอาเสียเลย ทำเป็นบ่นในใจไปอย่างนั้น แต่ตัวเองก็เดินตามแผ่นหลังบางไปแต่โดยดีโดยไม่พูดอะไร ขณะที่มีนาซึ่งเดินนำหน้าได้แต่บ่นพึมพำในใจเป็นภาษาบ้านเกิด “หาเหาใส่หัวตัวเองจริงๆ เลยนังมีนา”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม