หลายนาทีต่อมา
“กลับมาแล้วครับ”
ทันทีที่ประตูห้องเปิดออกแล้วพบว่าคนตรงหน้าเป็นพี่ควีน ผมซึ่งเห็นเต็มตาว่าอีกฝ่ายมีท่าทีกังวลใจมากแค่ไหนจึงเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้มบางเบาแบบที่เธอมักจะมอบให้ผมทุกครั้งยามมองหน้า
ทว่า...
“กลับค่ำจังเลยค่ะ”
แม้สีหน้าจะฉายชัดถึงความโล่งอกอยู่บ้าง แต่น้ำเสียงกลับแฝงความดุดันเล็กน้อย พร้อมกันนั้นยังใช้ดวงตากลมโตลากสำรวจสภาพภายนอกผมตั้งแต่ศีรษะจดเท้า
เมื่อแน่ใจว่าไม่มีส่วนไหนบอบช้ำจึงเปลี่ยนมาคว้าหมับเข้าที่ข้อมือ ออกแรงเพียงเล็กน้อยจับจูงผมกลับเข้าไปในห้อง...ซึ่งตอนนี้ไม่มีไอ้ดีนแล้ว ไม่มีแม้กระทั่งบอดี้การ์ดคนอื่น ๆ
“บอดี้การ์ดไปไหนหมดล่ะครับ?” ผมถามทันที
อย่างน้อย ๆ ตอนผมกลับมา...ก็ควรจะมีสักคนสองคนยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องเธอนะ
กับชีวิตที่มีบอดี้การ์ดล้อมหน้าล้อมหลังแบบนั้น นี่คือสิ่งที่ควรเป็นไม่ใช่เหรอ?
“ไปเฝ้าดีนค่ะ” พี่ควีนตอบ เป็นช่วงเวลาไล่เลี่ยกันที่เราทั้งสองทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา
“หมายความว่าไง?” ถามพลางขมวดคิ้วมุ่น
“พี่กำลังจะส่งดีนกลับกรุงเทพฯ ค่ะ ส่วนเหตุผลที่ให้คนอื่น ๆ ไปเฝ้าเพราะไม่อยากให้ดีนตุกติกกับคำสั่งของพี่น่ะ”
“แล้วทำไมถึงกลัวตุกติก?”
ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันขัดคำสั่งของคนเป็นนาย แต่ผมก็ยังแสร้งถามเพราะอยากได้คำตอบชัด ๆ จากปากเธอ
“พี่มีบอดี้การ์ดห้าคนค่ะ ไปกับพี่สองคน อยู่กับเราหนึ่งคน อีกสองคน...พี่ให้อยู่สังเกตการณ์”
ผมเริ่มคิดตามกับสิ่งที่เธอพูด “พี่รู้จักดีนมานานแล้ว อยู่ ๆ มาขอเฝ้าคนที่ตัวเองไม่ชอบตอนพี่ออกไปไปข้างนอก คิดยังไงก็ไม่เมกเซ้นส์ค่ะ”
เสียงหวานกดต่ำลงเล็กน้อย บ่งบอกว่าเธอเอาจริงกับการตัดสินใจในครั้งนี้
นิ่งไปชั่วอึดใจจึงกล่าวต่อ “แต่ที่พี่ยอม เพราะอยากรู้ว่าเขาวางแผนจะทำอะไร เลยให้การ์ดอีกสองคนคอยสอดส่องและส่งข่าว แล้วก็เป็นตามที่พี่คิดไม่มีผิด”
“ดีนเป็นห่วงคุณ” ยอมรับว่าผมไม่ชอบขี้หน้าบอดี้การ์ดคนนี้ของเธอนัก แต่เพราะแอบสังเกตไอ้ดีนมาตลอด พยายามคิดและทำความเข้าใจ จึงพอเก็ตเหตุผลของการกระทำเหล่านี้อยู่บ้าง “มันไม่แปลกหรอกที่เขาจะระแวงผม และอยากให้อยู่ห่าง ๆ คุณเข้าไว้ ในฐานะบอดี้การ์ดคนแรก เขาต้องทำทุกทางเพื่อปกป้องคุณอยู่แล้ว”
“ไม่ใช่ในฐานะบอดี้การ์ดอย่างเดียวหรอกนะคะ” พี่ควีนส่ายหน้า ยิ้มบางขณะมองสบตาผม “ดีนคิดไม่ซื่อกับพี่มาหลายปีแล้ว ผู้ชายคนไหนที่เข้าใกล้พี่ ใครที่พี่พูดคุยด้วย เขาก็หวงหมดนั่นแหละ”
“หือ?”
ผมเลิกคิ้ว
ที่บอกว่ามันคิดไม่ซื่อกับเธอ ใช่ว่าผมจะมองไม่ออก แต่ที่ไม่พูดเพราะกลัวกระทบความสัมพันธ์และหน้าที่การงาน
แปลกตรงที่...ทั้งที่รู้ว่าลูกน้องคิดยังไงกับตัวเอง แต่ยังเก็บรักษาไว้ ให้อยู่อารักขาอย่างใกล้ชิดแบบนี้
เพื่อไรวะ?
“พี่มีเหตุผลที่ยังไม่ไล่เขาออก” เธอปริปากเหมือนล่วงรู้ว่าผมกำลังสงสัยประเด็นนี้ “เอาไว้เดี๋ยวเล่าให้ฟังนะ ตอนนี้หนูรู้แค่ว่าเขากำลังจะถูกส่งตัวกลับกรุงเทพฯ ก็พอ”
“แล้วแต่คุณเลย” เมื่อเห็นว่าผมไม่เซ้าซี้แล้ว พี่ควีนจึงหยัดตัวขึ้น แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมคว้ามือบอบบางนั่นไว้จนสองเท้าที่กำลังเคลื่อนไหวชะงักกึก “คุณไม่สงสัยเหรอว่าทำไมผมกลับค่ำ?”
“นิดหน่อยค่ะ” ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่าผม 5 ปีพยักหน้า “แต่การ์ดบอกว่าเกมส์เข้าไปในร้านขายลูกปัด พี่เลยไม่อยากรบกวนเท่าไหร่น่ะ”
เออ ตามติดทุกฝีก้าวเลยสินะ
“แล้วรู้ไหมว่าผมเข้าไปในร้านขายลูกปัดทำไม?”
“ไปเดินดูมั้งคะ เผื่ออยากได้อันไหนจะได้มาบอกพี่”
โอ๊ย...ผู้หญิงอะไรวะเนี่ย
“คุณ” ผมพรูลมหายใจ มือข้างที่ว่างล้วงเอากำไลลูกปัดออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนยื่นมันไปตรงหน้าผู้หญิงที่ถึงแม้จะยืนอยู่ แต่กลับสูงกว่าผมที่นั่งอยู่เพียงนิดเดียว “ผมแค่แวะซื้อนี่ให้คุณ”
“...”
คราวนี้พี่ควีนชะงัก หลุบมองเครื่องประดับที่ผมซื้อมาในราคาแปดร้อยราวกับไม่อยากเชื่อสายตา
“จะเอาไหม?” ผมถามเมื่อเห็นว่าเธอนิ่งไป “ผิวคุณดูแพ้ง่าย ไม่รู้ว่าใส่แล้วจะคันไหมนะ”
"..."
“เงียบอีก ยังไงครับคุณ?” เพราะอีกฝ่ายไม่โต้ตอบกันสักที เอาแต่อมพะนำและจ้องมองกำไลลูกปัดในมือผมท่าเดียว เป็นเหตุให้ผมต้องทวนถามอีกครั้ง
วูบหนึ่ง...ผมตัดสินใจก้มมองสิ่งที่อยู่ในมือ
ของชิ้นนี้ ดีไซน์ค่อนข้างราบเรียบ ราคาก็นับว่าถูกมากเมื่อเทียบกับเสื้อผ้าและเครื่องประดับบนตัวเธอ ด้วยความที่ผมเองก็เติบโตมาในตระกูลคนมีเงิน มองปราดเดียวจึงรู้ว่าทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นแบรนด์เนมราคาแพง
ต่างหูคู่เดียวก็เหยียบแสนแล้ว...ชุดในที่เธอใส่ในแต่ละวัน รวม ๆ คงไม่ต่ำกว่าสองล้าน
นับประสาอะไรกับกำไลลูกปัดไก่การาคาไม่ถึงพันนี่
คงไม่เข้าตา
และคงปฏิเสธที่จะรับไว้
อะไรดลใจให้มึงทำแบบนี้นะไอ้เกมส์ เสียสติไปแล้วหรือไง?
คิดมาถึงตรงนี้แล้ว...บอกตามตรงว่าโคตรขำ
“เราได้เงินจากไหนไปซื้อคะ? ญาติคนนั้นให้เงินเราเหรอ” ในที่สุดพี่ควีนก็ยอมปริปาก ดูเหมือนเธอจะสงสัยว่าผมซื้อเจ้าสิ่งนี้มาได้ยังไงทั้งที่ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีเงินสักบาท
“ครับ ลูกพี่ลูกน้องคนนั้นเขาให้เงินผมมาก้อนหนึ่ง” ผมบอกตรง ๆ “ถ้าการ์ดคุณแอบตามผม น่าจะเห็นว่าพอลงจากรถแล้ว ผมก็เดินไปที่ตู้เอทีเอ็มทันที”
“ค่ะ ธนูรายงานพี่แบบนั้น” พี่ควีนพยักหน้า พินิจกำไลโง่ ๆ บนมือผมครู่หนึ่งถึงค่อยเคลื่อนสายตาขึ้นมา...กระทั่งเราสบตากันอีกครั้งอย่างไม่มีใครยอมใคร “หนูควรเก็บเงินไว้นะ ไม่ต้องซื้อของพวกนี้ให้พี่หรอก”
“สรุปคุณไม่เอา?” เพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ได้สลักสำคัญหรือมีผลต่อความรู้สึกของผมมากจนลึกซึ้งขนาดนั้น สิ่งที่ปรากฏตรงกลางอกจึงไม่ใช่ความเสียใจ แต่เป็นอาการเสียเซลฟ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ในแบบที่มนุษย์คนหนึ่งพึงมียามถูกหักหาญน้ำใจ “ผมจะได้เอาไปทิ้ง”
“เปล่าค่ะ”
ในที่สุดพี่ควีนก็ปรับองศาการยืนซะใหม่ จากที่เอี้ยวตัวกลับมาแค่ช่วงบน ก็เปลี่ยนเป็นประจันหน้าอย่างตรงไปตรงมา
ไม่เพียงเท่านั้น...เจ้าของร่างบอบบางยังขยับเข้ามาใกล้จนช่องว่างที่มีต่อกันลดน้อยลงจนน่าใจหาย ไม่นานนักเธอก็แทรกตัวเข้ามายืนระหว่างขาทั้งสองข้างของผม
ท่าแบบนี้...
การรุกคืบแบบไร้สัญญาณเตือนทำเอาผมชะงักค้างจนลมหายใจขาดห้วง
ผมกลืนน้ำลายอย่างเงียบเชียบ ช้อนตาขึ้นมองเธอที่เริ่มขยับริมฝีปาก “พี่ใจสั่นค่ะ”
“...”
“ทำแบบนี้ ไม่กลัวพี่ชอบเรามากกว่าเดิมเหรอคะ?” ถามพลางใช้ปลายนิ้วจากมือข้างซ้ายสัมผัสสันกรามผมในเชิงลูบไล้ สัมผัสนั้นทั้งร้อนผ่าวและเยียบเย็นไปในคราวเดียว “พี่รอเรามานานมาก รอได้เจอกันอีกครั้งในวันที่โตขึ้น ถ้าเราทำให้พี่หวั่นไหวบ่อย ๆ...พี่กลัวตัวเองอดใจไม่ไหวจนเผลอทำ...”
พี่ควีนหยุดค้างและหลุบมองริมฝีปากผมเล็กน้อย