EP.02
บ้านไพศาลสุรวุท หลังลงจากรถ เจนจิราจึงรีบวิ่งตรงดิ่งเข้ามาในบ้านด้วยหัวใจอันโหยหา บ้านหลังนี้คือบ้านที่เธอจากไปเมื่อหลายปีก่อนมันไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยสักน้อยนิด บ้านหลังนี้มันคือบ้านที่แสนจะอบอุ่นสำหรับเธอ ทุกครั้งที่เธออยู่ในสภาวะที่สับสนเดียวดายและคิดถึงบ้าน
ภายในบ้านบิดาและมารดากำลังนั่งรอเธออยู่ หล่อนเข้าไปสวมกอดมารดาส่งมอบความอบอุ่น ความโหยหาที่เธอต้องการจากมารดาอยู่ตลอดเวลา
“ใจคอจะกอดแม่คนเดียวหรือเจนนี่ แล้วพ่อละ”
คุณบัญชา ไพศาลสุรวุทเอ่ยถามบุตรสาวพลางยิ้ม
“คุณพ่อก็ เดี๋ยวก่อนสิค่ะเจนนี่ขอกอดคุณแม่ให้หายชื่นใจก่อน”
หญิงสาวหันมาบอกบิดาด้วยน้ำเสียงแจ่มใส ใบหน้างามยิ้มรับอย่างเก๋ไก๋
“ชื่นใจแม่จริงๆ”
คุณจันทราหอมแก้มบุตรสาวฟอดใหญ่ให้หายคิดถึง ขณะที่เจนจิราเปิดยิ้มท่าทางดีใจ
“แม่ก็ หนูจั๊กจี๋นะคะ ไม่เอาดีกว่าเจนนี่ไปกอดคุณพ่อ เดี๋ยวคุณพ่อจะน้อยใจ”
เธอผละจากมารดาและตรงเข้ามาสวมกอดบิดาอย่างแสนรัก คุณบัญชาโอบกอดเจ้าหมูตัวน้อยในสายตาของเขาแล้วหัวเราะร่วน
"เจ้าหมูน้อยของพ่อดูผอมไปเยอะเลยนะ"
“หนูค่ะคุณพ่อ ตอนนี้เจนนี่ไม่ใช่หมูแล้ว”
หญิงสาวหอมแก้มบิดาเป็นการใหญ่อารมณ์เดือดที่มีตอนลงจากเครื่องเหือดหายไปเสียหมด
“หนูก็หนู เอไม่ใช่เปลี่ยนบุคลิกอย่างเดียวนะ ใบหน้าของลูกยังสวยขึ้นด้วย สวยเหมือนแม่เมื่อตอนยังสาวเลย”
คุณบัญชาไม่วายหยอดคำหวานให้ภรรยาต้องอายม้วนไปอีกคน
“หนูก็ต้องสวยเหมือนแม่สิคะ จะให้สวยเหมือนใครอีก”
“เออลูก” ผู้เป็นบิดาเริ่มเปิดประเด็นเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ “เมื่อกี้ตอนที่โทรมาลูกหงุดหงิดอะไร นายดำไม่ไปรับตรงเวลาหรือ”
เมื่อนึกมาถึงตอนนี้หญิงสาวจึงมีใบหน้าที่เข้มจัด ใบหน้าของอีตานั่นผุดขึ้นมาในความคิดให้เธอต้องรำคาญอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณพ่อ เจนนี่แค่มีเรื่องนิดหน่อยเอง”
“มีเรื่อง! เรื่องอะไรหรือลูก”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เป็นเรื่องไร้สาระน่ะค่ะ หนูจัดการเรียบร้อยแล้ว” หล่อนนึกถึงตอนที่เธอเหยียบเท้าชายคนนั้นจนอีกฝ่ายแสดงความเจ็บปวดออกมาทางใบหน้า
“แน่นะลูก”
“ค่ะ คุณพ่อ ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะ”
“เอาล่ะ ลูกมาเหนื่อยๆ ไปพักผ่อนเถอะนะ เดี๋ยวค่อยลงมาทานข้าวกับพ่อและแม่นะ”
ภายในห้องของเจนจิรา หญิงสาวทิ้งตัวลงนอนราบกับพื้นเตียงอันหนานุ่มอย่างสุขสม เธอผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความสุขใจพร้อมกับสายตาที่มองไล่ไปทั่วห้องอย่างคุ้นเคย ในที่สุดเธอก็ได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง หญิงสาวคิดถึงความหลังที่อบอุ่น และคิดถึงคนรอบข้างที่เธอรักและคุ้นเคยก่อนที่รายชื่อของใครคนหนึ่งจะผุดขึ้นมาในสมอง เธอจึงรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดต่อสายหาคนๆ นั้นในทันที
“สวัสดีค่ะ” เสียงจากปลายสายหวานแหววจนทำให้หญิงสาวอมยิ้มออกมาได้
“คุณรังสิยาใช่ไหมคะ”
เจนจิราแกล้งเย้าเพื่อนสาวด้วยการดัดเสียง ขณะที่ปลายสายตอบกลับมาด้วยคำถามอย่างแปลกใจ
“ใช่ค่ะ ดิฉันรังสิยา มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“แหม จำฉันไม่ได้หรือไงยายสิ” หญิงสาวเปิดเสียงหัวเราะเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจำตนไม่ได้
“ยัยเจนนี่ นั่นเธอจริงๆ หรือ มาถึงเมืองไทยแล้วหรือจ๊ะ”
“อืม ว่าแต่ฉันสมควรจะงอนเธอไหมนะที่ดันจำเสียงเพื่อนสนิทคนนี้ไม่ได้”
“ฉันขอโทษจริงๆ พอดีวันนี้ทั้งวันรับโทรศัพท์จนยุ่งไปหมด ฉันก็นึกว่าเธอเป็นลูกค้าเสียอีก”
“เอาเป็นว่าเย็นนี้เจอกันดีกว่านะ ฉันมีเรื่องจะเมาส์กับเธออยู่หลายเรื่องเลย คิดถึงมากด้วย”
“โอเคจ้ะ เดี๋ยวเย็นๆ ฉันจะเข้าไปหานะ”
เจนจิราเอ่ยบอกเพื่อนสาวก่อนจะวางสายลง นำโทรศัพท์ไปวางไว้ที่หัวเตียงหญิงสาวก็แหงนมองเพดานอย่างสุขใจ
“เฮ้อ...กลับบ้านซะทีนะยัยเจนนี่ กลับสู่รังหลังนี้ของเธอเสียที”
หญิงสาวคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข ตลอดเวลาที่อยู่ต่างประเทศเธอไม่เคยสุขใจเท่าอยู่ที่บ้านเลยสักนิด
เก๋งคันงามเลี้ยวเข้ามาภายในบ้านสินทราปณาวุธ ตัวบ้านเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่โต ตั้งอยู่ภายในเนื้อที่มากกว่า 10 ไร่ มีบ่อน้ำพุขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงหน้าบ้าน บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยเหล่าไม้พุ่มไม้ประดับที่ถูกจัดเรียงเป็นพุ่มและถูกดัดให้เป็นรูปทรงต่างๆ เหล่าไม้ดอกต่างก็บานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมโชยระรื่นจมูก
ประตูรถถูกเปิดออกโดยชายคนขับรถที่รีบกุลีกุจอเข้ามาเปิดประตูให้ จากนั้นชายหนุ่มในชุดสูทสีดำก็ก้าวลงจากรถด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
คนรับใช้สาวคนหนึ่งรีบเข้ามาตรงนั้นเพื่อรายงานด้วยท่าทียิ้มแย้ม
“คุณคิมหันต์คะ ตอนนี้คุณท่านทั้งสองรออยู่ด้านในแล้วค่ะ”
เขาพยักหน้าเป็นการรับทราบก่อนจะเดินเข้าไปในตัวบ้าน ภายในห้องรับแขก คุณรังสรรค์ประมุขของบ้านและภรรยาต่างรีบลุกขึ้นเมื่อเห็นบุตรชายเดินเข้ามา
“เป็นยังไงบ้างลูก กลับจากเมืองนอกคราวนี้ดูสดใสขึ้นนะ” คุณรังสรรค์เปิดยิ้มกว้างไม่แพ้ภรรยา
“สวัสดีครับ คุณพ่อคุณแม่”
