เจ้าของร้านหรี่ตาลงอย่างพินิจ ถึงจะไม่ได้ดูเหมือนคนเกาหลี แต่ใบหน้าของหญิงสาวก็มีเค้าของคนเอเชียตะวันออกจึงพยักหน้ารับไป อีกอย่าง หล่อนเห็นหน้าค่าตามีนามาปีกว่าและเธอก็เป็นเด็กน่ารัก ช่างจ้อ ช่างเจรจา ซ้ำยังอัธยาศัยดีจนหล่อนถูกชะตามากเป็นพิเศษ ในเมื่อออกตัวแทนกันขนาดนี้ หล่อนจะยอมเชื่อก็ได้
“คราวหลังก็ดูแลให้ดีหน่อยแล้วกัน ถ้าหนูไม่เข้ามาบอกก่อนนะ ป่านนี้โทรให้ตำรวจมาลากตัวไปแล้ว ให้ตาย คนสมัยนี้นี่ดูแต่หน้าไม่ได้เลย คงจะเครียดกันมากล่ะสินะถึงได้เพี้ยนกันไปหมด”
จากนั้นก็บ่นเรื่อยเปื่อยอีกยาว มีนาได้แต่ยิ้มแห้งๆ รอให้เจ้าของร้านคิดเงินและจ่ายค่าอาหารให้ ปล่อยให้คังยูนั่งมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง พอเห็นว่าหญิงสาวออกเงินให้ก็คว้าพวงเหรียญเงินของตัวเองจากบนโต๊ะ ลุกพรวดขึ้นมา ก้าวอาดๆ มาคว้าข้อมือขาวที่กำลังยื่นเงินให้เจ้าของร้านทันใด
“เจ้าจะทำอันใด”
มีนาเหลือบดวงตากลมโตไปมอง ว่าหน้าซื่อ “จ่ายเงินให้คุณไง”
ราวกับถูกหมิ่นเกียรติ ใบหน้าคร้ามของท่านรองเจ้ากรมขึงขังไปทันตา
“ข้ามิยินยอมให้สตรีใช้ทรัพย์สินเพื่อข้าหรอก” ว่าพลางวางพวงเหรียญลงบนเคาน์เตอร์ “รับเงินของข้าไปเถิดท่านป้า อย่าได้รับเงินของแม่นางผู้นี้”
เจ้าของร้านถึงกับมองตาถลึงที่คังยูยังไม่หยุดยัดเยียดเหรียญเงินพวกนั้นให้ หากไม่เกรงใจมีนาที่ยืนอยู่ตรงนี้และไม่คิดว่าผู้ชายรุ่นลูกตรงหน้าไม่ค่อยเต็มแล้วล่ะก็ หล่อนคงจะเอาทัพพีมาฟาดพ่อหนุ่มคนนี้ให้หมดหล่อไปแล้ว
มีนารู้สถานการณ์ดี ก่อนจะยิ้มแหยให้เจ้าของร้าน แล้วหันไปดุคนที่จับข้อมือเธออยู่เสียงเบา
“คุณอยู่เงียบๆ ไปเลย ไม่ต้องพูดอะไร อย่าสร้างปัญหา”
เรียวคิ้วยาวของคังยูขมวดมุ่น
แค่จะรับผิดชอบค่าอาหารของตัวเองโดยไม่ต้องการให้สตรีนางใดมารับหน้า มันเป็นการสร้างเรื่องสร้างปัญหาอย่างไรกัน
“ข้ากิน ข้าจ่ายเองได้” คังยูโพล่งออกมาอีกที เรียกสายตาเขียวๆ ของมีนาค้อนขวับทันควัน
“ถ้าจ่ายเองได้ ป่านนี้เรื่องจบไปนานแล้ว”
ริมฝีปากสีสวยพึมพำ แทงใจดำคังยูอย่างจัง
จริงอย่างที่เจ้าหล่อนว่า และเขาก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมเงินจำนวนมากถึงขนาดซื้อทาสได้คนหนึ่งถึงไม่เพียงพอกับค่าอาหาร ของที่เขาเอาใส่ท้องไปเมื่อครู่ก็แค่ข้าวยำบิบิมบับกับเหล้าโซจูเพียงขวดเดียวเท่านั้น
หรือร้านอาหารแห่งนี้เป็นโรงเตี๊ยมชั้นสูง?
