เห็นหญิงสาวหมุนตัวเดินออกไป เขาอยากอาสาเดินไปส่งแต่กลับกัดริมฝีปากของตน มองแผ่นหลังของหญิงสาวเดินไปพร้อมกับปี้เอ๋อร์ นิสัยซุกซนของซิ่นฮวา มีเพียงปี้เอ๋อร์หญิงรับใช้ของพระชายาหนิงเหมยที่กล้าห้ามปรามซิ่นฮวา นางจึงไม่มีหญิงรับใช้มากมายเช่นบุตรสาวตระกูลใหญ่ เพราะต่อให้มีมากเพียงใดก็ไม่อาจรับมือท่านหญิงผู้ซุกซนคนนี้ได้
“จะทำอะไรก็รีบๆ เถิด นางงดงามเช่นนี้ ใครก็ต่างหมายเด็ดดอมดอกไม้งาม” ซาโม่พูดเหมือนกระซิบข้างกันอี๋ ไม่ได้หันมามองอีกฝ่าย แต่เดินแยกกลับไปเรือนพักของตัวเอง บิดามารดาเป็นคนสนิทของท่านอ๋อง ท่านอ๋องจึงประทานเรือนพักให้ไว้เป็นการส่วนตัว รวมทั้งชากกีและจื่อเหยี่ยนด้วย
ซิ่นหลิงเดินแยกไปเรือนของตน แม้กลับมากะทันหันแต่เรือนของเขาสะอาดสะอ้านราวกับมีคนอาศัยอยู่ตลอดเวลา นานหลายปีที่ต้องฝึกฝนตนเองในป่าเขา ท่ามกลางความหนาวเหน็บของฤดูกาลและความร้อนแรงของแดดกล้า ไม่ได้หลับนอนบนฟูกนุ่มนานเพียงใดแล้วหนอ ชายหนุ่มรำพึงกับตนเอง หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เขาหยิบตำราขึ้นหวังจะอ่านก่อนนอนสักนิดหน่อยก่อนเข้านอน แต่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวที่นอกหน้าต่าง ดวงตาคมหรี่มองอย่างระวัง
“หลิงเอ๋อร์! เจ้ารีบเปิดหน้าต่างเดี๋ยวนี้นะ”
เสียงของซิ่นฮวาร้องเรียกอยู่ด้านนอกทำให้เขารีบโยนหนังสือไว้ที่โต๊ะ ก้าวยาวๆ ไปเปิดหน้าต่าง เห็นน้องสาวฝาแฝดของตนแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว แต่ช่วยประคองให้นางปีนเข้ามาในห้องของเขา
“เจ้าเข้ามาทำอะไรอีก” บ่นทั้งที่หัวเราะ นางไม่มีพรสวรค์ด้านการฝึกยุทธเลยสักนิด ที่เอาตัวรอดได้นี่มันวิชาวานรชัดๆ เรื่องปีนป่ายต้นไม้นี่เป็นความคิดของนางทั้งนั้น
“ข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าช่วย” นางอยากพูดคุยกับเขาตั้งแต่อยู่ในสวนกระจ่างใจ แต่คนเยอะเกินไปนางไม่กล้าปริปากขอร้อง
“ข้าเพิ่งกลับมา เจ้าก็จะใช้งานข้าเลยรึ” ซิ่นหลิงส่ายหน้าไปมา “ว่ามาซิ”
“คือ...หลังเสร็จพิธีบวงสรวงก็จะถึงวันเกิดของข้า”
“ของข้าด้วย” ซิ่นหลิงพูดเติมให้ นางลืมไปหรือไรว่าเขาและนางเกิดวันเดือนเดียวกัน
“ก็นั่นแหละ ปีนี้ข้าสิบเจ็ดแล้ว”
“ใช่ ข้าก็อายุสิบเจ็ดเท่าเจ้านั่นแหละ?”
“คือ...” นางอ้ำอึ้ง ใบหน้าหวานแดงระเรื่อขึ้นมา “ข้ามีเรื่องให้เจ้าช่วย”
“ช่วยสิ่งใด?” คนปากเก่งอย่างนางนี่ ยามนี้ทำไมพูดจาวกวนนัก เขาบ่นในใจพลางรินน้ำชาให้ตัวเอง แล้วยกขึ้นดื่ม
“ช่วยพาข้าไปหอนางโลมหน่อยสิ”
พรวด!
