หญิงสาวในชุดนักศึกษากระโปรงพลีทจีบรอบสั้นประเข่ายืนรอเพื่อนรักมาได้สักพัก
ใต้กันสาดหน้าบ้านหลังใหญ่โตโอ่อ่าซึ่งมันไม่ได้ช่วยบดบังเม็ดฝนที่โหมกระหน่ำได้สักเท่าไร ผมสีน้ำตาลช็อกโกแลตตามเทรนแฟชั่นลู่สนิทลงไปบนเรือนกายผุดผ่อง ขณะยกสองมือขึ้นกอดกุมเสื้อสีขาวที่เห็นขอบเส้นบราเซียอยู่บาง ๆ หวังให้มันได้คลายหนาวลงแต่ก็ไม่เลย...
บางทีความเหน็บหนาวอาจมาจากก้นบึ้งของหัวใจเธอที่ไม่ว่าทำอะไรก็ไม่ถูกใจแม่
แม่บอกว่าเธอเอาแต่ใจมากเกินไป ดื้อรั้น ปากร้าย ใช้เงินฟุ่มเฟือย ไม่รู้จักคำว่าอดทนอะไรในชีวิตสักอย่าง...
ใบหน้าสดสวยสลดเศร้ามองพื้นขรุขระ เม็ดฝนที่กระแทกลงอย่างหนัก เสียงลมคำรามกรรโชกพัดผ่านโสตประสาทอย่างน่ากลัว เหมือนว่าจะมีพายุลูกใหญ่ในค่ำคืนนี้ นัชชาได้แต่หวังว่าเจ้าของบ้านจะไม่ปล่อยให้เธอต้องยืนตากฝนนาน
ไม่นานนัก รถยนต์ยุโรปหรูสีดำสนิทจอดลงหน้าบ้านหลังใหญ่โต พร้อมกับการปรากฏตัวของเพื่อนรัก
ปรายลดาเปิดประตูรถยนต์ออกมาพร้อมร่มคันใหญ่หนึ่งคัน ปล่อยให้คนขับรถไปจอดรถเสียก่อน เข้ามาหาเธอในทันที
“ยัยปริม มายืนเป็นลูกหมาตกน้ำอะไรตรงนี้เนี่ย... ไม่ได้เอารถมาเหรอแก?”
นัชชาหลุบตาลงต่ำ เบะปากเป็นเด็กเล็ก ๆ “แม่ยึดรถ... บัตรเครดิต ยึดทุกอย่างเลย ฉันนั่งแท็กซี่มาหาแก มีตังติดตัวไม่กี่บาทเนี่ย”
“อ้าว... ทำไมเป็นงั้นอ่ะ?” คนถามมีสีหน้าแปลกใจแต่ดูแล้วว่าไม่น่าจะใช่เวลาคุย ตบบ่าเพื่อนเบา ๆ “ไป เข้าบ้านก่อน กินข้าวมาหรือยัง? แกน่ะ”
“ยัง... ไม่มีข้าวสักเม็ดตกถึงท้องฉันเลย ไส้จะขาด แม่ใจร้ายมาก” คนตอบยกมือขึ้นกุมท้อง เดินตัวงอตามเพื่อนที่กอดกุมไหล่ของเธอเอาไว้ในร่มคันเดียวกัน
นักศึกษาสาวทั้งสองคนรีบวิ่งฝ่าฝนใต้ร่มสีดำคันโต ผ่านสวนสงบร่มรื่นรายล้อมรอบตัวบ้านโทนสีเทาอบอุ่น ไปถึงประตูกระจกบานเลื่อน ก่อนที่ปรายลดาจะหุบร่มลงเก็บ ความเป็นห่วงปรากฏผ่านสีหน้าและแววตาชัดเจน
“แล้วพี่ธามอ่ะ... ไม่มาส่งแกเหรอ?”
นัชชาถอนหายใจหนัก ตอบเสียงอ่อน “ไม่อ่ะ... ทะเลาะกัน”
และเธอคงไม่อยากเล่าวีรกรรมที่สร้างไว้ทั้งกับแม่บังเกิดเกล้าและกับแฟนหนุ่ม ปรายลดาหยิบกุญแจขึ้นไขประตู เพื่อนสาวก็ขมวดคิ้วมุ่นมองรถยนต์ติดฟิล์มมืดดำถอยหลังเข้าลานจอดรถกว้างขวางที่สามารถจอดรถได้ถึงสี่คัน สมเป็นการออกแบบของสถาปนิกหนุ่มเจ้าของบ้านหลังนี้
“ไหนแกบอกฉันว่าพ่อเลี้ยงไปฟิลิปปินส์ ใครขับรถอ่ะนั่น?”
“คุณอลัน...”
ได้ยินเท่านั้น สีหน้าตื่นตระหนกของนัชชาหยุดดวงตาคมปลาบของร่างสูงในเชิ้ตสีดำสนิท หลังจากที่เขาลงจากรถยนต์ และเมื่อเขามาหยุดยืนข้าง ๆ เธอในสภาพเปียกปอนฝน ก็หลุบตาหลบหน้าหนี ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“สวัสดีค่ะ...”
“สวัสดีครับ” ตอบรับคำทักทาย ชายหนุ่มยังรับไหว้ในแบบไทย ๆ ก่อนจะยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย เดินตามสองหญิงสาวเข้าบ้านไป
ใคร ๆต่างก็ว่านัชชาเป็นลูกผู้ดีตีนแดงที่มีนิสัยก้าวร้าว เอาแต่ใจตัวเอง รวมไปถึงอลันซึ่งไม่เคยชอบขี้หน้าเธอเลย
เหตุการณ์ทั้งหมดมันเริ่มต้นเมื่อนานมาแล้ว เมื่อเด็กสาววัยสิบเอ็ดขวบ แต่งตัวแก่แดดเกินวัย ทาปากแดงเป็นผู้ใหญ่ เปรยคำหนึ่งขึ้นมาลอย ๆ ว่า ‘เด็กเส้น’ ตั้งแต่วันแรกที่เขาเริ่มทำงานให้ปรเมษฐ์
มันเป็นเรื่องจริงด้วยว่าหนุ่มวัยยี่สิบปีกำลังฝึกงานไป เรียนไป ทางด้านสายงานบริหารฯ ใบปริญญาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังในรัฐแคลิฟอร์เนียร์ คงยุ่งรัดตัวและไม่มีประสบการณ์มากพอ ไม่อาจเป็นเลขาฯ ให้เจ้าของรีสอร์ตระดับห้าดาว สถาปนิกหนุ่มคนดังได้ หากไม่ใช่เพราะบารมีของคุณปู่ฝากฝังให้ช่วยงานคนรู้จักกัน
เด็กน้อยที่มีกิริยามารยาทดี มีกาลเทศะรู้ว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด
“โตขึ้นเยอะนะเรา มาหาคุณพุด มีแผนจะพากันไปไหนล่ะ?” เสียงเข้มทัก อลันทำตัวเหมือนเป็นบ้านตัวเอง เพราะมาบ้านเจ้านายอยู่บ่อย ๆ ปรายลดาเอาผ้าเช็ดตัว ผ้านวมมาให้เพื่อนคลายหนาว
ร่างสั่นเทาจึงรับผ้าขนหนูสีชมพูผืนโตมาเช็ดผมเป็นอย่างแรก โดยไม่ได้สนใจคำถามของเขาเลยสักนิด นัชชาเพิ่งตั้งสติได้ว่าไม่ใช่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่จะต้องหวาดกลัวฝรั่งยักษ์อีกต่อไป
ชายหนุ่มหย่อนก้นนั่งลงข้าง ๆ กัน นัยน์ตาสีฟ้าครามเข้มลอบมองใบหน้างามหมดจดดูไม่อยู่ในอารมณ์สดชื่นแจ่มใส
“พูดไม่ได้ยินเหรอ?”
ในน้ำเสียงเหมือนจะเอาเรื่อง มือเล็กหยุดขยี้ผมเปียกหมาด ตวัดหางตามองอย่างไม่พอใจ “ยังไม่ไปอีก? ผู้หญิงเขาจะอยู่กัน”
“ผมจะนอนนี่... เผื่อมีคนชักชวนคุณพุดไปทำเรื่องไม่ดี”
“ประสาทป่ะ ฝนตกขนาดนี้จะไปไหน? อยู่บ้านนอนสิ ทีวีมี เน็ตมี ไม่ได้เป็นเด็กห้าขวบ ไปปีนต้นไม้เล่น”
ปรายลดาหัวเราะพอนึกถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้วในสมัยที่นัชชาอยากสอยมะม่วงข้างบ้านมาให้เธอกับพ่อเลี้ยงรับประทาน
“ระวังเหอะ คุณอลันจะจับแกตีก้น”
“ผมคงไม่กล้า เดี๋ยวจะมีคนร้องไห้ไปฟ้องแม่ ให้มาเอาเรื่องผมอีก”
อีกคนก็จำได้ว่าเขาเคยสาดอารมณ์เกรี้ยวกราดใส่เด็กตัวเล็ก ๆ ยิ่งเสียกว่าเธอเผาบ้านทั้งหลัง เรียวปากบางที่เม้มเข้าหากันแน่นเพราะความโกรธ ทว่าไม่ทันจะได้เถียง สายโทรศัพท์จากแม่ทำให้นัชชาต้องสะบัดหน้างอนขึ้นห้องไปคุยธุระส่วนตัวลำพัง
แผ่นหลังบางลับตาไปพร้อมความสงสัยของเขาที่แค่มองตาม แต่ก็ไม่ได้ถามเรื่องอะไรเกี่ยวกับเธอเลย เป็นปรายลดาที่ถาม
“คุณอลันหิวไหมคะ.. ให้พุดโทรสั่งอะไรให้ทานไหม?”
“ไม่เป็นไร ผมอยากได้อะไร เดี๋ยวไปซื้อเอง พุดอยู่กับเพื่อนตามสบายเลยครับ” เขาตอบเท่านั้น เพราะรู้ว่าหมอนผ้าห่มสำหรับแขกอย่างเขาเก็บไว้ตรงไหน คงไม่ต้องให้หญิงสาวมาเป็นธุระ ทันใดนั้นเอง
“พุด...”
เสียงเล็กเรียกแผ่วเบา ทั้งสองคนหยุดสนทนากัน มองขวับตามเจ้าของร่างบางที่ยืนหลบอยู่ตรงหัวบันได
ใต้แสงสีนวลสลัวของโคมไฟระย้า ดวงหน้าแดงก่ำเปรอะเปื้อนหยดน้ำตาบอกว่านัชชาคงทะเลาะกับแม่ ในสภาพเปียกชุ่มมีผ้าขนหนูพาดไว้บนไหล่ทำให้เจ้าตัวยิ่งดูน่าสงสารเข้าไปใหญ่ ปรายลดาก้าวไว ๆ ไปกอดประคองเพื่อน เพื่อพาขึ้นห้องนอนไปด้วยกัน
อลันมองตามหญิงสาวทั้งสองคนอย่างนึกห่วง ก่อนจะล้มตัวลงนอนไปด้วยความเหนื่อยล้า ไม่รู้ตัวว่าหลับไปตอนไหนทั้งที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำ กินข้าวหรือทำอะไรสักอย่าง
หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัว หยิบเดรสนอนลายหวานมาใส่ นัชชาล้มตัวลงนอนบนเตียงนอนของเพื่อนทั้งน้ำตา เธอมองไปรอบ ๆ ห้องนอนกว้างขวางตอนนี้ไม่ได้เป็นสีชมพูอีกต่อไป แต่เป็นสีเดียวกันกับที่เธอชอบคือสีเทา สีขาว และสีดำ
ไฟสีเหลืองนวลสลัวจากโคมไฟข้างหัวเตียงทำให้เปลือกตาช้ำเปียกปอนต้องกะพริบอยู่ตลอด พอคนที่ทิ้งตัวลงนอนข้าง ๆ ยกผ้าห่มขึ้นคลุมให้ การกระทำแสนอ่อนโยนของเพื่อนทำให้นัชชารู้สึกผิด...
“ฉันขอโทษนะพุด... ขอบใจแกด้วย”
“ขอโทษอะไรล่ะ?” คนถามเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย ก่อนจะซุกมือเข้าใต้หมอนทำเหมือนกันกับอีกคนที่หลุบตาลงต่ำ อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ก่อนจะยอมเอ่ย
“หลาย ๆ เรื่อง... บางทีฉัน เอ่อ... อิจฉาแกน่ะ”
ปรายลดายิ้ม ความเป็นเพื่อนทำให้เข้าใจหัวอกกันเป็นอย่างดี “ฉันรู้... แต่ฉันไม่โกรธแกหรอก แกน่าสงสารจะตาย...”
