“แล้วยังจะต่อปากต่อคำ พูดจาไม่รู้สำนึกอยู่ได้!” พ่อลุกขึ้นจากโซฟา ยื่นนิ้วมาจิ้มหน้าผากฉันแรง ๆ จนศีรษะโยกไปด้านหลัง “จำใส่หัวเอาไว้ ถ้าไม่มีพ่อ แกมันก็เป็นได้แค่เด็กเหลือขอคนหนึ่งเท่านั้นแหละ”
“ค่ะ พูดจบแล้วใช่ไหมคะ เมย์จะได้ขึ้นไปนอน” ฉันถามและไม่ยี่หระแรงกระแทกจากปลายนิ้วบริเวณหน้าผาก
“ก่อนไป อย่าลืมเอาบุหรี่กับไฟแช็กออกมากองบนโต๊ะด้วย”
“...”
“ถ้ารู้ว่าแกสูบอีก พ่อจะไม่ทำแค่เตือนแล้ว”
หึ พูดเหมือนว่าที่ผ่านมา...ท่านทำกับฉันแค่ตักเตือนอย่างนั้นแหละ
ฉันบิดริมฝีปากเป็นรอยยิ้มอันเฉยชา เทซองบุหรี่และไฟแช็กออกมาจากเป้นักเรียน ไม่รอคำอนุญาตจากคนเป็นพ่อก็หมุนตัวเดินจากมาในทันที
ครั้นขึ้นมาบนห้อง สิ่งแรกที่ฉันทำก่อนอาบน้ำคือจัดการเปลื้องทุกสิ่งออกจากร่างกาย ก่อนก้าวเท้าตรงไปหยุดยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในสภาพเปลือยกาย
มีไม่กี่คนหรอกที่จะรู้...ว่าภายใต้ชุดที่ฉันสวมใส่อยู่ทุกวัน มีความบอบช้ำที่รักษาไม่หายกระจัดกระจายไม่ต่ำกว่าสิบจุด
เพราะมีเสื้อผ้าคอยปกปิด เพราะรู้วิธีอำพรางเป็นอย่างดี ฉันจึงดูปกติสุด ๆ ในสายตาคนรอบข้าง
ฮ่า ๆ...
จับจ้องความคุ้นเคยนั้นได้ไม่นาน เสียงหัวเราะผะแผ่วที่ฟังดูแหบแห้งสิ้นดีพลันเล็ดลอดออกมา
ตลกดีนะเมย์ น้ำหน้าอย่างแก กล้าดียังไงไปสงสารการ์วิน
ริอ่านจะเป็นแสงสว่างเล็ก ๆ ให้เขา แต่ตัวแกเอง...ยังไม่รู้จักสิ่งนั้นดีพอด้วยซ้ำ
ซ่า...
ฉันเหม่อมองสายฝนนับล้านหยดผ่านกระจกรถซึ่งกำลังเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าบนถนนเปียกชื้น
เดิมทีระยะทางจากบ้านมาโรงเรียนไม่ไกลกันมากนัก หากไม่มีอะไรติดขัดใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้นก็ถึงที่หมาย แต่เพราะเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเต็มรูปแบบแล้ว อีกทั้งสายฝนพวกนั้นยังมาพร้อมพายุอีกด้วย จึงไม่แปลกเลยที่การเดินทางด้วยรถยนต์ในเช้าวันนี้จะกินเวลานานกว่าปกติ
บรรยากาศแบบนี้ เหมาะแก่การนอนขดตัวในผ้าห่มมากกว่าแหกขี้ตาตื่นไปโรงเรียนเป็นไหน ๆ
ยังไงก็ตาม...ถ้าให้เลือกระหว่างโรงเรียนกับบ้าน คำตอบเดียวที่ฉันมีให้ก็คงเป็นโรงเรียนอยู่ดี
จริงว่าสภาพสังคมของโรงเรียนใหม่จะเน่าเฟะและค่อนข้างน่าสะอิดสะเอียน แต่อย่างน้อย ที่นั่นก็ไม่มีพ่อ
“คุณพีท จอดค่ะ” ปล่อยให้รถเคลื่อนตัวอย่างเอื่อยเฉื่อยอยู่สักพัก ฉันพลันเห็นใครบางคนเดินกางร่มอยู่บนฟุตบาธฝั่งซ้ายมือเพียงลำพัง จึงบอกให้คุณพีทซึ่งเป็นทั้งคนขับรถและบอดี้การ์ดประจำตัวหยุดรถ
“ครับ? ยังไม่ถึงเลยนะครับคุณหนู”