ชายหนุ่มเข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้าของผู้มีพระคุณทั้งสองก่อนจะก้มลงกราบ
“ลูกแม่ แม่คิดถึงแทบแย่ไหนเข้ามาใกล้ๆ แม่หน่อยสิลูก”
คุณกันทิมาประคองบุตรชายให้ลุกขึ้น แล้วให้มานั่งใกล้ๆ กับหล่อน
“ลำบากไหมลูกอยู่ที่โน่น”
ผู้เป็นมารดามิวายถามอย่างห่วงใย ขณะที่ชายหนุ่มเปิดยิ้มไม่ซีเรียสกับคำถามเหล่านั้น
“โธ่คุณแม่ครับ ผมโตแล้วนะครับ และที่ผ่านมาผมก็ดูแลตัวเองได้จนรอดกลับมาแบบนี้ คุณแม่จะเป็นห่วงผมไปทำไมอีก”
“เปล่าหรอกจ๊ะ ลูกรู้ไหมตั้งแต่ลูกจากแม่กับพ่อไป แม่คิดถึงลูกแทบแย่”
“เอ้อ...คิมหันต์” คุณรังสรรค์มองบุตรชายคนโตแล้วยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“ครับคุณพ่อ”
“ปีนี้พ่อคงจะต้องวางมือเสียที ลูกคงพร้อมแล้วนะที่จะเข้าไปบริหารงานในบริษัทของเรา”
ประมุขของบ้านเปิดประเด็นในการส่งมอบงานให้กับบุตรชายเข้าไปบริหารงานแทนเขา ไม่แน่ถ้าให้คนหนุ่มเข้าไปบริหาร บริษัทของเขาอาจจะก้าวหน้าไปมากกว่านี้ โดยเฉพาะคนที่เรียนจบจากเมืองนอกอย่างคิมหันต์
ที่ผ่านมาชายหนุ่มปฏิเสธถึงข้อเสนอนี้ แต่เวลานี้เขาพร้อมแล้ว พร้อมที่จะเข้าไปสานต่องานของบิดา
“ได้ครับ ผมเคยบอกคุณพ่อแล้วนะครับว่าถ้าผมกลับมาจากนอกมาเมื่อไร ผมจะเข้าไปบริหารงานแทนคุณพ่อเอง เวลานี้ผมพร้อมแล้วนะครับ”
ชายหนุ่มตอบตกลงด้วยสีหน้าที่หมายมั่น ดวงตาคู่คมฉายวาวโรจน์
“ดีลูก บริษัทของเราคงจะก้าวหน้าถ้าคนจบนอกอย่างลูกเข้าไปบริหารงาน”
คุณรังสรรค์บอกบุตรชาย ที่ผ่านมาเขาทำมันจนเต็มอิ่มแล้วถึงเวลาที่จะต้องปล่อยวางเสียที
“เอ่อคุณพ่อครับ” บุตรชายนึกอะไรขึ้นมาได้จึงถาม “เจ้าเหมละครับ ตั้งแต่ผมมายังไม่เห็นมันเลย”
ชายหนุ่มถามหาน้องชายอีกคน...เหมันต์
“เจ้าเหมหรือ ตอนนี้คงอยู่ที่ทำงานนั่นแหล่ะ เห็นว่าวันนี้ไปนัดพบกับลูกค้าเลยไม่ว่างไปรับพี่ชาย”
คุณรังสรรค์เอ่ยถึงบุตรชายอีกคนที่ติดงานต้องพบปะลูกค้าอยู่เป็นประจำ นานครั้งถึงได้อยู่บ้านสักวันหนึ่ง
“น้องเขาบอกว่าอยากจะไปรับลูกอยู่เหมือนกัน แต่เพราะวันนี้นัดลูกค้าเอาไว้จึงไปรับไม่ได้”
คุณกันทิมาช่วยเสริมกลัวว่าความสัมพันธ์ของบุตรชายคนโตกับคนเล็กจะเกิดการหมางเมินกัน หากแต่มันกลับเป็นตรงกันข้าม เพราะถึงแม้คิมหันต์จะเป็นคนที่ชอบเก็บอะไรเอาไว้ในใจหากแต่สำหรับเหมันต์น้องชายของเขาแล้วชายหนุ่มกลับไม่รู้สึกอิจฉาหรือเกลียดชังอะไรสักนิดถึงแม้ว่าทั้งพ่อและแม่จะมอบความรักเกือบทั้งหมดไปให้กับเหมันต์ก็ตาม
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ว่าแต่เจ้าเหมได้ทำงานที่ไหนล่ะครับ”
คิมหันต์เริ่มสนใจในงานของน้องชายเพราะตลอดมาเจ้าคนนี้ตอนที่เขาอยู่ในเมืองไทยมันก็ไม่เคยสนใจงานอะไร แม้กระทั่งงานในบริษัทของบิดา
“งานเกี่ยวกับกิจการโรงแรมอะไรพวกนี้แหล่ะของน้าพิมายเขา”
“ใช่จ้ะ เจ้าเหมมันชอบไปประจบประแจงเขานัก ดังนั้นยายพิมายจึงจัดการให้เข้าไปเป็นรองผู้จัดการ แถมยังพ่วงงานรับเหมาที่เจ้าเหมมันชอบอีกงานหนึ่ง”
“โหคุณแม่ คราวนี้เจ้าเหมก็รับงานจนหัวยุ่งไปเลยสิครับ”
คิมหันต์เอ่ยถึงน้องชายอย่างขบขัน คนที่ไม่เคยเอางาน และรักสนุกอย่างนายเหมันต์เนี้ยนะจะรับพ่วงงานเข้าไปถึงสองงาน เขาอยากจะรู้นักว่าถ้าน้องชายเจองานช้างแบบนี้แล้วจะเป็นยังไงบ้าง
“จะไม่ให้หัวยุ่งได้ยังไงลูก อาทิตย์หนึ่งเจ้าเหมถึงจะได้เข้าบ้านสักวันหนึ่ง วันที่เหลือก็อยู่ข้างนอกเป็นส่วนใหญ่”
“ตลกจริงๆ นะครับคุณพ่อคุณแม่ เมื่อก่อนคุณพ่อจะให้เข้าไปทำงานสบายๆ ในบริษัทของเราเจ้าเหมกลับไม่สน หาว่าต้องการหาเอง เป็นไงครับเจอแบบนี้รับเละเลย”
ชายหนุ่มหัวเราะออกมาได้ในที่สุด ขณะที่ทั้งสองบิดาและมารดาก็พลันยิ้ม จริงอย่างที่คิมหันต์ว่า เมื่อก่อนบุตรชายคนรองไม่ขอรับงานอะไรของบริษัท แต่พอได้งานทั้งทีก็ต้องเจอหนักแบบนี้
“อีกสองเดือนพ่อจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับลูกและจะถือโอกาสเปิดตัวผู้บริหารคนใหม่ของบริษัทด้วยเลย ส่วนในระยะเวลาที่เหลือก็ให้ลูกพักผ่อนไปก่อนเมื่อถึงเวลานั้นจะได้เข้าไปทำงานอย่างเต็มที่”
“คุณพ่อคุณแม่ครับถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้านะครับ”
ชายหนุ่มพูดได้แค่นั้นก็ลุกขึ้นยืน ร่างสูงค้อมตัวให้กับบุคคลทั้งสองอีกครั้งก่อนจะเดินขึ้นบันไดไป ตลอดเวลาหลายปีเขาไม่เคยลืมบ้านหลังนี้เลย ห้องของเขาอยู่ที่ไหนมันก็ยังคงอยู่ที่นั่นไม่เปลี่ยนแปลง
ประตูห้องถูกเปิดออกชายหนุ่มถอดชุดสูทวางลงที่เตียงพร้อมกับสำรวจไปทั่วห้องของตัวเอง ภายในห้องนี้ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ห้องนี้ถูกจัดให้อยู่ในแบบสไตล์ของเขา มันยังคงเป็นอยู่เช่นนั้น สายตาของเขาสำรวจไปทั่วห้องอย่างคุ้นเคย ชายหนุ่มสาวเท้าตรงไปที่ตู้ใบหนึ่ง เปิดมันออกแล้วหยิบสิ่งหนึ่งออกมา
ในมือของเขาคือกรอบรูปของชายคนหนึ่งที่มีโครงหน้าและแววตาเหมือนกับชายหนุ่มคล้ายกับแกะมาจากพิมพ์เดียวกัน จิตใจของเขารู้สึกห่อเหี่ยวและอ้างว้าง เขาค่อยๆ เอามือไปวางและลูบตรงกรอบรูปใบนั้นเบาๆ อย่างถวิลหา
เขาตกอยู่ในห้วงเวลานั้นเนิ่นนาน สองตาจ้องนิ่งอยู่ที่บุคคลในภาพ พลันนั้นเปลวไฟชนิดหนึ่งก็ประทุโชกโชน หากแต่มันก็เป็นเพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น เขาก็สามารถข่มและเก็บมันเอาไว้ได้อย่างมิดชิด ก่อนจะค่อยๆ เก็บรูปใบนั้นลงในตู้เช่นเดิม