“แม่คะหนูไม่แต่ง”
“ทำไมถึงรีบปฏิเสธนักล่ะ รอเจอพี่เขาก่อนไม่ดีกว่าเหรอ”
“แต่แม่คะ คนมันไม่ได้รักกันไม่ได้ชอบกันจะอยู่กันได้ยังไง เขาเป็นใครชื่ออะไรหนูยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ อีกอย่างหนูเพิ่งจะอายุยี่สิบห้าเอง” ฉันพยายามยกหาเหตุผลต่าง ๆ มาหว่านล้อมผู้เป็นแม่แต่เหมือนมันจะไม่สำเร็จ
“ค่อย ๆ เรียนรู้กันไปก็ได้นี่ไม่เห็นเสียหายตรงไหนเลย”
“แม่คะ มันไม่ได้เกี่ยวว่าเสียหายหรือไม่เสียหาย มันเกี่ยวตรงที่พวกเราไม่รู้จักกัน”
“ก็ทำความรู้จักซะสิ หรือว่าเรามีใครในใจอยู่แล้ว?”
“หนูไม่มีใครทั้งนั้นแหละ และก็ไม่อยากมีตอนนี้ด้วย หนูชอบความสันโดษให้หนูอยู่ในโลกแคบ ๆ ของตัวเองต่อไปเถอะนะคะ”
“อาชีพนักเขียนของแกมันมั่นคงนักหรือไง เคยคิดถึงวันข้างหน้าหรือเปล่าว่าจะอยู่กับใคร อยู่ยังไงถ้าไม่มีแม่”
“...”
“แม่อยากให้มิวมีคนคอยดูแลนะ”
“ช่วงหลังมานี้แม่ชอบพูดจาแปลก ๆ นะคะ มีอะไรปิดบังหนูอยู่หรือเปล่า”
“เปล่า แม่แค่อยากเห็นน้องมิวเป็นฝั่งเป็นฝาเท่านั้นเอง”
“แล้วแน่ใจได้ยังไงคะว่าผู้ชายคนนั้นเขาจะดูแลหนูได้”
“ยิ่งกว่าแน่ซะอีก”
“แล้วถ้ามันไม่ใช่อย่างที่คิดล่ะคะ แม่จะทำยังไง”
“ความรักในนิยายกับในโลกชีวิตจริงมันไม่เหมือนกันนะลูก”
“ใช่ค่ะมันไม่เหมือน เพราะว่าชีวิตจริงหนูเลือกไม่ได้เหมือนในนิยายไง” ฉันพูดออกไปเป็นเชิงประชด ก็มันจริงนี่คะในโลกนิยายเราเลือกได้ว่าอยากมีสามีแบบไหนแต่ในความเป็นจริงสำหรับฉันตอนนี้แล้วมันไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรเลยด้วยซ้ำ ฉันรู้ว่าแม่หวังดีแต่อย่างน้อยก็ควรถามความสมัครใจของฉันบ้าง นี่มันสมัยไหนแล้วยังบังคับแต่งงานอยู่อีก
“อีกหน่อยลูกคงเข้าใจ”
“หนูอยากเข้าใจตอนนี้เลยด้วยซ้ำ”
“เราไปกันดีกว่า”
ใช่ค่ะ! ปุ๊บปั๊บฉันก็ถูกลากให้ไปดูว่าที่เจ้าบ่าวของตัวเองเลย มันกะทันหันและตั้งตัวไม่ทัน ไม่คิดว่าเรื่องคาดไม่ถึงแบบนี้จะเกิดขึ้นจริงในชีวิตฉันเหมือนกับตัวละครในนิยายไม่มีผิดเลย
“ป้าซินนั่งอยู่ทางด้านโน้นนะ เดี๋ยวแม่ขอไปเข้าห้องน้ำก่อน”
“ค่ะ” ขานรับอย่างเข้าใจก่อนจะพาตัวเองเดินไปยันบริเวณที่ป้าซินนั่งอยู่ มาถึงขนาดนี้แล้วปฏิเสธอะไรได้อีกล่ะคะ
“สวัสดีค่ะ” ฉันเอ่ยทักทายคนตรงหน้าพร้อมกับยกมือไหว้อย่างมีมารยาท
“อ้าวน้องมิว หนูมาคนเดียวเหรอลูก”
“คุณแม่ไปเข้าห้องน้ำน่ะค่ะ”
“จ้ะ นั่งก่อนสิลูก” หันมาพูดกับฉันจากนั้นเขาก้หันไปพูดกับใครอีกคนหนึ่งซึ่งกำลังมองไปทางอื่น “เดย์นี่น้องมิวว่าที่เจ้าสาวของแก”
“...” ฉันว่าฉันพอรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร พวกเราเคยเจอกันบ่อยเมื่อหลายปีก่อน แต่ไม่คิดว่าวันนี้เขาจะกลายเป็นว่าที่เจ้าบ่าวของฉันไง คนอะไรเย็นชาตั้งแต่เล็กจนโตแถมยังกล่าวหาว่าฉันเป็นพวกชอบเพ้อฝันอีกต่างหาก ปากร้ายมาก! ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือฉันถูกเขาพาไปไหนก็ไม่รู้ค่ะ ตอนแรกก็กลัวแต่พอได้พูดคุยใกล้ชิดกันมันกลับต่างออกไปนิดหน่อย ไม่อึดอัดเหมือนตอนแรก
พี่เดย์พาฉันมาร้านทำรถ ตอนแรกคิดว่าเขาจะมาแต่งซิ่งซะอีกแต่ไม่ใช่เลยร้านนี้ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นของเขานั่นแหละ ฉันก็ไม่กล้าปริปากถามอะไรกับเขามากเดี๋ยวจะโดนกินหัวเอาได้
“กูถามจริง ๆ มึงเต็มไหมเนี่ย” เป็นประโยคของผู้ชายปากร้ายที่เอ่ยถามฉันในขณะที่กำลังอ่านนิยายอยู่
“อะไรของพี่เนี่ยหนูอ่านนิยายอยู่”
“ไหนมึงบอกว่าตัวเองเป็นนักเขียนไง แล้วทำไมถึงต้องอ่านของคนอื่นด้วย” เขาก็ถามไปตามประสาของคนอยากรู้นั่นแหละค่ะ
“ก็อยากเป็นนักอ่านบ้างมีอะไรไหม?”
“ถ้าตอบอะไรที่มันเป็นประโยชน์ไม่ได้มึงก็เงียบปากไปเถอะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งก็จริงแต่มันกลับให้ความรู้สึกต่างออกไป ผู้ชายตรงหน้าฉันตอนนี้เป็นคนจริงจังพอสมควร ไม่ใช่เล่นทีทำทีแน่นอนค่ะ ฉันรู้สึกแบบนั้น
ฉันพยายามอธิบายให้เขาเข้าใจถึงโลกนิยายของตัวเอง จะได้เลิกพูดสักทีว่าฉันเพ้อฝันชอบยิ้มคนเดียวแต่ก็นั่นแหละค่ะ เขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
ระหว่างรอพี่เดย์ทำรถให้ลูกค้าฉันก็ขอเขาเข้ามารอในห้องเพราะข้างนอกยุงเยอะมากถูกกัดจนจะเป็นไข้เลือดออกตายอยู่แล้ว แต่ไม่ได้ซุกซนรื้อค้นอะไรของเขานะคะแค่เขียนพล็อตนิยายค่าเวลาไปเท่านั้นเอง
“พี่มีแฟนหรือเปล่าคะ” ที่ฉันเอ่ยถามพี่เดย์ไม่ใช่ว่าหลงเสน่ห์มนตร์ดำของเขานะคะ ถามเพราะกำลังจะยื่นข้อตกลงให้คนตรงหน้าต่างหากล่ะ
“กูยังโสด”
“หลังจากแต่งงานกันแล้วพี่ก็ใช้ชีวิตในแบบของพี่นั่นแหละ ไม่ต้องสนใจคำสั่งของผู้ใหญ่หรอก” ฉันยื่นข้อตกลงให้เขา แน่นอนว่าเขาก็รับไว้
“ดูมึงชิวดีเนอะ”
“หนูก็ไม่ได้มีใครนี่ ไม่มีอะไรให้กังวลใจอยู่แล้วถึงเวลาพวกเราก็แยกย้ายกันไปเท่านั้นเอง” ฉันพูดออกไปตามความคิดอยากให้แต่งก็แต่งให้ แต่งได้ก็เลิกได้นี่
ก่อนลงจากรถไม่ลืมแลกไลน์กันไว้ด้วยถึงยังไงก็ต้องทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้อยู่ดีนั่นแหละ
“เป็นยังไงบ้างลูก พี่เขานิสัยดีไหม” เจอหน้าฉันแม่ก็ตั้งคำถามขึ้นมาเลยค่ะ
“เจอแค่แป๊บเดียวมันบอกนิสัยไม่ได้หรอกนะคะแม่”
“แล้วพี่เขาดีกับลูกสาวแม่ไหมล่ะ”
“ดูท่าทางแม่มั่นใจจังเลยนะคะว่าเขาจะเป็นคนดี”
“แม่ไม่ได้บอกว่าเขาเป็นคนดีสักหน่อย แต่แม่ถามว่าพี่เดย์เขาดีกับลูกไหม”
“ปากร้ายค่ะ ขี้โวยวาย เจ้าอารมณ์”
“...”
“เฮ้อ... ไม่รู้สิคะ หนูก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน”
“ปกติลูกสาวแม่อ่านคนเก่งจะตายไป”
“แต่มันใช้ไม่ได้กับพี่เดย์ค่ะ เจอกันตอนเด็กตั้งหลายครั้งเขายังไม่เคยยิ้มให้หนูเลย แล้วอยู่ ๆ แม่ก็จับให้พวกเราแต่งงานกันซะงั้น พี่เดย์เขาก็ไม่ได้อยากแต่งหรอกนะคะไม่ใช่แค่หนูฝ่ายเดียวสักหน่อย” ฉันพูดออกไปอย่างเง้างอนเพราะเลือกอะไรไม่ได้เลย แบบนี้มันมัดมือชกกันเห็น ๆ
“เดย์จะไม่มีวันทำให้ลูกเสียใจ ... เชื่อแม่สิ”
“…” เลือกผัวผิดชีวิตเปลี่ยน คำนี้มันกำลังลอยอยู่ในหัวฉันเลยค่ะ
ผู้หญิงหลายคนชีวิตพังก็เพราะเลือกผิดนี่แหละ ความรักมันฆ่าคนให้ตายทั้งเป็นได้จริงๆ นะ ... คิดแล้วก็สยอง ฉันจะไม่มีวันเป็นแบบนั้นเด็ดขาดแล้วก็หวังว่าระหว่างพวกเรามันจะไม่มีปัญหาคารังคาซังตามมาวุ่นวายทีหลังหรอกนะ