“ขมิ้นอย่าขึ้นเสียงแบบนี้ไม่งั้นทั้งคืนก็คุยกันไม่รู้เรื่อง”
“ไม่อยากให้เสียงดังก็ตอบมาสิ! ตอบมาว่าทำไม! ทำไมพวกนายต้องเล่นเกมแบบนี้กัน ทำไมต้องเป็นฉัน ทำไม...ฮึก! ฉันไปทำอะไรให้พวกนายวะทำไมต้องทำร้ายฉันเพื่อความสนุกของตัวเองแบบนี้ ฮื่อ ๆๆ ทำไม!!!”
“...เพื่อความสนุก”
“...สารเลว! เกมจบแล้วสนุกพอแล้วก็ไปตายซะไอ้เหี้ย! ฉันเกลียดนาย!”
ปัง!
เสียงประตูดังรบกวนคนข้างห้องหรือคนที่อยู่ชั้นเดียวกันแค่ไหนฉันไม่รู้หรอกเพราะเมื่อกี้ฉันโกรธจนไม่มีสติมากพอที่จะเห็นหน้าผู้ชายสารเลวอย่างเขาได้อีกต่อไป
“...เพื่อความสนุก”
ความรู้สึกของคนที่ไม่รู้จักกันเลยมันไม่มีค่าไม่มีความหมายเลยเหรอคะ?
คนเราจะทำอะไรที่เสี่ยงต่อการทำร้ายความรู้สึกของคนที่ไม่เคยรู้จักกันเลยได้อย่างไม่ยี่หระง่ายดายขนาดนี้เลยเหรอ
“...ฮึก!” ฉันทำอะไรได้มากกว่าร้องไห้ไหมคะ ฉันที่อยู่ในฐานะเหยื่อที่ถูกกระทำทำอะไรได้มากกว่านี้รึเปล่า
“ฮึก! ฮื่อ ๆๆ”
ทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมต้องทำร้ายฉันทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกันเลย แล้วต่อจากนี้ฉันจะลืมบาดแผลใหญ่ที่คนไม่รู้จักคนนี้สร้างไว้ได้ยังไง...
-วันต่อมา-
ตื๊ดดดดด ตื๊ดดดด
...พี่แม็คเวล
หน้าจอโชว์เบอร์ไอ้คนที่ทำเรื่องสารเลวไว้กับฉัน ลืมไปเลยค่ะว่าเมื่อวานก่อนเขาออกจากห้องฉันไปเราแลกเบอร์กันไว้ ลืมไปจนได้เห็นชื่อที่ปรากฏตรงหน้าจอ
...พี่แม็คเวล
เพื่อนเขาเรียกว่าอะไรนะ? ไอ้เวลใช่รึเปล่า แต่ไม่ใช่หรอกอย่าเรียกแบบนั้นเลยเรียก ไอ้เวร เหมาะกว่า!
ติ๊ด!
“มีอะไร” คิดว่าคนอย่างฉันจะไม่รับเหรอ? รับสิทำไมจะไม่รับแต่จะคุยดีเหมือนยัยขมิ้นหน้าโง่เมื่อวานที่แล้วรึเปล่าก็คงไม่ต้องเดาหรอกมั้งคะ
(ใจเย็นรึยัง) ใจเย็นรึยัง? มีสติให้มากกว่านี้โน่นนี่นั่น หลายคำพูดที่บอกสอนให้ใจเย็นมีสติรับฟังคนอื่นของผู้ชายคนนี้มันเป็นคำสอนที่ดีนะ แต่คงดีกว่าถ้าไม่ได้ออกจากปากเขา
“นายคิดว่าไงล่ะ?”
(ก็คงไม่ แต่เราคุยกันได้นะขมิ้น ฉันรู้ว่าฉันทำเรื่องแย่กับเธอแต่ฉันถ้าอยากให้ฉันรับผิด...)
“ไม่จำเป็น ไม่จำเป็นต้องคุยหรือทำอะไรทั้งนั้น! จำใส่สมองนายไว้คำเดียวที่ฉันจะคุยกับคนอย่างนายอีกคือตอนที่ฉันอโหสิกรรมให้ตอนคนอย่างนายตาย! หายไปจากชีวิตฉันสักที แล้วก็จำไว้นะว่าต่อให้คุณภาพชีวิตฉันจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินแค่ไหนแต่คนในสังคมที่ฉันอยู่ไม่มีใครทำเรื่องเหี้ยได้โคตรเย็นชาไร้ความรู้สึกอย่างคนสูงส่งอย่างนาย!”
ติ๊ด!
ฉันด่าเสียงดังแต่ทำไมไม่รู้สึกสะใจเลยสักนิด คนแบบนั้นมันไม่ควรแค่โดนด่า มันไม่สมควรโดนแค่นี้เลย!
-หนึ่งเดือนต่อมา-
“อาจารย์พิเศษคนใหม่คืองานดีมาก~” วีญ่าเพื่อนสนิทของฉันนั่งลงที่โต๊ะประจำของพวกเราแล้วเอ่ยขึ้น ไม่ใช่แค่เสียงที่ดูตื่นเต้นแต่หน้าตาของวีญ่าดูคลั่งไคล้คนที่กำลังพูดถึงอยู่พอสมควร ไม่ใช่แค่มันหรอกแต่คนฟังอย่างฉันก็...
...อาจารย์พิเศษคนใหม่
ใจความสำคัญอยู่ที่คำว่าอาจาย์คนใหม่ทำให้หัวใจฉันเหมือนมีดอกไม้บานเพราะมันอาจจะเป็นไปได้ว่าเป็นอาจารย์คนนั้นมีความน่าจะเป็น...
...อาจารย์ปกป้อง >///“คุณ...เป็นอาจารย์ที่มหาลัยเหรอคะ หนูไม่เคยเห็นเลย”
“กำลังจะเป็น คงได้เจอกันนะ...นักศึกษา”
ฉันยังจำได้อยู่เลยคำพูดสุดท้ายของเขา อาจารย์ปกป้องของขมิ้น อาจารย์ปกป้องที่ปกป้องขมิ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันไม่เหมือนบางคนที่คิดจะทำร้ายตั้งแต่ยังไม่รู้จักกัน!
“...” อย่าคิดถึงเรื่องนั้นสิขมิ้น หยุด ไม่ต้องไปนึกถึงให้ตัวเองรู้สึกแย่อีก รู้ว่าลืมไม่ได้แต่แกล้ง ๆ ลืมมันไปเถอะนะขอร้องเพื่อตัวแกเอง แกล้งลืมมันไปเผื่อสักวันจะผ่านฝันร้ายนั้นไปได้สักทีไง
“มิ่น”
“อื้อ” ฉันหันไปตาม
“เป็นไรอ่ะ อยู่ดี ๆ ก็นิ่ง เฮ้ย! แกร้องไห้ทำไม” วีญ่าถามด้วยความตกใจในขณะที่ฉันรีบเช็ดน้ำตาให้ตัวเองทันทีที่เพื่อนทัก
ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาไหล แต่มันก็เป็นแบบนี้หลายครั้งแล้วค่ะ บางทีนั่งดูทีวีอยู่เพลิน ๆ แล้วเผลอคิดถึงเรื่องนั้นก็น้ำตาไหลออกมาแบบไม่รู้ตัว เหมือนฉันเจ็บปวดกับเรื่องนี้มากจนสามารถน้ำตาไหลออกมาได้เกือบทุกเวลาที่นึกถึงแบบไม่รู้ตัว
“มิ่นแกเป็นไร” วีญ่าจับแขนฉันแล้วถามฉันก็เลยรีบส่ายหน้าแล้วยิ้มให้เพื่อนทันที
“ไม่ได้เป็นไร เคืองตาสงสัยคอนแทคเลนหมดอายุมั้ง”
“จริง?”
“อื้อ มีกระจกไหมยืมหน่อย เคืองตามากเลยว่ะญ่า” ฉันไม่อยากให้เพื่อนรู้เรื่องนี้ ไม่อยากให้ใครรู้เลยเพราะกลัวว่าวันหนึ่งจะมีใครสักคนเผลอพูดออกมาให้สะกิดแผลในใจ
-หลายวันต่อมา-
“ไงเรา คิดว่าจะไม่เจอแล้วซะอีก”
“หูย~ ควรเป็นน้องรึเปล่าที่พูดคำนี้ เป็นไงบ้างคะพี่ชาย ไม่เจอกันนานเลยนะคะ”
“แค่เดือนเดียวเองนานตรงไหน”
“หนึ่งเดือนกับอีกหนึ่งอาทิตย์ต่างหาก ไม่นานตรงไหน ว่าแต่สบายดีนะคะ”
“อื้ม เราล่ะ”
“น้องสบายดีม๊ากมากค่ะ”
“เรียนเป็นไง”
“โห~ ถ้าเรื่องเรียนก็ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่แต่ดีหน่อยเพื่อนฉลาดพอให้น้องเกาะได้ แหะ ๆ”
“หึ ๆๆ ระวังสักวันเพื่อนจะทนไม่ไหวล่ะ”
“ไม่มีทางเพราะว่าเพื่อนน้องน่ารักมาก~”
“เหรอ?” ผมมองลูกพี่ลูกน้องที่ตอบด้วยรอยยิ้มสดใสที่มีให้ผู้คนรอบข้างเป็นประจำ
“ค่ะ เพื่อนสนิทที่น้องลงรูปด้วยบ่อย ๆ คนนั้นไง”
“คนไหน”
“ก็คนที่สวย ๆ ไง”
“ไม่รู้ ไม่เคยกดติดตามน้อง ปกติติดตามแต่สาว ๆ”
“โห~ นิสัยเสีย กดติดตามน้องเดี๋ยวนี้เลยนะแล้วก็เข้าไปดูรูปเพื่อนน้องเดี๋ยวนี้เลย”
“หึ ๆๆ ไม่เอา ปู่กับย่าล่ะ”
“...” ผมถามเรื่องอื่นเพราะที่มาวันนี้เพราะตั้งใจมาหาปู่กับย่าแต่ดูเหมือนจะมีคนงอนผมซะแล้ว
“ไม่บอก?”
“...”
“โอเคเดี๋ยวพี่ถามแม่บ้านก็ได้” ผมบอกแล้วกระตุกยิ้มบาง ๆ ให้น้องคนเล็กของตระกูลที่ไม่ยอมโตสักที
“นิสัยเสีย” น้ำเสียงงอนดังไล่หลังผมมาทำให้ผมต้องหันกลับไปหา
“เดี๋ยวเข้าไปดู”
“จริงนะ” พอได้คำตอบที่น่าพอใจน้ำเสียงก็เปลี่ยนไปทันทีตามประสาเด็กเอาแต่ใจ นอกจากน้ำเสียงเปลี่ยนน้องสาวของผมก็ยังฉีกยิ้มด้วยความพอใจเหมือนตอนเด็ก ๆ ที่บังคับให้ผมกับพี่ชายคนอื่นเล่นตุ๊กตาบาร์บี้ด้วยไม่มีผิด
“อืม พี่ไปหาปู่ย่าก่อนเดี๋ยวท่านรอเดี๋ยวออกมาคุยด้วย”
“ได้เลยค่า~ เชิญตามสบายเลยค่ะพี่ชาย~” ลูกพี่ลูกน้องของผมยิ้มระรื่นแล้วทำท่าทางผายมือให้ผมก็เลยเดินต่อทันทีเพื่อไปหาปู่กับย่าเพราะไม่ได้มาหาท่านนานเป็นเดือนทั้งที่ปกติผมจะพยายามมาหาท่านให้ได้ทุกอาทิตย์แต่เพราะมีเหตุผลบางอย่างผมเลยไม่ได้มาหาพวกท่าน แต่จะเป็นเหตุผลอะไรก็อย่าสนใจเลย เดี๋ยวผมก็จัดการกับมันได้เอง
“เดี๋ยวเข้าไปดู”
หึ ๆๆ รับปากน้องไปงั้นล่ะครับแต่ผมคงไม่เข้าไปดูหรอก ดูทำไม...ผมเคยดูมาหลายครั้งแล้ว
-วันต่อมา-
ตื๊ดดดดด ตื๊ดดดด
“ว่าไงญ่า”
(เป็นไงบ้างคนสวยของเพื่อน รอนานรึยังจ้ะ)
“นานมาก~ นานจนจะเข้าไปหาอาจารย์คนเดียวแล้วถ้าแกไม่มาสักที”
(หูย~ ไม่ใช่เข้าไปแล้วเหรอเพื่อนร้าก~)
“บ้า! ยังไม่ได้เข้าไปซะหน่อย”
(แน่นะยัยมิ่น~)
“แน่สิ พอเลยไม่ต้องมาจ้องจับผิดเพื่อนเลย แกรีบมาก็พอจะได้เข้าไปส่งงานพร้อมกัน”
(โอเค~)
ติ๊ด!
ฉันวางสายจากเพื่อนแล้วก็นั่งรอยัยวีญ่าคนสวยของอีมิ่นแล้วก็นั่งเล่นโทรศัพท์ไปเรื่อยระหว่างที่รอเพื่อนเพราะงานที่อาจารย์ปกป้องของมิ่น เอ๊ย! ของทุกคนสั่งเป็นงานคู่ที่ให้รีเสิร์ชข้อมูลแล้วทำเป็นเล่มรายงานจากนั้นก็ให้ส่งช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์แต่ตอนส่งต้องตอบคำถามของอาจารย์ด้วยไงคะเลยต้องรอคู่รายงานของฉันอย่างยัยวีญ่า
ก๊อก ๆๆ
ก๊อก ๆๆ
ฉันได้ยินเสียงเคาะประตูระหว่างที่นั่งเล่นโทรศัพท์เพลิน ๆ เยื้องกับห้องพักของอาจารย์พิเศษก็เลยเงยหน้าขึ้นดูเพราะไม่รู้ว่าใครเคาะแต่พอเงยหน้าขึ้นมาเท่านั้นล่ะ...
“เอ่อ...สวัสดีค่ะอาจารย์” ฉันตกใจจนถึงขั้นเหวอไปที่ได้เห็นว่าใครเคาะ จะเป็นใครล่ะถ้าไม่ใช่อาจารย์พิเศษที่อยู่ในห้องกำลังยืนอยู่ข้างประตูแล้วเคาะมันเบา ๆ พร้อมกับมองฉันด้วยรอยยิ้ม
“ไงครับนักศึกษา มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ทำไมไม่เข้ามาส่งงานผม” เขาออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่นะ แต่นั่นไม่สำคัญเท่าเขาจำฉันได้ไหม จำฉันที่โดนจับก้นบนรถไฟฟ้าของเช้าวันจันทร์ที่แสนจะน่าเบื่อวันนั้นได้บ้างรึเปล่า
“คือ...หนูรอเพื่อนน่ะค่ะ คู่ของหนูยังมาไม่ถึงก็เลยยังไม่ได้เข้าไปส่ง อาจารย์จะกลับแล้วเหรอคะ” ฉันว่าเขาคงจำฉันไม่ได้หรอกถึงแม้สองชั่วโมงที่เข้าสอนเขาจะเคยมองมาที่ฉันและเราก็สบตากันอยู่หลายครั้งก็ตาม
“เปล่า ผมแค่เห็นคุณนั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่สิบโมงเช้าจนนี่มันจะเที่ยงแล้วแถมคนอื่นก็ส่งงานกันเสร็จหมดแล้วแต่คุณไม่เข้ามาส่งงานผมสักทีเลยออกมาถาม”
“อาจารย์...เห็นด้วยเหรอคะ” ฉันไม่ได้จะคิดเข้าข้างตัวเองแต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะเห็นเพราะฉันนั่งหลังเสาขนาดใหญ่แถมเขายังอยู่ข้างในห้อง ฉันมั่นใจว่าเขายังไม่ออกมาสักครั้งแล้วก็มีเพื่อนนักศึกษาด้วยกันทั้งสาขาฉันสาขาอื่นเข้าไปส่งงานแทบจะเรียงคิวเลย เขาไม่มีทางออกมาแน่นอนนี่คนก็เพิ่งจะห่างไปได้แค่ประมาณสิบนาทีเองมั้งถ้าจะเห็นตอนนี้ก็คงเห็นได้แต่ก่อนหน้านี้จนถึงขั้นบอกเวลาได้ว่านั่งตั้งแต่เมื่อไหร่เป็นไปไม่ได้แน่นอน หรือว่า...หน้าห้องมีกล้องวงจรปิดกันนะ???
“หึ ๆๆ เห็นสิ ทำไมจะไม่เห็น” เขามองฉันแล้วยิ้มขำออกมานิดหน่อย ดูดีจัง
“แต่หนูนั่งอยู่หลังเสาเลยนะคะ อาจารย์เห็นหนูได้ไง” ฉันงงจริง ๆ นะคะ ถ้าไม่งงจริง ๆ ก็คงไม่กล้าถามหรอก
“หึ ๆๆ แล้วทำไมจะเห็นไม่ได้ล่ะ ผมเห็นคุณตลอดนั่นล่ะนักศึกษา ตั้งแต่วันนั้นผมก็คอยมองหาคุณตลอดเพราะเดี๋ยวมีเด็กของผมไปยืนสั่นปล่อยให้คนลวนลามอีก...ผมเป็นห่วงนะรู้ไหม”