“ตายจริง ไยเจ้าพ่นน้ำชาเป็นเด็กอย่างนี้ล่ะ” ซิ่นฮวาหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนส่งให้อีกฝ่ายรับมาซับมุมปาก
“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ”
“เจ้าได้ยินชัดแล้วไม่ต้องถามซ้ำหรอก” นางเบ้ปาก “ตกลงจะช่วยหรือไม่”
“เหตุใดเจ้าอยากไปหอนางโลม”
“ข้า...” นางกลอกตาไปมาก่อนพูดเสียงเบา “ข้าอยากรู้ว่าระหว่างชายหญิง ‘มีอะไร’ กันอย่างไร” หากมารดามาได้ยินเข้า เห็นทีคงถึงขั้นเป็นลมล้มพับเป็นแน่
ซิ่นหลิงพยายามสงบใจ เขาเป็นบุรุษเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างผ่าเผย แต่นางเป็นหญิงจะอยากรู้ไปทำไมกัน ที่สำคัญนางยังมิได้ออกเรือน
“เรื่องแบบนี้ให้ว่าที่สามีของเจ้าสอนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเข้าไปศึกษาหาความรู้ที่หอนางโลม” เขาส่ายหน้าไปมา น้องสาวของเขาซุกซนเกินไปแล้ว “ถ้าเจ้าอยากรู้จริงๆ ข้าจะหาหนังสือมาให้”
“ข้าเคยดูแล้วแต่ยังไม่เข้าใจ”
“......”
ซิ่นหลิงไม่คิดว่า... ซิ่นฮวาจะกล้าดูหนังสือแบบนั้น
ซิ่นฮวาเข้าใจสายตาของซิ่นหลิง นางทำจมูกย่นเหมือนแมวน้อย ท่าทางน่าเอ็นดูแต่หารู้ไม่ว่าใช้ไม้นี้กับซิ่นหลิงมิได้
“ถ้าข้าไม่ช่วย เจ้าก็ให้คนอื่นช่วยอยู่ดีใช่หรือไม่”
ซิ่นฮวาพยักหน้ารับ นั่นทำให้ซิ่นหลิงหลับตาโอดครวญในใจ ที่เขาเห็นนางแต่งกายเป็นบุรุษถูกมารดาวิ่งไล่หมายทำโทษในวันนี้ คงเพราะความคิดแปลกประหลาดเช่นนี้เป็นแน่
“เร็วๆ ด้วย ข้าอยากไปก่อนวันบวงสรวงเทพมังกรดิน”
“หา!” ใช้งานผู้อื่นแล้วยังมีการมาเร่งอีก
“ไยรีบร้อนถึงเพียงนี้ นี่เจ้าวางแผนร้ายอันใดอยู่หรือไม่”
“ไม่ใช่แผนร้ายเสียหน่อย” นางลูบปลายจมูกตัวเอง “เอาเป็นว่าเจ้ารับปากแล้ว ต้องช่วยให้ถึงที่สุด”
ซิ่นหลิงได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วง ที่เขาไปร่ำเรียนมาไม่มีกลวิธีรับมือหญิงดื้อและซุกซนอย่างนางเลย แล้วนี่ชายใดหนอที่จะถูกนางรังแกกลั่นแกล้งเอา
หรือว่าจะเป็น... ป่านนี้แล้ว นางยังไม่ตัดใจอีกหรือ?
ร่างบอบบางเร้นกายในความมืดกลับเข้ามาในห้องนอนของตนเองอย่างเงียบเชียบ ไร้ร่องรอยความผิดปกติใด ซึ่งนางมักทำเช่นนี้เป็นประจำ แม้ในห้องดับเทียนทำเป็นว่าเจ้าของห้องเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว ซิ่นฮวาค่อยๆ วางเท้าลงไปแต่ละก้าวอย่างเบาที่สุด เมื่อเดินมาถึงเตียงนอนของตนแล้ว นางลอบถอนหายใจโล่งอก ระยะหลังนางเริ่มคล่องแคล่วกับการแอบย่องไปมายามค่ำคืน แต่หน้าห้องมีน้า
ปี้เอ๋อร์คอยเฝ้าอยู่ ทำให้นางต้องยิ่งระมัดระวังตัวให้มากขึ้น นางถอดรองเท้าแล้วปีนขึ้นบนเตียงนอนของตน มือเรียวดึงปิ่นปักผมออก ใช้นิ้วสางเส้นผมยาวสลวยของตนพลางครุ่นคิดถึงเรื่องราวทั้งหมด อันเป็นเหตุผลให้นางไปขอร้องให้ซิ่นหลิงช่วยพานางไปหอนางโลม
อีกสามวันจะถึงวันบวงสรวงเทพมังกรดิน ซึ่งปีนี้ตรงกับวันเกิดของนางพอดี แม้นางเคยถูกชายผู้นั้นปฏิเสธคำขอแต่งงานมาแล้ว นางก็...ไม่ยอมแพ้หรอก! นางไม่ยอมตัดใจจากรักแรกเด็ดขาด
หญิงสาวมองเหม่อไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ายามราตรีกาล ใกล้คืนพระจันทร์เต็มดวงแล้ว ดวงจันทร์อวดโฉมงดงามอยู่บนท้องฟ้า นางปล่อยใจให้
ตัวเองคิดถึงครั้งแรกที่ได้พูดคุยกับชายผู้นั้น... พี่ชาย ...เทพมังกรดิน
ตั้งแต่จำความได้ นางมักมองเห็นชายผู้หนึ่ง เขาเป็นบุรุษรูปร่างสูงสง่า ดวงตาคู่นั้นยามมองใต้แสงพระอาทิตย์ให้ความรู้สึกเจิดจ้า แต่กระนั้นคล้ายกับฉาบด้วยหมอกเบาบาง เส้นผมสีเงินสลวยดุจเส้นไหม เขามักอยู่ในอาภรณ์สีขาวคล้ายเมฆบนท้องฟ้า ริมฝีปากบางมักเม้มจนเรียบตึง นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดมีเพียงนางที่มองเห็นชายผู้นี้ เมื่อครั้งที่นางยังเป็นเด็กเล็ก มักชี้ให้ซิ่นหลิงมองไปที่บุรุษผู้นั้น แต่ซิ่นหลิงกลับมองไม่เห็น แต่นางมั่นใจว่าคนผู้นั้นมีตัวตน เมื่อเห็นเขามองมาทางนาง นางรีบยกมือยกไม้โบกไปมา ทว่าอีกฝ่ายกลับแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น หลบตา และบางครั้งก็หายไปนานหลายสิบวันกว่าจะมาให้นางเห็นอีกสักครั้ง
ปีที่นางอายุห้าขวบ มาร์คัสกับรองแม่ทัพซานม่านหวากลับมาที่ตุนหวง หลังจากที่ทั้งสองท่องยุทธภพหลายปี นางรู้แค่ว่าทั้งสองเป็นสหายของบิดามารดา กลับมาครั้งนี้พาซาโม่ซึ่งในเวลานั้นอายุสี่ขวบมาด้วย เด็กชายตัวไม่เล็กนั้นมอง
ผิวเผินไม่ต่างจากเด็กสี่ขวบทั่วไป ทว่าดวงตาสีน้ำตาลแดงคู่นั้นต่างหากที่ถูกผู้คนหวาดกลัว ซ้ำยังมีท่าทางเหมือน ‘หมาป่า’ นั่นอีก เมื่ออยู่ใกล้ใครชอบยื่นจมูกไปดมกลิ่น ท่าทางไม่ต่างจากสุนัขนัก ซานม่านหวาเป็นรองแม่ทัพของบิดา นางเคยได้ยินชื่อเสียงมานานเพิ่งได้พบเป็นครั้งแรก ทั้งมาร์คัสเองก็ไม่เหมือนผู้อื่น ว่ากันว่าเป็นคนของชนเผ่าอีกซีกโลก ทว่าอาจเพราะนางเติบโตที่ตุนหวง เมืองที่หลากหลายชนเผ่าและวัฒนธรรม นางเคยเห็นผู้คนทั้งผิวขาวซีด ผิวเข้มดำสนิทราวกับถ่าน หรือแม้กระทั่งผมสีทอง ผมสีแดงดวงตาสีฟ้า สีเขียว ทั้งภาษาการพูดรวมกันอาหารการกิน แม้นางอายุเพียงห้าขวบแต่รู้เรื่องราวพวกนี้อย่างดียิ่ง เพราะพี่จ้าวต้าหรือพ่อบ้านจ้าวต้านอกจากเป็นพ่อบ้านประจำจวนชินอ๋องแล้วยังมีสถานะเป็นพ่อค้า คอยติดต่อผู้คนมากมาย ทำให้นางกับซิ่นหลิงที่อยากรู้อยากเห็นได้เห็นสิ่งแปลกตาจนกลายเป็นชินตา