“เอ้า... ไมพูดงั้นอ่ะ ฉันเนี่ยนะน่าสงสารอะไร” คนฟังหน้าตะลึงและก็ได้คำตอบให้หายคาใจ
“แกน่ะเหมือนเด็กมีปัญหา เพราะโดนสปอยล์เยอะไป แต่จริง ๆ แล้วแกเป็นคนดี ฉันแน่ใจได้เลย ปริม...” พูดด้วยแววตาประกายมาดมั่นแต่สีหน้านั้นก็เจือแววไม่พอใจในอีกครู่
“เรื่องที่แกชอบทำอะไรลับหลัง อย่างพยายามจะแย่งพี่ธามไปจากฉัน ที่แกโทรไปฟ้องพี่เปา คิดว่าฉันไม่รู้หรือไง? อืม... แต่ถ้าแกไม่ทำแบบนั้น พี่เปาแกไม่กลับมาหาฉันหรอก ฉันต้องขอบใจแกมากกว่า”
คำขอบคุณอย่างไม่จริงใจ คนทำความผิดรู้สึกเหมือนว่าตัวของเธอลีบเล็กลงจนเท่ามด มือเล็กดึงผ้าห่มซุกตัวเพราะความหนาว โดยได้รับความช่วยเหลือ
“หนาวไหม? เดี๋ยวฉันไปเบาแอร์ให้นะ กินยาไว้ก่อนดีมะ แกยืนตากฝนตั้งนาน” คนพูดหยัดกายลุกขึ้นจัดแจงผ้านวมหนาให้เข้าที่ เดินไปหยิบยามาวางไว้บนโต๊ะหัวเตียง ยังเอาผ้านวมลายตุ๊กตาน่ารักมาให้ด้วยอีกผืน
ด้วยความหวังดีของเพื่อนรักตอนนี้ นัชชารู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างจากดักแด้นอนขดอยู่ในรังไหม ทว่ามันก็ช่วยให้คลายหนาวลงบ้าง ขณะที่มีเรื่องต้องคิด...
“พุด... แกว่าฉันเอาแต่ใจมากไปไหม?”
ปรายลดาถอนหายใจพลางส่ายหน้าไปมา “นี่ไม่รู้ตัวจริง ๆ เหรอ? แกน่ะ โคตรเอาแต่ใจ แต่ว่ามันก็เป็นแกป่ะ จะไปคิดอะไรมาก แม่แกโกรธแกไม่นานหรอก แม่ป้อมรักแกจะตาย”
เพราะความเป็นเพื่อนสนิทกันคงเป็นไปได้ยากที่จะหลับในเวลานี้ หากใครมีเรื่องอะไรไม่สบายใจก็ปรึกษากันและกันมาเสมอ พอคนหนึ่งซุกตัวลงนอนตาม กลายเป็นว่าอีกคนยังชวนคุยไม่เลิก
“ฉันหวังว่าแม่จะหายโกรธอย่างที่แกว่า แต่แม่ฉันไม่เคยโกรธฉันมาก่อนเลยนะ นี่แหละประเด็น”
“ตกลงไปทำเรื่องอะไรไว้?”
“ฉัน... กรี๊ดในห้องประชุมแม่เพราะแม่จะให้ฉันหมั้น... กับไอ้นักธุรกิจบ้าคนหนึ่ง ฉันไม่ชอบขี้หน้ามัน” เสียงหวานแฝงความกร้าวโกรธ กระทั่งใบหน้าสดสวยบึ้งตึงหนักผ่านแสงสลัว หญิงสาวอีกคนก็คงจะต้องตกใจ
“เฮ้ย! แกถึงขั้นกรี๊ด คนเยอะไหมนั่น ทำไมทำอะไรไม่คิดเลย?”
หากว่าใครจำเสียงหวีดร้องลั่นชนิดคอแทบแตกของนัชชาได้ว่าไม่ต่างจากนางร้ายในละครหลังข่าวดี ๆ คงต้องส่ายหน้าเอือมระอาไปตาม ๆ กัน รวมถึงปรายลดาซึ่งเคยไปเที่ยวบ้านเพื่อน เคยเห็นนัชชาแผลงฤทธิ์เหมือนคนบ้าอยู่
หญิงสาวหักมุมปากลงเป็นเด็กน้อยทำความผิด และกำลังจะร้องไห้อีกรอบ ทว่าเธอกลับพลิกตัวไปอีกฝั่ง นอนหันก้นให้
“นอนดีกว่า”
ถึงบอกไปว่าจะ ‘นอน’ สุดท้ายแล้วนัชชาก็ยังไม่หยุดปากพูดไปเรื่อยจนดึกดื่น เรื่องทั้งเรื่องมีแต่เรื่องของแม่ผู้แสนดี ตามใจเธอไปเสียทุกอย่าง กว่าจะผล็อยหลับไป