บทที่4.2

1391 คำ
หลายนาทีต่อมา “กลับมาแล้วครับ” ทันทีที่ประตูห้องเปิดออกแล้วพบว่าคนตรงหน้าเป็นพี่ควีน ผมซึ่งเห็นเต็มตาว่าอีกฝ่ายมีท่าทีกังวลใจมากแค่ไหนจึงเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้มบางเบาแบบที่เธอมักจะมอบให้ผมทุกครั้งยามมองหน้า ทว่า... “กลับค่ำจังเลยค่ะ” แม้สีหน้าจะฉายชัดถึงความโล่งอกอยู่บ้าง แต่น้ำเสียงกลับแฝงความดุดันเล็กน้อย พร้อมกันนั้นยังใช้ดวงตากลมโตลากสำรวจสภาพภายนอกผมตั้งแต่ศีรษะจดเท้า เมื่อแน่ใจว่าไม่มีส่วนไหนบอบช้ำจึงเปลี่ยนมาคว้าหมับเข้าที่ข้อมือ ออกแรงเพียงเล็กน้อยจับจูงผมกลับเข้าไปในห้อง...ซึ่งตอนนี้ไม่มีไอ้ดีนแล้ว ไม่มีแม้กระทั่งบอดี้การ์ดคนอื่น ๆ “บอดี้การ์ดไปไหนหมดล่ะครับ?” ผมถามทันที อย่างน้อย ๆ ตอนผมกลับมา...ก็ควรจะมีสักคนสองคนยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องเธอนะ กับชีวิตที่มีบอดี้การ์ดล้อมหน้าล้อมหลังแบบนั้น นี่คือสิ่งที่ควรเป็นไม่ใช่เหรอ? “ไปเฝ้าดีนค่ะ” พี่ควีนตอบ เป็นช่วงเวลาไล่เลี่ยกันที่เราทั้งสองทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา “หมายความว่าไง?” ถามพลางขมวดคิ้วมุ่น “พี่กำลังจะส่งดีนกลับกรุงเทพฯ ค่ะ ส่วนเหตุผลที่ให้คนอื่น ๆ ไปเฝ้าเพราะไม่อยากให้ดีนตุกติกกับคำสั่งของพี่น่ะ” “แล้วทำไมถึงกลัวตุกติก?” ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันขัดคำสั่งของคนเป็นนาย แต่ผมก็ยังแสร้งถามเพราะอยากได้คำตอบชัด ๆ จากปากเธอ “พี่มีบอดี้การ์ดห้าคนค่ะ ไปกับพี่สองคน อยู่กับเราหนึ่งคน อีกสองคน...พี่ให้อยู่สังเกตการณ์” ผมเริ่มคิดตามกับสิ่งที่เธอพูด “พี่รู้จักดีนมานานแล้ว อยู่ ๆ มาขอเฝ้าคนที่ตัวเองไม่ชอบตอนพี่ออกไปไปข้างนอก คิดยังไงก็ไม่เมกเซ้นส์ค่ะ” เสียงหวานกดต่ำลงเล็กน้อย บ่งบอกว่าเธอเอาจริงกับการตัดสินใจในครั้งนี้ นิ่งไปชั่วอึดใจจึงกล่าวต่อ “แต่ที่พี่ยอม เพราะอยากรู้ว่าเขาวางแผนจะทำอะไร เลยให้การ์ดอีกสองคนคอยสอดส่องและส่งข่าว แล้วก็เป็นตามที่พี่คิดไม่มีผิด” “ดีนเป็นห่วงคุณ” ยอมรับว่าผมไม่ชอบขี้หน้าบอดี้การ์ดคนนี้ของเธอนัก แต่เพราะแอบสังเกตไอ้ดีนมาตลอด พยายามคิดและทำความเข้าใจ จึงพอเก็ตเหตุผลของการกระทำเหล่านี้อยู่บ้าง “มันไม่แปลกหรอกที่เขาจะระแวงผม และอยากให้อยู่ห่าง ๆ คุณเข้าไว้ ในฐานะบอดี้การ์ดคนแรก เขาต้องทำทุกทางเพื่อปกป้องคุณอยู่แล้ว” “ไม่ใช่ในฐานะบอดี้การ์ดอย่างเดียวหรอกนะคะ” พี่ควีนส่ายหน้า ยิ้มบางขณะมองสบตาผม “ดีนคิดไม่ซื่อกับพี่มาหลายปีแล้ว ผู้ชายคนไหนที่เข้าใกล้พี่ ใครที่พี่พูดคุยด้วย เขาก็หวงหมดนั่นแหละ” “หือ?” ผมเลิกคิ้ว ที่บอกว่ามันคิดไม่ซื่อกับเธอ ใช่ว่าผมจะมองไม่ออก แต่ที่ไม่พูดเพราะกลัวกระทบความสัมพันธ์และหน้าที่การงาน แปลกตรงที่...ทั้งที่รู้ว่าลูกน้องคิดยังไงกับตัวเอง แต่ยังเก็บรักษาไว้ ให้อยู่อารักขาอย่างใกล้ชิดแบบนี้ เพื่อไรวะ? “พี่มีเหตุผลที่ยังไม่ไล่เขาออก” เธอปริปากเหมือนล่วงรู้ว่าผมกำลังสงสัยประเด็นนี้ “เอาไว้เดี๋ยวเล่าให้ฟังนะ ตอนนี้หนูรู้แค่ว่าเขากำลังจะถูกส่งตัวกลับกรุงเทพฯ ก็พอ” “แล้วแต่คุณเลย” เมื่อเห็นว่าผมไม่เซ้าซี้แล้ว พี่ควีนจึงหยัดตัวขึ้น แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมคว้ามือบอบบางนั่นไว้จนสองเท้าที่กำลังเคลื่อนไหวชะงักกึก “คุณไม่สงสัยเหรอว่าทำไมผมกลับค่ำ?” “นิดหน่อยค่ะ” ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่าผม 5 ปีพยักหน้า “แต่การ์ดบอกว่าเกมส์เข้าไปในร้านขายลูกปัด พี่เลยไม่อยากรบกวนเท่าไหร่น่ะ” เออ ตามติดทุกฝีก้าวเลยสินะ “แล้วรู้ไหมว่าผมเข้าไปในร้านขายลูกปัดทำไม?” “ไปเดินดูมั้งคะ เผื่ออยากได้อันไหนจะได้มาบอกพี่” โอ๊ย...ผู้หญิงอะไรวะเนี่ย “คุณ” ผมพรูลมหายใจ มือข้างที่ว่างล้วงเอากำไลลูกปัดออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนยื่นมันไปตรงหน้าผู้หญิงที่ถึงแม้จะยืนอยู่ แต่กลับสูงกว่าผมที่นั่งอยู่เพียงนิดเดียว “ผมแค่แวะซื้อนี่ให้คุณ” “...” คราวนี้พี่ควีนชะงัก หลุบมองเครื่องประดับที่ผมซื้อมาในราคาแปดร้อยราวกับไม่อยากเชื่อสายตา “จะเอาไหม?” ผมถามเมื่อเห็นว่าเธอนิ่งไป “ผิวคุณดูแพ้ง่าย ไม่รู้ว่าใส่แล้วจะคันไหมนะ” "..." “เงียบอีก ยังไงครับคุณ?” เพราะอีกฝ่ายไม่โต้ตอบกันสักที เอาแต่อมพะนำและจ้องมองกำไลลูกปัดในมือผมท่าเดียว เป็นเหตุให้ผมต้องทวนถามอีกครั้ง วูบหนึ่ง...ผมตัดสินใจก้มมองสิ่งที่อยู่ในมือ ของชิ้นนี้ ดีไซน์ค่อนข้างราบเรียบ ราคาก็นับว่าถูกมากเมื่อเทียบกับเสื้อผ้าและเครื่องประดับบนตัวเธอ ด้วยความที่ผมเองก็เติบโตมาในตระกูลคนมีเงิน มองปราดเดียวจึงรู้ว่าทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นแบรนด์เนมราคาแพง ต่างหูคู่เดียวก็เหยียบแสนแล้ว...ชุดในที่เธอใส่ในแต่ละวัน รวม ๆ คงไม่ต่ำกว่าสองล้าน นับประสาอะไรกับกำไลลูกปัดไก่การาคาไม่ถึงพันนี่ คงไม่เข้าตา และคงปฏิเสธที่จะรับไว้ อะไรดลใจให้มึงทำแบบนี้นะไอ้เกมส์ เสียสติไปแล้วหรือไง? คิดมาถึงตรงนี้แล้ว...บอกตามตรงว่าโคตรขำ “เราได้เงินจากไหนไปซื้อคะ? ญาติคนนั้นให้เงินเราเหรอ” ในที่สุดพี่ควีนก็ยอมปริปาก ดูเหมือนเธอจะสงสัยว่าผมซื้อเจ้าสิ่งนี้มาได้ยังไงทั้งที่ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีเงินสักบาท “ครับ ลูกพี่ลูกน้องคนนั้นเขาให้เงินผมมาก้อนหนึ่ง” ผมบอกตรง ๆ “ถ้าการ์ดคุณแอบตามผม น่าจะเห็นว่าพอลงจากรถแล้ว ผมก็เดินไปที่ตู้เอทีเอ็มทันที” “ค่ะ ธนูรายงานพี่แบบนั้น” พี่ควีนพยักหน้า พินิจกำไลโง่ ๆ บนมือผมครู่หนึ่งถึงค่อยเคลื่อนสายตาขึ้นมา...กระทั่งเราสบตากันอีกครั้งอย่างไม่มีใครยอมใคร “หนูควรเก็บเงินไว้นะ ไม่ต้องซื้อของพวกนี้ให้พี่หรอก” “สรุปคุณไม่เอา?” เพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ได้สลักสำคัญหรือมีผลต่อความรู้สึกของผมมากจนลึกซึ้งขนาดนั้น สิ่งที่ปรากฏตรงกลางอกจึงไม่ใช่ความเสียใจ แต่เป็นอาการเสียเซลฟ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ในแบบที่มนุษย์คนหนึ่งพึงมียามถูกหักหาญน้ำใจ “ผมจะได้เอาไปทิ้ง” “เปล่าค่ะ” ในที่สุดพี่ควีนก็ปรับองศาการยืนซะใหม่ จากที่เอี้ยวตัวกลับมาแค่ช่วงบน ก็เปลี่ยนเป็นประจันหน้าอย่างตรงไปตรงมา ไม่เพียงเท่านั้น...เจ้าของร่างบอบบางยังขยับเข้ามาใกล้จนช่องว่างที่มีต่อกันลดน้อยลงจนน่าใจหาย ไม่นานนักเธอก็แทรกตัวเข้ามายืนระหว่างขาทั้งสองข้างของผม ท่าแบบนี้... การรุกคืบแบบไร้สัญญาณเตือนทำเอาผมชะงักค้างจนลมหายใจขาดห้วง ผมกลืนน้ำลายอย่างเงียบเชียบ ช้อนตาขึ้นมองเธอที่เริ่มขยับริมฝีปาก “พี่ใจสั่นค่ะ” “...” “ทำแบบนี้ ไม่กลัวพี่ชอบเรามากกว่าเดิมเหรอคะ?” ถามพลางใช้ปลายนิ้วจากมือข้างซ้ายสัมผัสสันกรามผมในเชิงลูบไล้ สัมผัสนั้นทั้งร้อนผ่าวและเยียบเย็นไปในคราวเดียว “พี่รอเรามานานมาก รอได้เจอกันอีกครั้งในวันที่โตขึ้น ถ้าเราทำให้พี่หวั่นไหวบ่อย ๆ...พี่กลัวตัวเองอดใจไม่ไหวจนเผลอทำ...” พี่ควีนหยุดค้างและหลุบมองริมฝีปากผมเล็กน้อย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม