ตอนที่ 17 พบหน้าครั้งแรก

1589 คำ
ตอนที่ 17 พบหน้าครั้งแรก ฉันผลัดเปลี่ยนการเล่าเรื่องกับเชาเย่ นางได้เล่าเรื่องราวเรื่องราวความเป็นมาของนางให้กับฉันฟัง นางบอกกับฉันว่า ในตอนที่นางเป็นจิ้งจอกน้อยยังไม่ได้เข้าสำนักฝากตัวเป็นศิษย์กับท่านเทพแห่งโชคชะตา นางซุกซนเที่ยวเล่นไปทั่ว นางซุกซนจนหลงเข้าไปในเขตแดนของปีศาจร้าย ศิษย์พี่หญิงของนาง(หลินซานซาน) ได้ช่วยนางไว้จากปีศาจร้ายตนนึง เชาเย่จะขอคารวะให้ซานซานรับเป็นศิษย์ แต่ทว่าซานซานไม่รับ แต่ได้ชักชวนมาฝึกตนที่สำนักของท่านเทพแห่งโชคชะตา นางจึงได้กลับถ้ำจิ้งจอกอ้อนวอนผู้เป็นบิดาให้ฝากฝังเป็นศิษย์ของท่านเทพ บิดาของนางยินดีที่จะส่งนางมาศึกษาตำราบนสวรรค์ เพราะนางเองซุกซนไม่สนใจบำเพ็ญเพียร นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเสียด้วยซ้ำ เมื่อนางสนใจโดยไม่ได้บังคับขู่เข็ญใด ๆ เชาเย่ได้มาบำเพ็ญเพียร ฝึกวิชาที่ตำหนักสวรรค์ โดยเป็นน้องเล็กสุดของสำนัก เธอได้หลินซานซานคอยชี้แนะตลอดมา จนหลินซานซานต้องลงไปรับด่านเคราะห์ที่โลกมนุษย์ ด้วยความที่นางอยากตอบแทนหลินซานซาน จึงได้หนีออกมาจากสำนัก แล้วลงมายังโลกมนุษย์ มาปกป้องรับใช้หลินซานซาน โดยนางได้ผนึกพลังของตัวเองไว้ เพื่อไม่ให้ผู้ใดตามหานางพบ วิชาลับนี้นางฝึกมาจากหลินซานซานเป็นผู้ชี้แนะ “วิชาผนึกงั้นรึ มันจะเกี่ยวข้องกับผนึกบนหน้าผากของข้าไหมนะ เชาเย่เจ้ารู้เรื่องหรือไม่” ฉันถามออกไปเผื่อเชาเย่จะรู้ว่าฉันเป็นใคร “ไม่ทราบเจ้าค่ะ” เชาเย่พูดพร้อมกับส่ายหัวน้อย ๆ “อืม เอาส้มให้ข้าหน่อย” ฉันบอกเชาเย่ เนื่องจากเราสองคนตกลงกันแล้วว่าจะคงสถานะ เป็นนายบ่าวเหมือนเดิม ดีนะที่เชาเย่ไม่ได้ใจร้ายเหมือนอีตาเทพเซียนที่มีนามว่า หวังเย่ นั่น “นี่เจ้าค่ะ” หวังเย่พูด มือเล็กอันเรียวบางของนางยื่นส้มให้กับฉัน “ขอบใจจ้ะ” ฉันพูดด้วยรอยยิ้ม รับส้มมา แล้วปอกเปลือกออก ฉันนอนกินส้ม ในท่าที่คว่ำหน้าอยู่ เพราะเจ็บหลังน่ะสิ แต่ยังเจ็บน้อยกว่าแส้สวรรค์นิดนึง ย้ำว่านิดเดียว T^T “เจ้ากินหรือไม่” ฉันยื่นส้มให้เชาเย่ เชาเย่ส่ายหัวน้อย ๆ “ท่านกินเถิด ในวันแต่งงานสำหรับส้มที่ได้จากการกลับบ้านเจ้าสาวนี้ให้ทานเฉพาะสามีภรรยาเท่านั้นเพราะถือเป็นเคล็ดว่าจำให้มีลูกหลานเยอะๆ เจ้าค่ะ” เชาเย่อธิบาย “เจ้าเชื่อเรื่องแบบนี้ด้วยรึเชาเย่ แม้แต่ชายตามองข้า ยังไม่อยากมองเลย มีลูกหลานเยอะ ๆ นี่เจ้าฝันเอาเถิด เจ้าไม่กินข้ากินเอง จะกินให้หมดเลยฮึ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟึดฟัด หยิบส้มเข้าปากอย่างหงุดหงิด “ค่อย ๆ กินนะเจ้าคะ ท่านชอบทานส้มขนาดนี้หรือเจ้าคะ” เชาเย่มองฉันด้วยใบหน้าที่ใส่ซื่อ คงจะเห็นฉันหยิบส้มเข้าปากไม่หยุดกระมัง ฉันยิ้มเจื่อน ๆ ให้กับเชาเย่ นางเป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้อะไรเสียเลย ฉันประชดย่ะ “พระชายาเจ้าคะ” เสียงสาวใช้ภายในตำหนัก เดินเข้ามาด้วยท่าทางที่ ร้อนรน นางคุกเข่าต่อหน้าฉัน ราวกับว่าจะมีเรื่องใหญ่โตเกิดขึ้น “เจ้ามีเรื่องอันใดถึงได้รีบเร่งเช่นนี้” เชาเย่พูดออกมามองนางด้วยสายตา ดุ ๆ เล็กน้อยให้ระวังกิริยาเมื่ออยู่ภายในวัง “คือว่าองค์ชายจื่อรุ่ย สามีของท่านมาเยี่ยมเจ้าค่ะ องค์ชายรออยู่ที่ตำหนักกลางเจ้าค่ะ” “หืม เหตุใดสามีของข้าไม่เข้ามาเยี่ยมข้าในตำหนักเองเล่า” ฉันถามออกไปด้วยความประหลาดใจ “ไม่ทราบเจ้าค่ะ” นางตอบ “เช่นนั้น เจ้าไปแจ้งสามีของข้า ว่าข้าไม่สะดวกใจที่จะพบ ข้าเดินไม่ได้ หากจะมาเยี่ยม ให้เขามาที่นี่!” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแส ทำไมฉันต้องไปหาคนอย่างเขาด้วย ฉันเป็นแบบนี้ส่วนหนึ่งเกิดเพราะเขาด้วยเช่นกัน “ไม่ได้เจ้าค่ะ!” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนก แววตาของนางเต็มไปด้วยความหนักใจ “เพราะเหตุใด เจ้าจะให้พระชายาของข้า ที่เดินไม่ได้ไปหาองค์ชายด้วยสภาพเช่นนี้งั้นรึ!” เชาเย่เสียงเข้ม นางออกหน้าแทนฉัน “บ่าวมิกล้าเจ้าค่ะ พระชายา องค์ชายสั่งว่าถึงอย่างไรท่านก็ต้องไป ท่านอย่าได้กล่าวโทษบ่าวเลยเจ้าค่ะ ข้าน้อยขอทูลลาเจ้าค่ะ” นางพูด โค้งศีรษะทำความเคารพแล้วเดินจากไป “นี่เจ้า! เหตุใดจึงบังคับคุณหนูของข้าเช่นนี้” เชาเย่ยกมือชี้หน้าด่าสาวใช้ตามหลัง และกำลังจะเดินไปตามด่านาง “เชาเย่” ฉันเรียกนาง แล้วส่ายหัวน้อย ๆ เป็นการบอกให้นางไม่ต้องตามสาวใช้คนนั้นไป สาวใช้คนนั้น นางเป็นเพียงสาวใช้ นางเพียงทำตามคำสั่งเท่านั้น คนที่ใจร้ายคือ องค์ชายจื่อรุ่ยนั่น “เชาเย่ช่วยแต่งตัวให้ข้าที” “แล้วคุณหนูจะทำเช่นไรเจ้าคะ เดินไม่ได้เช่นนี้” เชาเย่พูดแล้วเดินเข้ามาแต่งตัวให้ฉัน “ข้ามีวิธี” ฉันยิ้มแย้มออกมาด้วยความอารมณ์ดี เมื่อนึกอะไรดี ๆ ออก “วิธีอะไรหรือเจ้าคะ” เชาเย่ถามออกมาด้วยความประหลาดใจ “หึ ๆ ๆ อูย เจ็บ ๆ” ฉันหัวเราะแล้วยักไหล่ออกมา สะเทือนไปถึงหลัง T^T “เรียบร้อยเจ้าค่ะคุณหนู เชิญรับสั่งมาได้เลยเจ้าค่ะ” “เชาเย่ เจ้าไปตามทหารมาซัก 5-6 คน แล้วไปเอาเปลหาม เตียง หรือแคร่ ให้พอดีตัวข้า เอาเข้ามาในตำหนักของข้า” “ท่านอย่าบอกนะว่า....” “ข้าจะให้ทหารพวกนั้นหามข้าไป คอยดูซิ ว่าเจ้าองค์ชายนั่นจะมีสีหน้าเช่นไร หึ” ฉันยกยิ้มขึ้น องค์ชายนั่นนิ่งขรึม คำนึงถึงชื่อเสียงเป็นที่สุด เห็นฉันถูกหามไปเช่นนี้ คงจะถูกคนอื่นเอาไปต่อว่าหนักกว่าเดิมแน่ ๆ ว่าองค์ชายสามแห่งกวางโจว ไร้น้ำใจต่อสตรี แถมยังมีจิตใจโหดเหี้ยม