รองแม่ทัพซานม่านหวาเป็นหญิงแต่ท่าทางห้าวหาญสมเป็นรองแม่ทัพ มาร์คัสผู้เป็นสามีรูปร่างสูงใหญ่แต่กลับมีรอยยิ้มอ่อนโยนเสมอ บิดามารดาของนางไม่ถือยศศักดิ์ กับบ่าวคนสนิทอย่างจื่อเหยี่ยนและปี้เอ๋อร์ก็นับเป็นสหาย ทว่าไม่ใช่กับทุกคน บางคนเป็นบ่าวไพร่ช่างนินทา นางได้ยินสาวใช้บางหยิบเอานิสัยประหลาดของซาโม่มาล้อเลียน นางผู้รักความถูกต้องยุติธรรมจึงออกโรงปกป้อง นางถูกมารดาจับได้และลงโทษให้ไปสำนึกผิดเพียงผู้เดียวที่สวนกระจ่างใจ แต่กระนั้น นางมั่นใจว่าองครักษ์ของท่านพ่อคอยจับตาดูนางอยู่
“เรื่องนิดเดียวเอง ไยท่านแม่ต้องโกรธถึงเพียงนี้”
เด็กหญิงเบ้ปาก นางแค่ทนได้ยินผู้อื่นดูถูกดูแคลนซาโม่ไม่ได้ มีคนนินทาว่าร้ายว่าซาโม่ไม่ใช่มนุษย์ ท่านป้าซานม่านหวาก็กระไร ไม่เห็นปกป้องซาโม่บ้างเลย ในฐานะที่นางเป็น ‘พี่สาว’ ของซาโม่ นางต้องออกหน้าปกป้อง
นางแค่เด็กตัวเล็กๆ แค่นางบังเอิญปีนต้นไม้เจอรังมดแดง แล้วบังเอิญนางกำนัลปากร้ายอยู่ด้านล่าง แล้วก็บังเอิญอีกนั่นแหละที่นางเขย่ากิ่งไม้แล้วรังมดแดงตกใส่นางกำนัลพวกนั้น นางก็แค่หัวเราะหลังจากได้ยินเสียงกรีดร้องของนางกำนัล องครักษ์เจิ้งหู่ทะยานมาพานางลงจากต้นไม้ นางไม่เข้าใจว่าทำไมท่านแม่โกรธนางนักหนา ทุกอย่างมันบังเอิญทั้งนั้น
ทุกอย่างก็ ‘แค่เรื่องบังเอิญ’ จริงๆ นะ!
“ท่านพ่อก็กลัวท่านแม่ ไม่เข้าข้างข้าเลยสักนิด”
เด็กหญิงตัวน้อยยังพึมพำคนเดียว แม้นางห้าขวบแต่เฉลียวฉลาดไม่น้อย ในขณะที่นางนั่งแกว่งเท้าไปมาบนเก้าอี้กลมเพื่อรอให้ใครสักคนมารับแล้วบอกว่าท่านแม่หายโกรธเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา พลันสายตาของนางเห็นบุรุษในอาภรณ์สีขาวและเส้นผมสีเงินยวงยืนอยู่ใต้ต้นหลิวของท่านแม่
“พี่ชาย!”
บุรุษหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยแต่เก็บอาการให้สงบนิ่งแล้วหันมาตามเสียงที่ได้ยิน แต่เมื่อมองไปก็เห็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อยที่ส่งยิ้มกว้างมาทางเขา แม้ใบหน้าเรียบเฉย แต่แววตาไหวระริก หวังใจว่าจะไม่ใช่อย่างที่เขาคิด....
“พี่ชาย!”
ซิ่นฮวาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้ววิ่งไปทางบุรุษหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีเงินยวง เพราะนางเป็นแค่เด็กห้าขวบจึงได้แต่แหงนหน้าคอตั้งบ่าเพื่อได้เห็นแววตาประหลาดใจของเขา
“เจ้ามองเห็นข้ารึ” ชายหนุ่มถามแล้วค่อยๆ นั่งลงบนส้นเท้า ทำให้เด็กหญิงไม่ต้องแหงนหน้าขึ้นมองเขา
“ข้ามีสองตาย่อมมองเห็นพี่ชาย” เด็กหญิงยิ้มกว้างดวงตาเป็นประกายวาววับ “ข้าเห็นพี่ชายหลายครั้งแล้ว ไยพี่ชายชอบทำเป็นมองไม่เห็นข้า”
บุรุษหนุ่มไม่รู้ว่าควรทำหน้าอย่างไร เขามองเห็นนางตั้งแต่วันที่นางกับพี่ชายฝาแฝดของนางลืมตาแล้ว คอยเฝ้ามองนางเติบโตเช่นเดียวกับที่มองดูมารดาของนาง แต่เขาไม่รู้เลยว่า เด็กหญิงตัวเล็กผู้นี้มองเห็นเขาเช่นกัน เด็กหญิงยื่นมือไปจับเส้นผมนุ่มสลวยของเขาขึ้นดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เหมือนที่ท่านแม่เล่าให้ฟังเลย” เด็กหญิงส่งยิ้มกว้าง “ท่านแม่บอกว่าพี่ชายเป็นสหายของท่านแม่”
“ฮืม” เขาเพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น
“คนอื่นมองไม่เห็นท่าน มีแต่ข้าที่มองเห็น” ราวกับค้นพบของล้ำค่า เด็กหญิงตัวน้อยแสดงความดีใจเป็นรอยยิ้มจนแก้มของนางเหมือนก้อนแป้งกลมๆ
เขาไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ไม่คิดว่าลูกสาวของว่านหนิงเหมยมองเห็นเขาเช่นนี้ อึดใจต่อมาเขารับรู้ว่ามีคนกำลังเดินเข้ามาทางเขาและเด็กน้อย ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นยืนทำท่าจะหายตัวไป แต่มือเล็กๆ นั้นคว้าแขนเสื้อของเขาไว้ก่อน
“พี่ชาย ข้าจะได้เจอพี่ชายอีกไหม”
“เจ้าอยากพบข้า?”
“อือ” เด็กหญิงพยักหน้าแรงๆ
“ข้าไม่ใช่มนุษย์ ไม่ควรพบเจอเจ้าบ่อยๆ” เขาปลดมือของเด็กหญิงออกอย่างเบามือ รับรู้การเข้ามาใกล้ของใครบางคน เขารีบหมุนตัวก้าวเดินจากมาไม่สนใจแววตาเสียใจของเด็กน้อย
“ฮวงหลง!”
ร่างสูงเจ้าของเส้นผมสีเงินยวงถึงกับชะงัก เขาหันขวับกลับมามองเด็กหญิงผู้นั้นด้วยความตกตะลึง
แต่นางกลับยิ้มออกมา
“ชื่อของพี่ชายคือฮวงหลงใช่ไหม?”
เห็นเขาหันหลังให้นางปวดใจนัก แต่พอนึกได้ลองเรียกชื่อเขาออกไปกลับรั้งพี่ชายผู้นั้นไว้ได้ นางเคยพูดคุยกับท่านแม่เรื่องที่นางมองเห็นชายเจ้าของเส้นผมสีเงินยวงแต่ไม่มีผู้อื่นเห็น ท่านแม่จึงกระซิบบอกความลับนี้แก่นาง
“เจ้า!” น่าตายนัก! ต้องเป็นว่านหนิงเหมยที่บอกเด็กน้อยเป็นแน่ “นามของข้ามิใช่สิ่งที่เจ้าจะเอามาพูดเล่นเช่นนี้”
“คราวหน้าพี่ชายมาหาข้าอีกนะ ข้าอยากเจอพี่ชาย”
ซิ่นฮวายิ้มให้ควาททรงจำในวัยเด็กของตนเอง นางจำใบหน้าและท่าทางเหมือนกลายเป็นก้อนหินของเขาได้ดียิ่ง
‘ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ก็มิได้ จะหัวเราะก็ไม่ออก’
ไม่รู้เหตุใดนางจึงเห็นเขา แม้กระทั่งซิ่นหลิงซึ่งเป็นฝาแฝดกับนางยังมองไม่เห็น มีแต่มารดาเท่านั้นที่เข้าใจและเชื่อว่านางเห็นชายผู้นั้นจริงๆ
“เจ้าไม่ควรเรียกพี่ชายมาปรากฏกายบ่อยๆ นะ”
“เหตุใดข้าจะเรียกพี่ชายมาพบข้าไม่ได้ล่ะเจ้าคะ”
“พี่ชายผู้นั้นเป็นเทพมังกรดิน ย่อมมีภารกิจที่ต้องทำมากมายนัก เขาไม่ใช่เพื่อนเล่นของเจ้าหรอกนะ” มารดาวางมือบนศีรษะน้อยๆ ของนางแล้วยิ้มอ่อนโยน
“ภารกิจ? ภารกิจอะไรเจ้าคะ”
มารดาหัวเราะเบาๆ พยายามหาคำอธิบายให้ลูกสาวตัวน้อยแล้วเอ่ยออกมา “ช่วยเหลือผู้คนที่เดือดร้อนอย่างไรลูก”
นางกลอกตาไปมา เขามา ‘เล่น’ กับนางไม่ได้ แต่หากมีเรื่องเดือดร้อนก็ย่อมมาได้สินะ ด้วยเหตุผลนี้นางผู้รักความยุติธรรมตั้งแต่เด็ก นางและซิ่นหลิงมักแต่งกายเหมือนกันออกไปเที่ยวเล่นนอกตำหนักอยู่แล้ว เมื่อใดก็ตามที่นางพบผู้คนเดือดร้อน นางเป็นต้องเรียก ‘พี่ชาย’ ออกมาช่วยเหลือทุกครั้ง ไม่ว่าเขาจะทำหน้าบึ้งตึง ดุดัน ขึงตาใส่นางอย่างไร นางกลับไม่เคยกลัวเขาสักครั้ง
“ถ้าพี่ชายไม่มาท่านคิดว่าข้าซึ่งเป็นเด็กหญิงตัวเล็กบอบบางจะจัดการปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร”
เขาอ้าปากเหมือนจะโต้เถียงก็เปลี่ยนใจเป็นเม้มปากแน่นราวกลัวว่าถ้าปริปากส่งเสียงออกมาสักคำหนึ่งจะทำให้นางหาเรื่องตอบโต้เขาได้อีก
เป็นถึงเทพมังกรดินแต่เถียงสู้เด็กห้าขวบก็มิได้ รู้ถึงไหน อายถึงนั่น!
แม้บิดาจะรักใคร่เอ็นดูตามใจนาง แต่ดูท่าทางไม่ค่อยพอใจที่นางสนิทสนมกับเทพมังกรดินนัก มารดาเองก็คอยตักเตือนนางเสมอ
“ทำไมท่านพ่อไม่ชอบเทพมังกรดินเล่าท่านแม่ ข้าเคยได้ยินเรื่องเล่าต่างๆ นานาว่าเทพมังกรดินคุ้มครองตุนหวง ช่วยเหลือผู้คนให้พ้นภัยมาหลายครั้งหลายคราแล้ว”
นางจำได้ว่าครั้งนั้นนางถามไปอย่างไม่เข้าใจท่าทีของบิดา แต่มารดากลับหัวเราะออกมาแล้วยื่นข้อเสนอให้นาง
“ทุกปีแม่เป็นผู้เชิญดอกไม้บวงสรวงเทพมังกรดิน เจ้าเคยเห็นแม่บรรเลงผีผาในงานพิธีใช่ไหม?”
นางพยักหน้าแทนคำตอบ ปีนขึ้นไปนั่งตักมารดาอย่างตั้งใจฟัง
“แม่จะให้เจ้าเป็นผู้เชิญดอกไม้บวงสรวงเทพมังกรดิน...”
“ลูกอยากทำเจ้าค่ะท่านแม่” นางรีบพูดแทรกขึ้นทั้งที่มารดายังพูดไม่จบ นางเห็นสายตาตำหนิของมารดา รีบยกมือขึ้นปิดปากทำท่าสำนึกผิดที่พูดแทรกทั้งที่มารดายังพูดไม่จบประโยค
“หากเจ้าปรารถนาจะเป็นผู้เชิญดอกไม้บวงสรวงเทพมังกรดิน เจ้าควรฝึกบรรเลงเครื่องดนตรี เจ้าชอบสิ่งใดก็จงฝึกฝนให้เชี่ยวชาญ”
นางในวัยเด็กเห็นมารดาเพียบพร้อม ทั้งอ่อนโยนและอ่อนหวาน เล่นดนตรีได้ไพเราะ บางคราวก็เห็นมารดากับบิดานั่งเล่นหมากกระดานด้วยกัน ทั้งโคลงกลอนก็เรียกได้ว่าไม่ด้อยกว่าใคร นางจึงตัดสินจะเป็น ‘หญิงงาม’ แบบท่านแม่ให้ได้
เนื่องจากบิดาร่ำรวย นางจึงมีเครื่องดนตรีมากมายให้ลองหยิบจับสัมผัส นางซึ่ง...ไม่อาจเอาดีด้านวรยุทธ ต่างจากซิ่นหลิงที่อายุน้อยแต่เดินลมปราณได้แล้ว เมื่อบิดาเห็นว่านางสนใจดนตรีก็สรรหาอาจารย์มาสอนให้ นางเลือกเล่นพิณเพราะคิดไปว่ามันช่างแสนสง่างามหากนางนั่งบรรเลงบนแท่นพิธีในงานบวงสรวง ทว่านิ้วเล็กๆ ของนางต้องทนเจ็บปวดกับการฝึกดีดพิณ แต่เพราะนางตั้งใจจะเป็นผู้เชิญดอกไม้บวงสรวงเทพมังกรดิน ทำให้นางมีความพยายามและมุ่งมั่นจนอายุเจ็ดขวบนางก็เล่นพิณเจ็ดสายได้อย่างชำนาญ และในปีต่อมานางก็เล่นพิณสิบสองสายได้อย่างไพเราะ