คิดพลางสังเกตบรรยากาศรอบร้านอีกที
การตกแต่งประหลาดตา...คงจะเป็นโรงเตี๊ยมชั้นสูงจริง
อยากจะถามแต่ไม่ทันได้เอ่ยปากก็เห็นคนตัวเล็กกว่ายื่นกระดาษยับยู่ยี่จำนวนหนึ่งให้กับเจ้าของร้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คังยูทำหน้าสงสัย เขาไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อน
มีนาจ่ายเงินเสร็จก็ไม่รีรอ คว้าแขนล่ำของอีกฝ่ายพุ่งออกจากร้านทันทีด้วยไม่ต้องการตกเป็นเป้าสายตาอีกต่อไป ลับสายตาคนได้ถึงยอมปล่อยมือ
รองเจ้ากรมหนุ่มปัดเนื้อตัวสองสามครั้งเพื่อจัดเครื่องแต่งกายให้เข้าที่ มือหนาจับหมวกปีกกว้างเล็กน้อย สายตาจับจ้องยังหญิงสาวที่หายใจหอบน้อยๆ จากการเดินเร็ว รอกระทั่งเธอหายใจกลับมาเป็นปกติถึงได้เอ่ยปาก
“สิ่งที่เจ้าให้นางคืออันใดรึ”
มีนาชะงักทันควัน “หมายถึงอะไรคะ”
“กระดาษนั่น...ที่เจ้าใช้มันแทนเงิน”
มีนาร้องอ๋อ ลืมไปว่าคนตรงหน้าไม่รู้จักเงินวอน ก่อนจะล้วงกระเป๋าเงินออกมาจากกระเป๋าสะพายข้างและดึงธนบัตรออกมาให้เขาดู
“มันเรียกว่าเงินวอน เป็นสกุลเงินใหม่ของเกาหลีใต้ เงินที่คุณใช้น่ะ สมัยนี้เขาไม่ใช้กันแล้ว”
“เกาหลีใต้?”
คังยูไม่ได้ฟังสิ่งที่มีนาอธิบายเลย สะดุดหูกับคำศัพท์ใหม่ที่ไม่เคยได้ยินมากกว่า
มีนาฉุกคิดได้ว่าประเทศที่คังยูถือกำเนิดไม่ได้เรียกว่าเกาหลีหรือแบ่งเป็นเกาหลีเหนือ - เกาหลีใต้อย่างเช่นปัจจุบันแต่เรียกว่าโชซอน
“ก็โชซอนนั่นแหละค่ะ แค่เปลี่ยนชื่อ” ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรถึงได้พูดไปอย่างนั้น
กลายเป็นคิดผิดเสียอีกที่ตอบแบบกำปั้นทุบดิน คังยูสงสัยหนักยิ่งกว่าเดิม
มันจะเรียกว่าเกาหลีใต้อย่างที่สตรีนางนี้ว่าได้อย่างไร หรือจะเป็นชื่อเมืองใหม่ที่ไม่เคยได้ยินกัน น่าแปลก หากเป็นเมืองใหม่ ไยจึงไม่ได้รับรายงาน
“หรือเจ้าจะหมายถึงเมืองแห่งใหม่?” ออกปากถามไปจนได้ ไม่แน่ว่ากษัตริย์ของเขาอาจมีพระราชโองการแต่งตั้งเมืองใหม่ขึ้นมาโดยที่เขายังไม่รับรู้ก็เป็นได้
ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สักนิดที่ข้าราชการซึ่งทำงานใกล้ชิดราชวงศ์อย่างเขาจะไม่รู้เรื่อง แต่ก็ต้องถาม
มีนาพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง ดึงธนบัตรกลับมาจากมือใหญ่พลางตอบ
“ไม่ใช่ ประเทศต่างหาก ประเทศเกาหลีใต้ มีเมืองหลวงชื่อโซล”
“แสดงว่าที่แห่งนี้ไม่ใช่โชซอน?”
“ก็ใช่ แต่ว่า...”
ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดีว่าตอนนี้มันเปลี่ยนชื่อแล้ว ได้แต่อึกอักจนคังยูเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาแทน
“หากที่นี่เป็นโชซอน เมืองหลวงต้องชื่อว่าฮันยาง”
“มันก็ใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว”
“อย่างไรรึ”
“ก็...”
คนถามนิ่งรอฟังคำตอบ นึกในใจว่าสตรีตรงหน้าช่างต่อล้อต่อเถียงเก่งนัก ขณะที่มีนาไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร อีกฝ่ายก็ถูก แต่มันผิดยุคสมัย สุดท้ายเธอก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้งจนได้
ดูท่าเธอคงจะต้องอธิบายเรื่องนี้อีกยาว และการยืนคุยกลางถนนกับผู้ชายที่แต่งตัวเหมือนหลุดออกมาจากหลายร้อยปีก่อนก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไรนัก
ที่สำคัญ มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอที่จะต้องมาอธิบายเรื่องนี้ให้คนบ้าแต่งชุดโบราณนี่ฟังเลยนะ!
ตัดบท! ต้องตัดบทด่วนๆ เลย ไม่คุยแล้ว!
“จะเกาหลีใต้หรือโชซอน โซลหรือฮันยางอะไรก็ช่างมันเถอะค่ะ เอาเป็นว่าคุณเอาเงินนี่เก็บไว้แล้วกัน จะได้มีเงินกินข้าว เงินเหรียญพวกนั้นของคุณใช้กับที่นี่ไม่ได้แล้ว”
หญิงสาวพูดเร็วๆ เอาธนบัตรในกระเป๋าที่มีทั้งหมดยัดใส่มือชายตรงหน้า ก่อนจะหันหลังให้แล้วสาวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว
ก้าวห่างได้ไม่นานก็เปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่งหน้าตั้งกลับอพาร์ตเมนต์เสียอย่างนั้น ปล่อยให้ท่านรองเจ้ากรมมองตามแผ่นหลังเล็กที่วิ่งหายไปยังมุมถนนข้างหน้าจนลับสายตา ก่อนที่เขาจะเหลือบมองมายังเศษกระดาษพวกนั้นในมือ
มองนิ่งๆ อยู่ครู่ก็ขยำแล้วโยนทิ้งข้างทาง หันหลังแล้วก้าวเดินไปอีกทางโดยไม่สนใจที่จะหันมามองธนบัตรที่ตนโยนทิ้งไปเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย
ใช้กระดาษแทนเงินเช่นนั้นเหรอ ล้อเล่นอันใดกัน สามหาวนักเจ้าไพร่พวกนี้...
ออกวิ่งได้ก็วิ่งยาวมาจนถึงอพาร์ตเมนต์ตัวเอง กระโจนไปกดลิฟต์ ทันทีที่ลิฟต์หยุดที่ชั้นสาม ขาเรียวก็รีบพาร่างของหญิงสาวตรงรี่ไปยังห้องของตน มีนากดรหัสผ่านเข้าห้องอย่างรวดเร็ว ประตูเปิดปุ๊บ ก็วิ่งปรู๊ดเข้าไปข้างในปั๊บ ล็อกเรียบร้อยก็ยืนพิงบานประตูพลางหอบหนักๆ
ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะวิ่งหน้าตั้งมาทำไมทั้งที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะตามเธอกลับมาเลยแม้แต่น้อย และเธอก็ไม่มีอารมณ์มาครุ่นคิดหาคำตอบแล้วด้วย ในหัวมีแต่ความสับสนเรื่องที่ผู้ชายคนนั้นหลุดออกมาจากนิยายเท่านั้น
บ้าไปแล้ว นี่มันเรื่องบ้าชัดๆ เลย!
มือบางตีเข้าที่ซีกแก้มตัวเองเป็นพัลวันเพื่อเรียกสติ เอาเถอะ ถึงจะหลุดออกมาจากนิยายอย่างที่เธอร้องขอจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ตอนที่เธอขอ เธอไม่ได้จริงจังสักหน่อยนี่นา
พระเจ้าประทานมาให้เองโดยที่เธอไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้จริงๆ ด้วยซ้ำ!
พอจะผ่อนลมหายใจให้เป็นปกติได้ มีนาก็เดินเข้าไปข้างในห้อง วางข้าวของที่หยิบติดมือออกไปลงบนโต๊ะ ขณะที่หยิบกระเป๋าเงินซึ่งมีเพียงบัตรแต่ไร้เงินสักวอน พลันหัวสมองก็คิดวุ่นขึ้นมาอีกครั้ง
เงินที่เอาให้คังยูไปตีเป็นเงินไทยมูลค่าประมาณสองพันบาท ถ้าเขาซื้อข้าวห่อสาหร่ายที่เรียกว่าคิมบับกินทุกวันก็น่าจะพออยู่ได้สักระยะหนึ่ง
คิมบับอันละประมาณหนึ่งพันห้าร้อยวอน เงินไทยก็ราวๆ ห้าสิบบาท กินวันละสามมื้อ มื้อละอัน ตกหนึ่งร้อยห้าสิบบาท
น่าจะอยู่ได้ประมาณสองอาทิตย์...
หญิงสาวรำพันกับตัวเองในใจ คำนวณให้เสร็จสรรพ ดูแล้วไม่น่าเป็นห่วงสักนิด ทว่ามีนาก็อดคิดไม่ได้
แต่ผู้ชายคนนั้นจะรู้เหรอว่าเงินวอนใช้ยังไง ถึงจะมีเงินกิน แต่ก็ใช่ว่าจะมีที่ซุกหัวนอนสักหน่อย
เป็นห่วงขึ้นมาเสียอย่างนั้น รู้สึกตัวก็สะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป
เขาจะกินอยู่อย่างไรมันก็เรื่องของเขา ไม่ใช่ธุระกงการอะไรที่เธอจะต้องรับผิดชอบเสียหน่อย
เข้าข้างตัวเองอย่างนี้แล้วก็เริ่มสบายใจขึ้นมาบ้างจึงพอจะไปทำกิจกรรมอย่างอื่นได้ มีนาเลือกอาบน้ำก่อนเป็นอันดับแรก แล้วตรงไปยังห้องครัวขนาดย่อมซึ่งอยู่ด้านนอกห้องนอน ต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปประทังชีวิตสำหรับมื้อเย็นเพราะวันนี้เธอไม่คิดที่จะออกจากห้องเป็นหนที่สองอีกแล้ว
ทว่าในระหว่างที่ต้มบะหมี่อยู่ สายตาก็เหลือบไปมองยังนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์
สองทุ่มแล้ว จะเป็นยังไงบ้างนะ
อดคิดถึงขึ้นมาไม่ได้อีกแล้ว ไม่ควรคิดถึงเลยสักนิด ทว่าก็ยังละทิ้งความเป็นห่วงไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ถ้าเขาไม่ใช่ตัวละครที่หลุดออกมาจากนิยายสมัยโชซอนล่ะก็ มีนาคงจะไม่ไยดีแล้ว แต่เพราะเขาเป็นอย่างนั้น มันจึงทำให้เธอคิดไม่ตกเลยว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาหลุดออกมาจากโลกนั้น
ดวงตากลมสวยจับจ้องยังน้ำซุปบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เดือดปุดๆ ในหม้อไฟฟ้า ก่อนจะตัดสินใจหยุดการทำงานทั้งหมด ลุกขึ้นแต่งตัว คว้าเอากระเป๋าเงินและโทรศัพท์ออกไปข้างนอกอีกครั้ง
จุดมุ่งหมายไม่ใช่เพราะไปหาอะไรมากินเป็นมื้อเย็น แต่ไปตามหาผู้ชายคนนั้นต่างหาก