ให้สตรีที่เป็นพระชายาต้องลำบาก ฮ่า ๆ ๆ เมื่อเรื่องนี้ถึงหูของฝ่าบาท แน่นอนว่าพระองค์ไม่นิ่งนอนใจแน่นอน คงจะรับสั่งบีบบังคับองค์ชายจื่อรุ่ย ให้รับหลินซานซานเข้าไปพักอยู่ใกล้ตำหนักขององค์ชาย ถึงอย่างไรบิดาของหลินซานซานก็เป็นถึงท่านแม่ทัพ ตระกูลของนางยิ่งใหญ่เป็นเจ้าของยุทธภพ จื่อรุ่ย นายไม่มีทางหนีพ้น พอนานวันเข้าได้อยู่ใกล้ชิดกับสตรีที่งามล่มเมืองถึงเพียงนี้ องค์ชายก็จะตกหลุมรักจนโงหัวไม่ขึ้นแน่นอน ฮี่ ๆ นี่ถือว่าเป็นแผนการขั้นสุดยอด ^O^ แน่นอนว่าการมาที่นี่ฉันได้เปรียบเพราะฉันรู้นิสัยของพวกเขายังไงล่ะ “เจ้าค่ะ” เชาเย่รับคำสั่ง แล้วเดินออกไป ผ่านไปครู่นึง เชาเย่ก็กลับมาพร้อมทหารและ เปลหามพื้นไม้แข็งขนาดเท่าตัวของฉัน ความสูงประมาณช่วงเข่า แม้สิ่งนี้จะไม่นุ่มนิ่มเท่ากับเปลในโลกปัจจุบันของฉัน แต่หากเอาผ้าปูก็นอนได้บ้าง คงไม่สะเทือนแผลเท่าไหร่ ฉันยิ้มร่า แล้วให้ทหารแบกขึ้นแคร่ไม้นี่ ฉันอยู่ในท่านอนตะแคง ใช้มือข้างนึงเท้าหัวเอาไว้ มืออีกข้างวางไว้ข้างลำตัว ส่วนขาข้างนึงยกขึ้น นอนด้วยท่าที่สบาย ๆ “ไปได้ แบกดี ๆ ล่ะ หากข้าเจ็บแม้แต่น้อย พวกเจ้าโดนแน่!” ฉันขู่ทหารเสียงเข้ม “ขอรับ” ทหารทั้ง 4 นายพูดพร้อมกัน ฉันถูกพามายังตำหนักกลาง โดยใช้เวลาไม่นานมากนัก “พาข้าไปวางไว้ตรงหน้าองค์ชายนั่นแหละ” ฉันสั่งทหารให้พาแคร่ไม้นี่ไปวางยังเบื้องหน้าของจื่อรุ่ย จื่อรุ่ยมองฉันด้วยแววตาที่ตกตะลึง หึ เห็นคนสวยแล้วไปไม่เป็นเลยสิ “ข้าหลินซานซานขอคารวะองค์ชาย ขออภัยที่ข้าทำความเคารพท่านไม่ได้” ฉันพูดแล้วส่งยิ้มหวานไปให้จื่อรุ่ย ดูเหมือนว่าเขาจะปรับสีหน้าและแววตาให้เรียบนิ่งเหมือนเดิม แล้วพูดกับฉัน “ไม่ต้องมากพิธี ที่ข้ามาวันนี้ เพื่อมาเยี่ยมเจ้า ถึงอย่างไรเจ้ากับข้าก็เป็นสามีภรรยากัน เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง” “ขอบใจท่านที่ห่วงใยข้า ก็เห็นอยู่ว่าข้าเดินไม่ได้ แต่ท่านก็ยังดึงดันให้ข้ามาพบท่านที่นี่ หากท่านห่วงใยข้า เหตุใดท่านไม่ไปพบข้าที่ตำหนัก และเหตุใดท่านจึงไปกลับบ้านไปกับข้า” จื่อรุ่ยมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย คงไม่คิดว่าหลินซานซานจะต่อปากต่อคำเป็น “คือว่า ข้า...” “ท่านวุ่นอยู่กับงานราชการอยู่ ท่านจึงหลงลืมไปใช่หรือไม่!” ฉันพูดออกไป เพราะรู้ทัน ฉันเป็นคนสร้างเขามากับมือ ทุกครั้งที่เขาจะหลีกเลี่ยงจะพูดคำนี้ออกมาตลอด จื่อรุ่ยแปลกใจ จ้องตาของฉันนานพักนึง “องค์ชายขอรับ พระสนมซู่จินขอพบขอรับ” จินฝานผู้เป็นองครักษ์เดินเข้ามารายงาน แล้วมองหน้าฉันด้วยแววตาที่ตื่นตระหนกเหมือนเจอผี ซู่จิน ? นางมาทำไมงั้นรึ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม