“ไบรอัน...ทางนี้”
เสียงเรียกแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความร้อนรนดังขึ้นไม่ห่างตัวนัก ไบรอันหันไปมอง ก่อนจะรีบเดินตรงเข้าไปหา สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
“มาทำอะไรตรงนี้ บอกแล้วไงห้ามมายุ่งกับผมในที่ทำงาน”
“ผมขอโทษครับคุณไบรอัน แต่ผมร้อนใจจริงๆ นี่ครับ”
มนตรี เกิดลาภผล คนขับรถเก่าแก่ประจำบริษัทรีบบอกเหตุผล
“รอให้เลิกงานก่อนไม่ได้หรือไง มาหาผมแบบนี้ ถ้าใครมาเห็นเข้าจะทำยังไง”
“ผมรู้ครับ แต่ผมเป็นห่วงเรื่องที่คุณไบรอันถูกคุณแมทเรียกไปพบน่ะครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ”
ไบรอันหันมองไปซ้ายขวาหลายครั้ง รอจนมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ เขาจึงหันมาพูดกับมนตรี “พวกเรากำลังจะซวย”
“ซวย?” มนตรีเบิกตากว้างตกใจ “ซวยเรื่องอะไรเหรอครับ หรือว่าเรื่องนั้น...”
“ก็ใช่น่ะสิ คุณแมทระแคะระคายบัญชีนั่นแล้ว” สีหน้าของไบรอันเต็มไปด้วยความวิตกกังวล “และคุณแมทก็ให้เวลาผมสองสัปดาห์เพื่อแก้ไขบัญชีให้สอดคล้องกับยอดของฝ่ายขาย”
มนตรีหน้าซีดเผือดไม่แพ้ไบรอันเลยตอนนี้ “แล้วเรา...จะทำยังไงกันดีครับ ถ้าคุณแมทรู้ว่าเราแอบยักยอกเงินจากลูกหนี้ที่จ่ายให้บริษัทฯ เอาไปใช้ส่วนตัว พวกเราคง...”
“ถูกไล่ออก และติดคุกหัวโต” ไบรอันพูดความจริงอันน่าสยดสยองออกมา
“ผม...ผมไม่อยากติดคุกนะครับ” มนตรีส่ายหน้าดิก ความหวาดกลัวกัดกินไปทั่วทั้งหัวใจ
“งั้นก็ต้องรีบเอาเงินห้าสิบล้านนั้นมาคืนให้เร็วที่สุด”
“แล้วพวกเราจะไปหาเงินห้าสิบล้านมาจากไหนล่ะครับ ในเมื่อเราสองคนเอามันไปละลายในบ่อนหมดไปแล้ว” มนตรีพูดเสียงเศร้าหมอง หวาดกลัวจนตัวสั่น
“ไม่รู้...ผมยังคิดไม่ออก แต่ยังไงก็ต้องหาเงินมาคืน ไม่อย่างนั้นอนาคตของพวกเราจบเห่แน่” ไบรอันเองก็เครียดไม่แพ้กัน “ผมคงไปเบิกเงินสดออกมาจากธนาคาร เพื่อนำมาใช้คืนบริษัทฯ”
“อ้าว...แล้วผมล่ะครับคุณไบรอัน อย่าทิ้งกันง่ายๆ แบบนี้นะครับ”
ไบรอันมองหน้ามนตรีอย่างอับจนหนทาง “ตอนนี้เราต่างก็ต้องดิ้นรนช่วยเหลือตัวเอง ผมก็จะพยายามหาเงินส่วนที่ผมเอาไปใช้ ส่วนคุณก็ต้องหาส่วนที่ตัวเองเอาไปใช้มาคืนเช่นกัน”
“จะบ้าหรือไงคุณไบรอัน ผมทำงานได้เดือนละแค่สามหมื่นกว่าบาท ผมจะไปมีเงินเป็นสิบยี่สิบล้านที่ไหนกันครับ”
“นั่นมันไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องรับรู้ คุณเอาไปยี่สิบล้าน คุณก็ต้องนำมาใช้คืนทั้งหมด ผมขอตัวนะ ผมจะต้องรีบไปรวบรวมเงินมาใช้คืนคุณแมท”
“คุณไบรอัน คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะครับ คุณจะทิ้งผมเอาไว้แบบนี้ไม่ได้!”
ไบรอันถอนหายใจออกมาอย่างสิ้นไร้หนทาง “ผมเองก็ไม่อยากทอดทิ้งคุณหรอกนะมนตรี เราสองคนเป็นเพื่อนกันมานาน แต่ลำพังแค่หาเงินสามสิบล้านมาคืนบริษัทฯ ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะหาได้ครบหรือเปล่า ดังนั้นคุณคงต้องช่วยตัวเอง เพราะผมช่วยอะไรคุณไม่ได้แล้ว”
ไบรอันก้าวเดินจากไป ทิ้งให้มนตรียืนนิ่งราวกับถูกสาป หนทางข้างหน้ามืดมิดจนมองไม่เห็นทาง
“แล้วนี่เราจะทำยังไงดี...จะเอาเงินที่ไหนมาคืนคุณแมท ตั้งยี่สิบล้าน...” มนตรียกมือขึ้นกุมใบหน้า ความหวาดกลัวและความสิ้นหวังทำให้เขาน้ำตาไหลออกมา
มัทนา เกิดลาภผล สาวสวยวัยละอ่อนที่ตกหลุมรักเมสันเข้าอย่างจังจนถอนตัวถอนใจไม่ขึ้น หล่อนเฝ้าตามติดเมสันในทุกโอกาสที่สามารถทำได้ และมุ่งมั่นว่าหัวใจของคุณหมอรูปหล่อจะต้องตกอยู่ในอุ้งมือของตนเองในไม่ช้า
รอยยิ้มพึงพอใจระบายเกลื่อนเต็มใบหน้า เมื่อตรงหน้าคือโรงพยาบาลของตระกูลมาเลซาสโซ วันนี้หล่อนตั้งใจจะเดินเกมรุกให้มากขึ้นด้วยการเดินทางมาตรวจภายในที่นี่
เมสัน มาเลซาสโซ คือคุณหมอสูตินรีเวชรูปหล่อที่สุดในปฐพี ปกติชายหนุ่มจะไม่ค่อยได้ลงตรวจนัก เพราะต้องบริหารโรงพยาบาลของตัวเองไปด้วย แต่วันนี้เขาจะต้องตรวจภายในให้หล่อน เพราะถ้าไม่ใช่เขา หล่อนก็จะไม่ยอมตรวจแน่นอน
หญิงสาวก้าวเดินเข้าไปภายในโรงพยาบาลหรูที่ตกแต่งไม่ต่างจากโรงแรมระดับห้าดาว เจ้าหน้าที่ยกมือขึ้นไหว้ และกล่าวทักทายอย่างสุภาพด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีค่ะคุณมัท มาหาคุณหมอไมค์เหรอคะ”
หล่อนมาบ่อยแค่ไหนถามใจดูก็แล้วกัน เพราะขนาดพนักงานต้อนรับยังจำหล่อนได้แทบทุกคนเลย
“ใช่ค่ะ”
หล่อนระบายยิ้มกว้าง พลางส่งถุงขนมที่หิ้วติดมือมาให้กับพนักงานทั้งสองคนตรงหน้า
“มัทซื้อมาฝากค่ะ ลองกินดูนะคะ”
“อุ๊ย...ขอบคุณมากค่ะคุณมัท” สองพนักงานสาวรีบยกมือไหว้ขอบคุณ
“ไม่เป็นไรค่ะ ว่าแต่ตอนนี้พี่ไมค์อยู่ในห้องตรวจไหมคะ”
“วันนี้คุณหมอไม่มีเวรลงตรวจค่ะ คงจะอยู่ในห้องทำงานชั้นสามน่ะค่ะ”
“อ๋อ...งั้นมัทขอตัวก่อนนะคะ”
“ค่ะ เดินระวังนะคะคุณมัท”
มัทนาหันมาส่งยิ้มให้พนักงานทั้งสองคนอีกครั้ง ก่อนจะรีบหิ้วตะกร้าใส่อาหารและผลไม้อร่อยๆ ตรงไปยังลิฟต์ตัวใหญ่
“ตื๊อทุกวัน ดูซิว่าพี่ไมค์จะใจแข็งกับคนสวยๆ อย่างเราไปได้อีกนานแค่ไหน”
แล้วเจ้าหล่อนก็อมยิ้ม และก้าวเข้าไปในลิฟต์ที่ประตูเปิดค้างรอด้วยความสุขใจ
นิ้วเรียวจิ้มกดปุ่มให้ประตูลิฟต์ปิด และบานประตูก็กำลังจะเลื่อนปิดสนิทอยู่แล้วเชียว หากไม่มีใครบางคนกดเรียกลิฟต์อยู่ด้านนอก ประตูลิฟต์เปิดกว้างออกอีกครั้ง พร้อมๆ กับ...
“นี่นาย...”
แมทธิวเห็นหน้าหล่อนก็ชะงักไปเช่นกัน แต่เขาก็ก้าวเข้ามาในลิฟต์ตัวเดียวกับหล่อนจนได้
“นี่ถ้าฉันไม่รีบ ฉันคงยอมเดินขึ้นบันไดไปแล้วล่ะ”
“ไอ้คนปากเสีย”
ร่างกายที่ใหญ่โตกำยำของผู้ชายในชุดทำงานเนี้ยบสีเข้มทำให้ลิฟต์คับแคบไปถนัดตา หล่อนรีบขยับไปจนชิดกับผนังลิฟต์อีกด้าน บอกให้อีกคนรู้ว่าหล่อนแสนจะรังเกียจแค่ไหน