บทที่2.3

882 คำ
ต่อมา “ขยับมาใกล้ ๆ สิ ไหล่นายเปียกหมดแล้ว” ไม่เพียงกล่าวเสียงขึ้นจมูก แต่มือเล็ก ๆ ยังคว้าเข้าที่แขนเสื้อ ออกแรงดึงให้ผมขยับเข้าไปยืนอยู่ในรัศมีร่มเหมือนหลายนาทีก่อน เป็นความต้องการของผมเองที่อยากรักษาระยะห่าง เพราะชีวิตนี้ทั้งชีวิตไม่เคยได้ใกล้ชิดเพศตรงข้ามมาก่อน ทั้งยังเป็นการแนบชิดในสภาพเปียกชื้นด้วยกันทั้งคู่ ผมจึงเก็บความประหม่าไว้ไม่อยู่ ทำได้ดีสุดแค่เขยิบออกมา ให้เธอหลบฝนอยู่ใต้ร่มคันนั้นโดยไม่มีใครอีกคนคอยเบียดเบียน “เราเปียกไม่เป็นไร” เมื่อถูกคนตัวเล็กรั้งกลับเข้าไป ผมที่ปิดปากเงียบมานานจึงขอพูดอะไรบ้าง “ไม่เป็นไรอะไรของนาย” นักเรียนใหม่ที่ผมเพิ่งค้นพบว่าสูงเคียงอกตัวเองเท่านั้นใช้โทนเสียงเชิงตำหนิ “ถ้ายังพอขยับมาได้ก็ขยับมาเถอะ เราไม่ว่าหรอก” “...เปล่า” ผมปฏิเสธ มือกระชับด้ามร่มแน่น แม้สองตาเอาแต่มองตรงไปข้างหน้า ทว่าตลอดเวลากลับรับรู้ได้ถึงการลอบมอง “หืม?” เห็นผมกล่าวเชิงปฏิเสธแล้วนิ่งเงียบไปพักใหญ่ นักเรียนใหม่จึงปล่อยเสียงในลำคอ ส่งสัญญาณให้รับรู้กลาย ๆ ว่ากำลังรอฟัง “เราแค่...” ผมยังคงมองไปข้างหน้าเหมือนเดิม สนทนากับเธอโดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปหา “...ไม่ชิน” “งั้นก็ทำให้ชินซะตั้งแต่วันนี้เลยเป็นไง” น้ำเสียงที่เมย์ใช้ไม่ถึงกับเริงร่าทว่าก็สดใสซะจนต้องละความสนใจจากภาพเบื้องหน้าเป็นคนข้าง ๆ อีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ เพียงหนึ่งวินาทีเท่านั้นหลังสบประสานสายตากับนักเรียนใหม่ ผมซึ่งขี้ขลาดเกินไปจึงลากสายตากลับมาเหมือนเดิม กดข่มความสับสนที่ไม่เคยพานพบมาก่อนอย่างเงียบเชียบ “อย่าดีกว่า” เมื่อนึกถึงความเป็นจริงในรั้วโรงเรียน ผมพลันตระหนักได้ว่าเราสองคนไม่ควรข้องเกี่ยวกันตั้งแต่แรกแล้ว มีคนชื่นชอบเธอมากมาย หนึ่งในนั้นคือไอ้หิน หากรู้ว่าผู้หญิงที่ตัวเองหลงใหลได้ปลื้มใช้เวลาร่วมกับผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มแบบนั้น เครื่องมือรองรับความเกรี้ยวกราดจะเป็นใครไปได้อีกถ้าไม่ใช่ไอ้ขี้แพ้อย่างผม เดิมทีไม่มีแรงจูงใจอะไร มีเพียงความคึกคะนองสนุกสนานผมก็โดนมันซ้อมแทบทุกวัน ยิ่งมีเมย์เข้ามาเป็นตัวแปร จุดจบคงเลวร้ายยิ่งกว่า “ทำไม?” คำถามนั้นฉาบเคลือบอารมณ์ดื้อดึง “นายกลัวอะไร” “...” ผมเก็บเส้นเสียงไว้มิด สนใจเพียงการก้าวเดินเท่านั้น ซึ่งใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงที่หมาย ตอนนั้นเองผมตัดสินใจยัดร่มใส่มือเธอ ก่อนวิ่งฝ่าฝนเข้าไปในอาคารเพียงลำพัง ไม่มีคำร่ำลาใด ๆ ให้เธอแม้สักคำเดียว End Describe. ฉันนั่งควงปากกาอย่างเบื่อหน่ายขณะมองกระดานดำซึ่งเต็มไปด้วยสูตรคำนวนวิชาฟิสิกส์ เนื่องจากอาจารย์ประจำวิชาเฮี้ยบมาก ทั้งยังโหดเหี้ยมน่าเกรงขามจนไม่มีใครกล้าหือ บรรยากาศโดยรวมภายในห้องตอนนี้จึงค่อนข้างเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงลมจากแอร์เท่านั้น สมองเสี้ยวหนึ่งพยายามทำความเข้าใจความยากของโจทย์ ทว่าอีกเสี้ยวหนึ่งกลับคิดฟุ้งซ่านเกี่ยวกับเพื่อนร่วมห้องคนนั้น เขาน่ะ นอกจากเข้าใจยาก ยังเข้าถึงยากจนน่าฉงน ฉันอาศัยวินาทีที่อาจารย์หันหน้าเข้าหากระดานดำ เอี้ยวกลับไปมองการ์วินซึ่งนั่งอย่างเงียบสงบอยู่แทบหลังสุดของห้อง เขาก้มหน้าก้มตาจดยิก ๆ ลงบนกระดาษ ใบหน้าที่มักราบเรียบไร้คลื่นอารมณ์ ทว่าบางครั้งกลับดูไร้เดียงสาบ่งบอกได้ถึงการจดจ่อ...ซึ่งก็สมแล้วกับที่เป็นท็อปเรื่องการเรียน แปลกดีเหมือนกัน ปกติพวกหัวกะทิมักนั่งอยู่ด้านหน้า ส่วนเด็กหลังห้องจะเป็นพวกเกกมะเหรกไม่เอาไหน แต่กลายเป็นว่า...เด็กหลังห้องผู้เงียบขรึมคนนั้นกลับกินเรียบในทุกวิชา พระพายเล่าว่าแท้จริงแล้วการ์วินถูกลากไปนั่งหลังห้องเพราะพวกเกเรอยากให้เขาอยู่ใกล้มือใกล้เท้า เวลากลั่นแกล้งจะได้สะดวกหน่อย ทำไมต้องยอมไอ้พวกนิสัยเสียนั่นตลอดเลยนะ ทั้งที่นายเองก็...ทั้งตัวสูง ขายาว ดูลีน ๆ แต่ก็พอมีกล้ามเนื้ออยู่บ้าง ออกแรงผลักกลับสักครั้งคงเจ็บไม่น้อย ฉันพลันนึกย้อนถึงเหตุการณ์ช่วงเช้าของวันนี้ เพราะร่างกายส่วนหนึ่งของเขาถูกฝนเล่นงาน เสื้อนักเรียนสีขาวจึงเปียกแนบลู่กับร่างกาย แม้เป็นเวลาเพียงไม่นาน แต่ฉันทันเห็นกล้ามเนื้อผ่านเสื้อนักเรียนอันเปียกชื้นของเขา เป็นไปได้ว่าการจับจ้องของฉันค่อนข้างเปิดเผย การ์วินจึงแสดงท่าทีคล้ายรับรู้ถึงสายตาคู่หนึ่ง การ์วินเงยหน้าขึ้นจากสมุดทันที กระทั่งพบว่าเจ้าของรังสีแปลก ๆ นั่นไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นฉัน...เขาจึงเปลี่ยนมาเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าก้มตาลงเหมือนเดิม แล้วเมื่อไหร่ฉันจะตีซี้เขาได้สำเร็จนะ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม