EP.01
ท่ามกลางฝูงชนที่เดินกันอยู่อย่างขวักไขว่ ภายในตัวอาคารที่พักผู้โดยสารขาเข้า ของสนามบินสุวรรณภูมิ ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทสีดำ สวมแว่นตา ผมจัดทรงด้วยเจลเพิ่มความสมาร์ทให้เขากลายเป็นจุดเด่นให้หลายคนต้องมองตาม เมื่อเขาแหวกฝูงชนมาตามช่องทางเดินด้วยความเร่งรีบ ก็มีอันชนเข้ากับใครบางคนที่เดินมาดักทางเข้าอย่างจัง
“ว้าย!!!”
ชายหนุ่มเอ่ยขอโทษเมื่อเห็นว่าเป็นสุภาพสตรีในชุดสุภาพสีขาวสะอาดตากำลังนั่งกองอยู่กับพื้น โดยมีกระเป๋าเดินทางหลายใบทั้งของเขาและของเธอตกกระจายเกลื่อน หญิงสาวมีใบหน้าบูดบึ้งเมื่อยังเห็นว่าเขายังยืนนิ่งไม่มีทีท่าจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเธอ ทั้งที่เป็นฝ่ายทำให้เธอลงไปกองกับพื้น
“นี่คุณ ใจคอไม่คิดที่จะช่วยฉันหรือยังไง คนอะไรไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลย” หญิงสาวเหวเสียงดัง
“ลุกเองได้ไม่ใช่หรือไงคุณ ลุกได้ก็ลุกเองสิ” เจ้าตัวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ขณะหันไปเก็บของตนเองต่อ
ฝ่ายหญิงสาวพยายามตะกายลุกขึ้นได้จนสำเร็จ หล่อนมิวายหันไปเหวใส่ชายหนุ่มอีกชุดใหญ่
“คนอะไร ไร้น้ำใจสิ้นดี เจ้าข้าเอ้ย ดูสิคะ แต่งตัวก็ดูดีมีเสน่ห์ พอชนคนล้มก็ไม่ใส่ใจ เห็นแก่ตัวสิ้นดี คนอะไรฉันก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ”
“นี่เธอ...”
ชายหนุ่มถลึงตาใส่หญิงสาว เมื่อเห็นว่าเวลานี้มีบรรดาประชาชนต่างมองเขาเป็นจุดเดียว ทว่าหญิงสาวคนนั้นกลับยังพล่ามต่อ ซ้ำยังทำหน้าซ้ำเติมราวกับเขาเป็นนักโทษแหกคุก
“จะหยุดได้หรือยังคุณ”
“ไม่หยุด”
“ไม่หยุดใช่ไหม มานี่เลย”
เขาคว้าข้อมือของหญิงสาวได้ก็ดึงจะให้ไปอีกทาง ทว่าเธอกลับขืนตัวเอาไว้แล้วโวยวายเสียงดัง
“ว้าย ช่วยด้วยค่ะ อีตานี่มันแต๊ะอั๋งฉัน ช่วยด้วยใครก็ได้ช่วยด้วย”
ชายหนุ่มยิ่งหน้าเสีย เมื่อมีคนมามุงดูเยอะกว่าเดิม เขาล็อคตัวของยายผู้หญิงปากมากได้ก็ยกมือขึ้นหมายจะปิดปากเธอ แต่กลับถูกหล่อนกัดหมับเข้าให้ที่มือจนเป็นรอยเขี้ยว
“หึ...สมน้ำหน้า”
ว่าจบเจ้าหล่อนก็ก้มลงเก็บของตัวเองแล้วลากกระเป๋าจากไปโดยทิ้งให้ชายหนุ่มเป็นจำเลยสังคมไปอย่างไม่ควรจะเป็น
“ฝากไว้ก่อนเถอะ ยายฝอยเดือด!!!”
เขาสบถ ก่อนจะไปสะดุดกับตุ๊กตาหมีสีขาวสะอาดตาที่ตกอยู่กับพื้น แน่นอนมันจะต้องเป็นของยายฝอยเดือดคนนั้นอย่างแน่นอน เขายิ้มที่มุมปาก ก่อนจะก้มลงหยิบมันขึ้นมาถือ ใช้นิ้วดีดที่หน้าตุ๊กตาหมายใจให้เป็นตัวแทนของยายบ้าคนนั้น
“นี่แน่ะ ยายบ้า ฮึ้ย เจ็บใจนัก ดุอย่างกับหมา”
“คุณพ่อคะ ไหนล่ะคะรถของลุงดำ เจนนี่รอตั้งนานแล้วนะไม่เห็นมีสักดำเลย”
หญิงสาวตะคอกเสียงใส่โทรศัพท์มือถืออารมณ์หงุดหงิด เหตุการณ์เมื่อครู่มันทำให้เธออารมณ์เดือดจนไม่อยากจะมองหน้าใครได้ติดสักคน
“นี่ลูกหงุดหงิดอะไร” เสียงจากปลายสายถามถึงสาเหตุน้ำเสียงที่ดูขัดใจของบุตรสาว
“เปล่าค่ะคุณพ่อ นั่นไงคะลุงดำ คุณพ่อคะเท่านี้ก่อนนะเดี๋ยวเจอกันที่บ้าน”
หญิงสาวเอ็ดตะโรได้แค่นั้นก็กดวางสายแล้วรีบก้าวลงบนพื้นถนน แต่ในเวลานั้นเธอก็ต้องชะงักเมื่อรถแท็กซี่ป้ายเหลืองคันหนึ่งได้วิ่งฉิวตรงมาที่เธอพร้อมกับเสียงแตรดังสนั่น
เจนจิรายืนตะลึงงันอยู่กลางถนนด้วยความตกใจ
“คุณ ระวัง...”
ร่างบางถูกกระชากกลับเข้ามายังฟุตปาทอีกครั้งด้วยอ้อมแขนของใครคนหนึ่ง ทำให้ทั้งสองล้มกลิ้งลงไปด้วยกัน วงแขนแข็งแกร่งกระชับร่างของหญิงสาวให้อยู่ในอ้อมกอด ใบหน้าของเธอแนบชิดแผงอกหนาด้วยความตกใจ
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
เสียงนุ่มทุ้มกระซิบบอกผ่านซอกหู เจนจิราเพิ่งรู้สึกตัวและรู้สึกคุ้นต่อน้ำเสียงนั้นก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาขอบคุณ
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบ...”
สายตายียวนที่สบตาเธออยู่ใกล้เพียงแค่ลมหายใจสัมผัส ทำเอาคำพูดขอบคุณ มีอันต้องกลืนหายไปในลำคอ
“นี่นายอีกแล้วหรือเนี้ย” เจนจิราร้องขึ้นอย่างขัดใจเมื่อเห็นว่าเขาเป็นคนไร้น้ำใจเมื่อสักครู่
“วันนี้มันเป็นวันอะไรเนี้ย ฉันเจอแต่เรื่องซวยๆ ทั้งนั้นเลย”
“วันจันทร์” เจ้าหนุ่มตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“จะไม่ตอบก็ได้นะ อีตาบ้า” หล่อนว่าด้วยน้ำเสียงสะบัด “หลีกไป ฉันจะลุก”
หล่อนตะกายลุกขึ้น โดยมีชายหนุ่มลุกตาม เขามองเธอด้วยรอยยิ้มขบขัน รู้สึกตลกเมื่อได้เจอกับยายฝอยเดือดอีกครั้งเป็นคำรบสอง
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับคุณหนู” เสียงของลุงดำดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของเจ้าตัว
“ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ เจนนี่ว่าเรารีบไปกันเถอะนะ” เธอพูดเสียงรัวพร้อมกับจะเดินนำไปในขณะที่ชายชรารีบเข้ามาช่วยถือกระเป๋าเอาไว้
“ใจคอคุณจะไม่ขอบใจผมบ้างเลยหรือยังไง คนอะไร ไร้น้ำใจสิ้นดี”
คิมหันต์บอกด้วยรอยยิ้มมุมปาก ขณะเจนจิรารู้สึกหน้าร้อนผ่าว เหมือนถูกหักหน้าเข้าอย่างจัง เธอมองไปรอบๆ ตัวก็เห็นมีประชาชนกำลังมองอยู่ จึงกลั้นใจว่าเสียงเบา
“ขอบใจ!!!”
เสียงนกจากบนต้นไม้ดังเจื้อยแจ้วจนฟังไม่ได้ศัพท์ว่าพวกมันกำลังเรียกร้องอะไรกัน สายลมพัดเอื่อยเฉื่อยเย็นสบาย หมู่แมกไม้น้อยใหญ่ต่างโบกสะบัดตามแรงลมที่พัดเข้ามา บริเวณโดยรอบกว้างขวางและเงียบสงบ สมแล้วกับการเป็นที่พักกายสถานสุดท้ายของมนุษย์
ขณะนั้นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาภายในบริเวณสุสานด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว
เขาเดินมาหยุดตรงกู่บรรจุอัฐิของใครคนหนึ่ง บนป้ายชื่อระบุว่า...มาวินและริสา เจษฎาบดินทร์ฤทธิไกล…ชายหนุ่มวางดอกไม้ที่นำมาด้วยลงพร้อมกับก้มลงกราบบนพื้น
“พ่อครับ แม่ครับ ผมกลับมาแล้วนะครับ”
เสียงของชายหนุ่มฟังดูราบเรียบ หากแต่กลับแฝงไว้ด้วยความหม่นหมอง ใบหน้าอันคมเข้มของเขาแนบลงกับพื้นอีกครั้งก่อนจะเงยขึ้นมาสบกับรูปใบเล็กหน้ากู่บรรจุอัฐิ
“หลายปีแล้วมั้งครับที่ผมไม่ได้เข้ามาดูแลที่นี่ แต่นี้ไปผมจะมาทำความสะอาดและจะไม่ทิ้งพ่อกับแม่ไปไหนแล้ว”
พูดจบเขาก็ยันตัวลุกขึ้นแล้วเก็บกวาดเอาใบไม้ที่อยู่โดยรอบออกไปจนหมด จนในพื้นที่นั้นสะอาดสะอ้านทันตาเห็น
“มันคงใกล้ถึงเวลาแล้วสินะครับ เวลาที่ผมจะแก้แค้นให้พ่อกับแม่ เวลาที่ผมจะทวงคืนสิทธิ์ทุกอย่างที่เป็นของเรากลับมาอีกครั้ง คุณพ่อคุณแม่วางใจเถอะครับ ของทุกอย่างที่เป็นของเรามันจะกลับมาอีกครั้งในไม่ช้านี้แล้ว”
กระแสเสียงนั้นเรียบเย็นและเต็มไปด้วยเพลิงอารมณ์ที่เตรียมพร้อมจะสะสางอยู่ตลอดเวลา