“คุณป้อม ผมว่า... ไม่ควรปล่อยเธอไปแบบนี้ ผมจะไปรับปริมกลับบ้านนะครับ” เสียงเข้มขรึมกึ่งอ้อนวอนของเลขานุการประจำบ้าน ‘ธนทรัพย์สกุล’ บอกว่าเขาอยากบึ่งรถไปรับคุณหนูมากแค่ไหน
นัยน์ตาสีนิลสนิทรับวงหน้าหล่อเหลาเย็นยะเยือกสบมองไปยังดวงตาคู่สวยใต้อายไลเนอร์คมกริบที่เลื่อนจากเอกสารกองพะเนิน มือเล็กวางปากกาแท็บเล็ตในมือ ทิ้งแผ่นหลังลงบนโซฟามีพนักพิงของผู้บริหารพร้อมสีหน้าครุ่นคิด
“อืม... เดี๋ยวนะ... แบร์นาร์ด คุณจะไปรับมันทำไม?”
“ทำไมจะไปรับไม่ได้ล่ะ? ผมว่าสวย ๆ แบบหนูปริมป่านนี้อาจถูกผู้ชายหลอกไปทำไม่ดีไม่ร้ายแล้วก็ได้ อย่าบอกนะว่าคุณป้อมไม่ห่วงลูกสาวเลย?”
ใบหน้าสดสวยของสาววัยสี่สิบห้าปีแลดูอ่อนกว่าวัยประสาคนมีเงินนิ่งเฉย
ก็เพราะว่าห่วง... หวง รักมากเกินไป ลูกของเธอถึงได้กลายเป็นเด็กเอาแต่ใจแบบนี้!
กระเป๋าแบรนด์ใบละเจ็ดแสนเธอก็ถอยให้ลูกได้ แบล็คการ์ดไม่จำกัดวงเงิน เธอให้ลูกเอาไปช้อปปิ้งได้วันเป็นล้าน! ลูกสาวสุดที่รักอยากได้รถยนต์ขับไปเรียน ไว้รับส่งเพื่อนที่กำลังจะตั้งตัวทำธุรกิจ เธอก็ถอยบีเอ็มดับบลิวตัวล่าสุดรุ่นท็อปให้
‘คุณแม่ขา น้องปริมอยากได้จังเลยค่ะ’ ทั้งน้ำเสียงและสายตาเว้าวอน กอดรัดแม่อย่างออดอ้อน นัชชาคงจะได้ทุกอย่างที่ต้องการ คิดเท่านั้น ริมฝีปากบางเฉียบเคลือบลิปสติกสีแดงสดเม้มเข้าหากันแน่นด้วยอารมณ์กร้าวโกรธ
“คุณไปทำงานของคุณ... ปล่อยมันไป”
แบร์นาร์ดถอนหายใจออกมา “ผมไม่เข้าใจ... เธอก็ไม่ได้ทำเรื่องร้ายแรงอะไร แค่ปกป้องตัวเธอเอง เพราะว่าถูกบังคับ”
“บังคับ? อะไรนะ ฉันเนี่ยนะเคยบังคับอะไรมัน มันอยากได้อะไรฉันก็ให้ แล้วนี่... บอร์ดผู้บริหาร หุ้นส่วนเขานินทากันว่าฉันปกครองลูกสาวตัวเองไม่ได้ เพราะมันไปยืนกรี๊ดกลางห้องประชุมฉัน มันเป็นบ้าเหรอ?” คนแม่หัวเราะออกมาราวกับว่าเป็นเรื่องตลกขบขัน ไม่ใช่เรื่องตลกของเลขาฯ หนุ่มชาวฝรั่งเศส เพราะเขาไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ตัวเขาเองก็อยู่กับนัชชามานานไม่ต่างจากคนในครอบครัว
“หนูปริมเธอถูกกดดัน... ผมเห็นกับตาว่านายนนท์แต๊ะอั๋งเธอตั้งหลายครั้ง เป็นใคร ๆ ก็ไม่ชอบ ผมยังไม่ชอบเลยคุณป้อม”
“มันก็เลยต้องกรี๊ด? ไม่ใช่แล้วนะ แบร์นาร์ด ฉันว่าคุณกำลังเข้าใจอะไรผิดมาก ๆ ฉันกำลังพูดถึงสิ่งที่ไม่ควรทำ ไม่ใช่เรื่องของตานนท์” ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้เรื่องของนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง หุ้นส่วนบริษัทที่เธออยากได้มาเป็นลูกเขยว่ามีพฤติกรรมอย่างไร เขาชอบพอลูกสาวของเธอมาก และชอบมานานเสียด้วย
ในเมื่ออุตส่าห์ส่งลูกสาวไปเรียนการบริหารการตลาด ทายาทคนเดียวของบ้าน ‘ธนทรัพย์สกุล’ ยังไม่ได้เรื่องอะไรสักอย่าง! มันจึงไม่มีตัวเลือกเยอะแยะมากมาย เธอต้องการคนมาสานต่อกิจการ
ทุกคนในบ้านกลับเข้าข้างคุณหนูเหมือนที่เคยทำ เรียกได้ว่านับตั้งแต่วินาทีที่นัชชาลืมตาดูโลก หล่อนเป็นเด็กที่ถูก ‘สปอยล์’ มาตลอด
“ผมเปล่าเข้าใจผิดครับ ที่ลูกสาวคุณชอบกรี๊ดใส่หน้าคนอื่นเวลาโมโห คุณคิดว่าเป็นเพราะอะไรล่ะ จำได้ไหม?”
คำถากถางไม่ต่างจากตบหน้าฉาดใหญ่! เจ้าของร่างบางในสูททำงานราคาแพงเช่นผู้ดีลุกพรวดจากเก้าอี้ เพื่อที่จะจัดการกับเลขาฯ ปากดี ซึ่งเธอไม่เคยใจร้ายไล่ออกได้สักครั้ง ทว่าพอจะอ้าปากส่งเสียง แบร์นาร์ดยกปลายนิ้วขึ้นชี้อย่างท้าทาย ยังละความสนิทสนมลงด้วยการเรียกชื่ออย่างเต็มยศ
“นี่ไงครับ? คุณนิตยากรี๊ดใส่หน้าลูก ใส่อารมณ์กับลูก เด็ก ๆ เหมือนกระจกครับ มันเป็นกลไกการป้องกันตัววิธีหนึ่งที่สะท้อนออกมาจากการเลียนแบบพฤติกรรม ลูกโตมาแบบไหน ก็เพราะแม่เป็นแบบนั้นครับ ขนาดว่าผมเป็นแบบนี้ บางทีคงเป็นเพราะว่าเราอยู่กันมานานใช่ไหม? คราวนี้คุณจะทำอะไรผมล่ะ”
ปลายเสียงในเชิงข่มขู่ต่อว่า ดวงหน้าแดงก่ำเพราะความโกรธสะบัดไปอีกทาง สองมือกอดอก เชิดหน้าเยี่ยงนางพญา ขณะเดียวกัน ใบหน้าสะสวยเต็มไปด้วยความเศร้าหมองขุ่นเคืองใจ เธอไม่อยากจะสนใจลูกคนนี้อีกต่อไปแล้ว!
“นังลูกไม่รักดี มันจะนอนข้างถนน จะไปทำงานไซด์ไลน์ จะไปไหนก็เรื่องของมัน”
“คุณป้อมทำไมทำอารมณ์เสียอย่างนั้น? ผมไม่มีทางปล่อยให้ปริมไปทำเรื่องไม่ดีแน่” ว่าในทันที เลขานุการหนุ่มต้องพยายามสงบสติอารมณ์ลงเช่นกัน เพราะไม่คิดว่าบางคนจะพูดคำ ๆ นี้ออกมาได้
ถึงแบร์นาร์ดจะเป็นลูกน้องและอายุน้อยกว่าห้าปี ทุกวันนี้เขาไม่ได้ทำหน้าที่แค่ดูแลจัดการงานของบริษัท เรื่องไปรับส่งจัดการธุระปัญหาจุกจิกยิบย่อย เขาดูแลทั้งสองคนเป็นอย่างดีตั้งแต่สามีของนิตยาหย่าขาดกันไปด้วยเหตุผลส่วนตัวในเรื่องธุรกิจ
บริษัทปลากระป๋องตรา ‘คุณแม่มือหนึ่ง’ มีตัวเลขมูลค่าการส่งออกสินค้าไปทั่วโลกหลักหลายพันล้านบาท มีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ยังมีโรงงานผลิตกระจายอยู่ทั่วประเทศ แม้แต่ในร้านสะดวกซื้อเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ปลากระป๋องรสชาติไทย ๆ ยี่ห้อนี้นับว่าขายดีมากที่สุด เลขานุการหนุ่มใหญ่ร่วมหัวจมท้ายกับนิตยามาตั้งแต่เป็นบริษัทเล็ก ๆ ในทีแรกจนตอนนี้อายุย่างเข้าสี่สิบเอ็ดปี
ที่ต้องมาขอร้องบอกเจ้าตัวในวันนี้ เพราะเขาคงต้องตามนัชชาไปเหมือนที่ผ่าน ๆ มา ได้แต่หวังว่าอีกคนจะไม่ส่งใครไปขวาง
“ตอนนี้ปริมอยู่กับคุณพุทรา ผมจะไปรับตอนเธอโทรมานะครับ”
ได้ยินเท่านั้น คุณแม่ที่ยังโกรธลูกสาวไม่เลิกจึงหันมารั้งเขาไว้ให้ต้องอยู่ในห้องนี้ก่อน
“ก็แน่ล่ะ... มันจะมีปัญญาไปไหนได้? แล้วไม่มีอะไรทำหรือไง? คุณควรจะไปทำงานของคุณมากกว่าไปสนใจนังตัวแสบนะ”
“เอกสารงานประชุมเรียบร้อยแล้วครับ โรงงานที่สมุทรปราการ คุณผู้จัดการส่งรายการอะไหล่เครื่องจักรทุกอย่าง แจ้งว่าไม่มีปัญหาอะไร”
“ไม่มีอะไรแล้วก็กลับบ้านไปสิ... จะไปรับมันทำไม?” ในคำถากถางเหมือนว่าจะไม่ยอมแน่ วงหน้าหล่อเหลาเหยียดริมฝีปากอย่างไม่สมอารมณ์
“ผมถือว่ามาบอกครั้งหนึ่งก่อนแล้วกันครับว่าผมจะไปรับลูกปริมกลับบ้าน” เขาหมายความแบบนั้น เพราะนัชชาก็คิดกับเขาแบบนั้น
เลขาฯ ฝรั่งเศสอย่างเขาที่พูดถึงสี่ภาษาจะไปทำงานสบาย ๆ กว่าอยู่กับแม่ม่ายสาวลูกติดก็ยังได้ แบร์นาร์ดกลับเสียสละเวลาส่วนตัวทุ่มเทไปกับผู้หญิงสองคนอย่างไม่รู้ว่าทุกวันนี้มีคำว่าตัวเองหลงเหลืออยู่บ้างหรือเปล่า เขาก็ต้องเข้าข้างเด็กน้อยที่อุ้มเลี้ยงมาเหมือนเป็นลูกสาวด้วยอีกคน
และกับผู้หญิงที่เขารัก... บางครั้งก็เป็นคนพูดไม่รู้เรื่อง
“ผมได้ยินว่าสองสาวเขาทำร้านขายเสื้อผ้าด้วยกัน จดทะเบียนเป็นนิติฯ บุคคล ร้านใหญ่ ดังในหมู่สาว ๆ ปริมมีเงินเก็บเยอะแยะเลยนะครับจากธุรกิจนี้ เธอไม่ได้แย่ขนาดนั้นไม่ต้องมาทำปลากระป๋องกับคุณแม่ ถ้าไม่ใช้เงินเปลืองมาก คงอยู่ได้สบาย ๆ”
คนได้ยินละความกร้าวโกรธลง หน้าเคร่งเครียดมองอีกคนว่าทำไมเขาถึงไม่บอกเรื่องนี้กับเธอ...
มันจะมีสักกี่เหตุผลกัน? คิดแล้วก็แสร้งถามกลับอย่างนิ่ง ๆ
“ก็เรียนการตลาดนี่นะ คุณมาบอกอะไรตอนนี้ล่ะ?”
“ที่ผมไม่พูด เพราะคุณไม่เคยฟังไงครับ” เขายิ้ม เป็นยิ้มเย็นยะเยือกที่สุดเท่าที่รู้จักกันมา แบร์นาร์ดไม่สามารถก้าวก่ายในบางเรื่องได้ แต่ถ้าหากว่ามีโอกาสที่จะพูดแล้วละก็ เขาต้องปกป้องนัชชา...
“ปริมกำลังเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตของเธอ ถ้าคุณไม่รีบเอาเธอมายุ่งกับบริษัท ผมเชื่อว่าเธออยู่ของเธอได้ เดี๋ยวนี้เธอไม่ได้ใช้เงินฟุ้งเฟ้อมาก ผลการเรียนก็ดี เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจขายเสื้อผ้ากับเพื่อน คุณพุทราซื้อคอนโดฯ เป็นชื่อของตัวเอง เป็นเด็กปีสี่กันเองนะครับ”
ทั่วทั้งวงหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความชื่นชมประหนึ่งว่าเป็นลูกสาวของตัวเอง ก่อนจะวกกลับเรื่องเดิม
“ผมไม่ไว้ใจนายนนท์... คุณป้อมจะยกลูกสาวให้เขาจริง ๆ?”
“ฉันไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น ไปไหนก็ไป อยากทำอะไรก็ทำ... ฉันไม่อยากเห็นหน้ามัน ถ้ามันไม่ยอมหมั้นกับนายนนท์ให้ฉัน”
ความดื้อรั้นของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวฉายชัดออกมาทางสีหน้าและแววตา มันอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไมสาวสวยรวยมากอย่างเธอไม่แต่งงานครั้งที่สอง ขณะที่เจ้าของร่างสูงก้าวเข้าไปใกล้ ๆ
“คุณจะเป็นแบบนี้ใช่ไหม? คุณป้อม”
“...”
“ผมขอลาพักร้อนสักพักแล้วกัน... ผมจะหาเลขาฯ เก่ง ๆ มาทำงานแทน รับรองว่าผมไม่เอาเด็กไม่เป็นงานมาให้กวนใจคุณ” ในน้ำเสียงเย็นชา ใบหน้าสดสวยของสาวใหญ่นิ่งเฉย หากแต่แฝงความน้อยเนื้อต่ำใจไว้ในดวงตาคู่สวยเอ่อคลอ
กระทั่งวินาทีที่เขาจ้องมองมาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ก่อนจะหมุนกายจากไป ทิ้งเธอไว้ในห้องลำพัง
เสียงประตูที่ปิดลงเบา ๆ พาเจ้าของร่างบางในห้องโล่งกว้างได้แต่ยืนกัดฟันแน่น ตัวสั่นเทาเพราะความโกรธ ข้าวของบนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ทั้งปาก สมุด ที่วางทับกระดาษลอยไปกระแทกเข้ากับประตูตามแรงโทสะ
“ไอ้เลขาฯ บ้า! ไอ้ผู้ชายเฮ็งซวย เข้าข้างกันดีนัก อยากไปไหนก็ไป จะลาพักร้อนแม่งครึ่งปี ก็เรื่องของมึง!” เสียงตวาดกร้าวตามไล่หลังไป กว่าที่เธอจะสงบสติอารมณ์ได้ ต้องใช้เวลาพักใหญ่กับการนั่งนิ่ง ๆ บนโซฟา
นิตยาได้แต่หวังว่าตัวเธอคงไม่กลับไปเป็นแม่ค้าปากตลาดเหมือนในสมัยที่ยังเป็นขายปลาในตลาดสด เมื่อทุกวันนี้เธอผ่านจุด ๆ นั้นมานานมากเสียจนจำไม่ได้ด้วยซ้ำแล้วว่าความจนคืออะไร
และถึงจะโกรธลูกสาวสักแค่ไหน เป็นไปไม่ได้เลยที่คนเป็นแม่จะไม่คิดว่านัชชากลายเป็นเด็กนิสัยเสียเพราะเติบโตมากับแม่ซึ่งเป็นคนโมโหร้าย ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้อย่างเธอ!