หลังพริ้มตาปิดลงบนเตียงนุ่มเคียงข้างกัน การซุกตัวอิงแอบในอ้อมกอดอุ่นทำให้มันเป็นคืนของการหลับสบายที่สุดของนัชชา ตรงข้ามกันกับอีกคน
การกระทำไร้ความยั้งคิด ผลที่ตามมาช่างโหดร้ายที่สุด!
ชายหนุ่มอดทนเก็บความปวดร้าวไว้จนทนไม่ไหว ตกกลางดึกเขาก็ลุกหายไปปลดปล่อยตัวเองในห้องน้ำก่อนกลับมากอดคนตัวเล็กไว้ไม่ห่าง
ห้องปรับอากาศอุณหภูมิเย็นฉ่ำไม่ได้ลดอุณหภูมิร้อนระอุลงสักนิด! ยังต้องมาเกรงใจห้องคนอื่นจึงไม่ล่วงเกินหญิงสาวมากไปกว่านั้น เขายังลังเลใจอยู่ด้วยว่ามันเป็นการบกพร่องในหน้าที่หรือเปล่า
จวบจนผล็อยหลับไปอย่างเหนื่อยล้า อลันรู้สึกตัวตื่นขึ้นก่อนในรุ่งเช้าตามนิสัยคนทำงาน ความปิติยินดีท่วมท้นในใจ ทันทีที่ปรือเปลือกตาขึ้นพบใบหน้าหลับใหลอย่างเป็นสุขของคนในอ้อมแขน
ปลายนิ้วเรียวเข้าไปวนเล่นในเส้นผมอย่างเพลิดเพลิน เลื่อนไปคลอเคลียอยู่บนแก้มผ่อง บางครั้งริมฝีปากหนาหยักได้รูปก็จะกดจุมพิตลงบนกลีบปากบางนุ่มแผ่วเบา ราวต้องมนต์เสน่ห์ของเจ้าหญิงนิทรา ไม่มีวี่แววลุกยังซุกเข้าหาแผงอกกว้างกำยำ สูดกลิ่นหอมอ่อนของเสื้อเชิ้ตสีดำเต็มไปด้วยรอยยับ
กระทั่งสมควรแก่เวลา เขาต้องใช้ความระมัดระวังในการดันตัวออกจากร่างนุ่มนิ่มเปลือยเปล่า และมือหนุบหนับที่เกาะแน่น ไม่ลืมห่มคลุมผ้านวมหนาไว้อย่างมิดชิด ย่ำปลายเท้าอย่างเบาที่สุดออกจากห้องไป ค่อยส่งข้อความบอกทีหลังว่าเขาต้องรีบเข้าบริษัท
ยังเก็บเรื่องนั้นไปคิดด้วยความว้าวุ่นใจ...
อย่างแรกคือเขายังอยู่ในฐานะเลขาฯ คุณนายนิตยา อีกอย่างคือความไม่เหมาะสมของตัวเขาเองที่มีเหตุผลของการบอกลาจากครอบครัวในบราซิล แคลิฟอร์เนียร์ มาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทย เขารู้ว่าพ่อแม่เสียชีวิตเพราะอะไร เขาแค่ไม่ต้องการแก้แค้น การเป็นเลขานุการอย่างสงบสุข ทำบุญ กรวดน้ำให้พวกเจ้ากรรมนายเวรก็เพียงพอ
เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ทุกสรรพชีวิตมีกรรมของตัวเองและพวกมันจะต้องได้รับกรรมนั้นแน่ ๆ
ปรายลดาเคยบอกเขาแบบนั้น... เขาที่เป็นคริสเตียนจึงเริ่มดำรงวิถีชีวิตแบบคนพุทธ ใช้ชีวิตโสด ๆ อยู่ลำพังมาตลอด ไม่อยากมีครอบครัว หรือลงหลักปักฐานกับใคร
แต่แล้วทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไป ยังมีเรื่องที่เขาเพิ่งเคยได้ยินคือ ‘เวรต้องระงับด้วยการจองเวรจนถึงที่สุด’
ในข้อหลังนั้น อลันได้บอกลาเรื่องตีรันฟันแทงมานานแล้วคงไม่กลับไปวุ่นวายกับมันอีก แต่ก็ไม่แน่ว่าหากมีคนมายุ่งกับสาวของเขา เขาอาจจะกลับไปเป็นคนคนเดิมหรือเปล่า?
เป็นเพราะว่ามัวแต่ยุ่งอยู่กับงาน เอกสารต่าง ๆ มากมายเต็มโต๊ะในระยะเวลาสั้น ๆ แม้ว่าจะมีเลขาฯ สาวอีกคนช่วยจัดการสะสาง ส่งให้ผู้จัดการแผนกอีกที
ด้วยความที่เป็นบริษัทใหญ่โต มีแต่คนทำงานมานาน เก็บความลับเก่งเท่านั้นที่จะรู้ว่าหน้าที่ของเลขาฯ ผู้ชายคือจัดการตารางนัดหมาย คอยดูแลเจ้าของบริษัทเป็นการส่วนตัว
คุณนายนักธุรกิจพันล้านจึงไม่จำเป็นต้องพกบอร์ดี้การ์ดไว้ข้างกายให้ตกเป็นเป้าสายตา ในเมื่อเธอมีผู้คุ้มกันที่ดีติดสอยห้อยตามอยู่ตลอด แน่ว่าเงินเดือนก็สองถึงสามเท่าคูณไปอย่างสมน้ำสมเนื้อ
สุดท้ายแล้วเขาเลยไม่มีเวลาโทรหานัชชา พอเสร็จงานในช่วงบ่าย อลันตั้งใจว่าจะตรงไปเอาเสื้อผ้าสำหรับใส่ไปงานแต่งของปรายลดาและปรเมษฐ์ ค่อยไปรับเด็กนักศึกษาที่มหาวิทยาลัย
ดันมีเรื่องกวนใหญ่อยู่เรื่อง...
หลายวันแล้วที่เขาได้ยินบรรดาสาว ๆ นินทากันหน้าห้องประชุม เรื่องคุณนายนิตยายกเลิกคำพูดกับทางผู้ใหญ่ของหุ้นส่วนเครือนิตยาฟู้ด เกี่ยวกับงานหมั้นของลูกสาวและลูกชายทั้งสองฝั่ง
นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงตามเกาะแกะนัชชามาหลายปี เวลาลูกสาวมาหาแม่ถึงบริษัท นายคนนี้มักหาโอกาสจับนิดจับหน่อย ทุกคนกลับเห็นว่าทั้งสองคนเหมาะสมกัน ไม่เว้นแม้แต่พนักงานบางคนที่มองการคุกคามทางเพศเป็นเรื่องปรกติ
เขาถึงได้เข้าใจเหตุผลว่าทำไมนัชชาไม่ยอมกลับบ้าน ยังมีเหตุผลของตัวเขาที่คงไม่นิ่งเฉยกับเรื่องนี้แน่
พอนายอานนท์ทราบว่าคงไม่ได้หมั้นกับหญิงสาว ก็ตามโวยวายด้วยความไม่พอใจมาถึงห้องทำงานของเลขานุการ ติดกับห้องทำงานเจ้าของบริษัทในชั้นบนสุดของตึกสูงระฟ้า
“คุณน้า... ผมชอบน้องปริมจริง ๆ นะครับ”
“เอาเป็นว่าน้ารับรู้ แต่ช่วยอะไรไม่ได้ ชอบใครก็ต้องขวนขวาย ไปเสนอหน้าจีบเอาเองนะ”
“คุณน้า!”
“อะไรอีกเนี่ย? ไปได้แล้วนายนนท์ อย่ามาเซ้าซี้น่ะ”
ร่างบางใสเดรสสีขาวเข้ารูป คลุมทับด้วยเสื้อสูทหยุดก้าวลงหน้าโต๊ะอลัน เลขานุการหนุ่มรู้หน้าที่ตัวเองว่าต้องปฏิบัติหน้าที่ แม้สาว ๆ อีกสองคนในห้องจะเสียดายอยู่สักแค่ไหน เมื่อถึงเวลาอาหารจานโปรดทางสายตาต้องกลับก่อนเวลา
“คุณอลัน โทรหาแบร์นาร์ดให้ฉันด้วย บอกให้ไปรับลูกปริมไปเจอที่ห้องเสื้อคุณลิลลี่ ฉันอยากใส่ชุดสีเดียวกับลูกสาวไปงานแต่งหนูพุทรา” นิตยามาถึงก็สั่ง อลันเหยียดแผ่นหลังพิงเก้าอี้โซฟาของเขา ล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกง เพื่อต่อสายหาเลขานุการหนุ่มชาวฝรั่งเศส ขณะที่ยังได้ยินเสียงกวนใจ
“ผมไปด้วยนะครับ คุณน้า... ให้ผมไปช่วยดูน้องนะ”
“โทรไปคุยกันเองนะ น้าไม่เกี่ยว”
“งั้น... ผมไปห้องเสื้อก็ได้ ผมคิดถึงน้องปริม ไม่ได้เจอกันมาตั้งหลายวัน”
ผมคิดถึงน้องปริม! ขนาดตัวเขาเองยังไม่กล้าพูดคำนั้นเลย ดวงตาคู่คมสีฟ้าครามเข้มจัดจับจ้องไปที่มารหัวใจซึ่งยังคงไม่รู้เนื้อรู้ตัวกับรังสีอำมหิต
“Allô, c’est moi... Rendez-vous dans le vestiaire. Il vient aussi” (ฮัลโหล นี่ผมเองนะ ไปเจอกันที่ห้องเสื้อ เขาไปด้วยนะ)
“ฮะ... อลัน... คุณบอกแบร์นาร์ดว่าไงนะ?” คำถามเต็มวงหน้านิตยาที่ไม่ได้สั่งให้เลขาฯ หนุ่มสื่อสารเป็นภาษาฝรั่งเศส และที่สำคัญ! ใครใช้ให้บอกว่า ‘เขา’ จะไปด้วยกัน ปลายสายคงฉลาดมากพอแม้เจ้าตัวไม่ได้เอ่ยชื่อ เขาที่ว่านั่นก็คือนายอานนท์
“ไปกันครับ คุณน้า ผมขับรถให้เอง”
ร่างเปลือยเปล่าบนเตียงนุ่มรับรู้ได้ถึงความหนาวขึ้นตามลำดับ เมื่อท่อนแขนอุ่นหายไป นัชชานั้นขี้เซาปลุกยากมาตั้งแต่เด็กยังไม่กล้านอนปิดไฟเพราะกลัวความมืด กลับตื่นเต็มตาอย่างง่ายดาย
“น่าจะจับปล้ำไปตั้งแต่เมื่อคืน... จริง ๆ เล้ย!” เสียงสูงปรี๊ดว่าพลันลุกพรวดจากเตียง กระแทกเท้าปึงปังเข้าห้องน้ำไปจัดการกับตัวเอง
เธอไม่เคยสูญเสียความเป็นตัวตนมาก่อน หากไม่นับตอนที่อยู่กับเขา...
อย่าบอกนะว่า… ว่า... ว่าเธอ...! กำลังมีความรัก... กับคุณอลันเนี่ยนะ?
ในสีหน้าตื่นตะลึงหน้ากระจกบานใหญ่ ความตื้นตันเกิดขึ้นในใจพร้อมกับความเศร้าหมอง
หลายครั้งที่เธอไม่ชอบตัวเอง นิสัยไม่ดี ปากร้าย หยาบคาย ขี้อิจฉาเหมือนปิ่นแก้ว ยังอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ เอาแน่เอานอนกับชีวิตไม่ได้ ที่จริงแล้วเธออาจไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ถ้าไม่มีสมบัติของแม่
ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่คิดได้ มันเริ่มตั้งแต่เธอมาช่วยยัยพุดขายเสื้อผ้านี่แหละ ถึงได้รู้ซึ้งถึงความลำบากของการหาเงินแต่ละบาท
ความฟุ้งซ่านทั้งหมดถูกชำระล้างไปกับสายน้ำจากฝักบัวในห้องน้ำเล็ก ๆ ของห้องสตูดิโอ ไม่เหลือแม้กลิ่นโคโลญจน์หอมเข้มของชายผู้แสนอบอุ่นที่ฝากฝังจุมพิตไว้บนเรือนร่างทั่วทุกอณูกาย
นัชชาใช้เวลาแต่งตัวไม่นาน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูข้อความเป็นระยะ แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าบางคนจะโทรมาหากันบ้าง จนเดินทางไปส่งงานกลุ่มที่มหาวิทยาลัยเสร็จ ได้รับสายจากเลขานุการส่วนตัว ตัวจริงเสียงจริงของแม่ ให้ต้องผิดหวังอยู่น้อย ๆ
ในลานจอดรถโล่งกว้างหลังตึกคณะบริหาร เธอขึ้นรถของชายวัยสี่สิบ ทักทายเขาด้วยการแตะแก้มในแบบชาวฝรั่งเศส
“Bonjour... Bernard” เสียงอ่อนว่าพลางส่งยิ้มให้อย่างเคย ด้วยความที่อยู่ด้วยกันมานับยี่สิบปี นัชชาและแม่เข้าใจภาษาฝรั่งเศสชนิดแตกฉาน
นานแล้วที่เธอรู้ว่าเลขาฯ หนุ่มมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคุณแม่และเธอไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไร เธอถูกชะตาแบร์นาร์ด เคารพรักเขาในฐานะพ่อ ยังสามารถที่จะพูดคุยกันได้อย่างสนิทสนม
“เป็นอะไรหรือเปล่า? ไม่เจอตั้งหลายวัน หน้าตาดูไม่ค่อยสดชื่นนะ”
“เปล่า... ไม่มีอะไร อลันล่ะ?” ถามทันที ใบหน้าสดสวยบึ้งตึงนึกถึงคนที่ทิ้งความรักระลอกใหญ่ไว้ก่อนจากไป ไม่มีโทรหาแม้สักสาย
“ทำไมต้องถามถึงอีกคน คนมารับน้อยใจนะรู้ไหม?”
“แล้วใครส่งคนอื่นมาทำงานแทนล่ะคะ? มาทำน้อยใจอะไร สายไปละ ตอนนี้ปริมชอบนั่งบีเอ็มมากกว่า” เมอร์เซเดสเบนซ์สีดำรถประจำบ้านของเธอเหมือนเบาะมันจะแข็งไปเสียอย่างนั้น หนุ่มวัยสี่สิบปีอาบน้ำร้อนมาก่อนเด็กสาวคงเดาได้ไม่ยาก
“ถ้าไม่ใช่ผม จะไปสนิทกับผู้ชายคนไหนก็ต้องระวังนะ ปริม... ผมเป็นห่วงนะ ถึงได้เตือน”
“ผู้ชายสิ... ต้องกลัวปริม ฮ่า ๆ” เธอหัวเราะเริงร่าให้อีกคนยิ้มออกมา ทว่าเขายังนึกห่วงอยู่เสมอ เลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นลูบศีรษะอย่างเอ็นดู
“แล้วเมื่อเช้ามามหา’ลัยยังไง? ไม่มีรถไม่ใช่เหรอ ผมจะให้อลันมาส่งแล้วกัน ไม่อยากให้นั่งวิน อันตราย...”
“ไม่ต้อง ฉันเอาตัวรอดได้ คนเขานั่งกันทั้งบ้านทั้งเมือง ไม่เห็นเป็นไร ถ้าเขาจะมา เขาก็คงจะมาเอง”
คิ้วเข้มหนาของหนุ่มวัยสี่สิบขมวดมุ่น เขาไม่เคยเห็นด้วย และไม่ชอบสักคน ดันรู้สึกร้อน ๆ ขึ้นมาจนต้องปรับเครื่องปรับอากาศให้เย็นขึ้น
“มีอะไรหรือเปล่า? ผมว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากล”
“ไม่มี๊” เสียงสูงปรี๊ดว่าแล้วก็ทำเฉย คนที่ดูแลเด็กสาวมาแต่ตัวเล็ก ๆ บอกเสียงเข้มเครียด
“คนนี้ผมว่าไม่โอเค ไม่ได้ ไม่ดีมาก ๆ”
“มีคนไหนที่คุณพ่อว่าดีบ้างล่ะคะ?” หญิงสาวค่อนขอด ทำเชิดใส่ด้วยการมองออกไปนอกหน้าต่าง ทว่าพอได้ยินคนข้างกันเรียกให้ต้องฟัง
“ปริม... เดี๋ยวจะเล่าเรื่องนายอลันให้ฟัง ผมจะบอกว่า... เปลี่ยนใจได้นะ”