“จอดค่ะ” ฉันกล่าวซ้ำสองโดยไม่แจกแจงเหตุผลให้เขาทราบ แน่นอนว่าน้ำเสียงที่ถูกปรับให้ชัดเจนและกดต่ำกว่าปกติชี้ชัดถึงเจตนาอันแรงกล้า คุณพีทจึงพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ ก่อนค่อย ๆ ชะลอรถแล้วเคลื่อนตัวไปจอดเทียบริมฟุตบาธในไม่กี่วินาทีให้หลัง “ปลดล็อกให้เมย์ด้วย เมย์จะลง”
กล่าวพร้อมดึงเป้ที่วางอยู่บนเบาะข้าง ๆ ย้ายมาวางไว้บนตักตัวเอง เตรียมลงจากรถดังที่ปากว่า
โดยระหว่างนั้นสองตาเอาแต่จับจ้องร่างสูงในชุดยูนิฟอร์มถูกระเบียบ เขาก้าวเดินด้วยขายาว ๆ อย่างมั่นคง ทว่าแผ่นหลังกว้างขวางนั้นช่างดูโดดเดี่ยวและว่างเปล่าเสียเหลือเกิน
อืม การ์วินนั่นแหละ
“ลงไปไหนครับคุณหนู ยังอีกเกือบกิโลฯ กว่าจะถึงโรงเรียนนะครับ อีกอย่างฝนก็ยัง...”
“คุณพีทไม่ต้องถามมากค่ะ เอาเป็นว่าเมย์จะลง” ฉันจำใจละสายตาจากการ์วินเพียงชั่วครู่ ใช้แววตาสำทับความต้องการเพื่อให้เขาเลิกเซ้าซี้แล้วปล่อยฉันลงไปสักที
ฉันเด็กกว่าคุณพีทเป็นสิบ ๆ ปี แต่ด้วยเป็นลูกสาวของเจ้านายที่ตนเคารพรัก ฉันจึงเปรียบเสมือนเจ้านายอีกคนของเขา เลยไม่แปลกที่เขาจะไม่กล้าซักไซ้อะไรอีกเป็นหนที่สาม
แกร็ก!
ครั้นเสียงปลดล็อกดังขึ้น ฉันก็ไม่รอช้า เปิดประตูลงจากรถ วิ่งไปยังทิศทางที่ต้องการพร้อมยกเป้สีน้ำตาลขึ้นบังเม็ดฝน
พลันนั้นเสียงของคุณพีทดังตามหลังคลอเคล้าเสียงฝน แต่ไม่อาจจับใจความได้ กอปรกับฉันเองก็กำลังให้ความสนใจเพียงการ์วิน จึงมองข้ามคำพูดนั้นของเขาโดยปริยาย
ตึก ตึก ตึก...
รองเท้านักเรียนย่ำลงพื้นอันเปียกแฉะ แข่งกับเสียงฝนที่ต่อให้ซาลงเล็กน้อย ทว่ายังมองไม่เห็นเค้าลางความสงบ
แน่นอนว่าแม้การย่ำเท้าไม่ได้หนักหน่วงนัก แต่เมื่อระยะห่างลดหลั่นลง เสียงนั้นก็มากพอที่จะดึงความสนใจของการ์วินได้ เขาหันกลับมา เป็นวินาทีที่ฉันสามารถเอาตัวเองเข้าไปยืนอยู่ภายใต้ร่มคันเดียวกันกับเขาได้สำเร็จ
“อรุณสวัสดิ์” เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่ตัวเองต้องการ ก็เป็นฉันเช่นเคยที่เงยหน้าขึ้นกล่าวทักทาย เพียงแต่คราวนี้คำทักทายนั้นมีส่วนผสมของเสียงหอบหายใจ
“...!?” ฝ่ายนั้นชะงักกึกด้วยความตกใจ ก่อนก้มมองฉันซึ่งตัวเล็กกว่ามากด้วยสายตาฉงนสงสัยสุดขีด สักพักก็หันซ้ายหันขวา คล้ายต้องการตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีนักเรียนคนอื่นมองเห็นเรา
แล้วถ้ามีคนเห็นขึ้นมา มันจะทำไม?
“ตกใจอะไร? เราไม่ใช่ผีนะ” ฉันเป็นฝ่ายขยับเข้าไปใกล้เขาเสียเอง เพื่อยืนยันว่าผู้หญิงตรงหน้าเป็นคนไม่ใช่วิญญาณ ทว่าการ์วินที่ดูตั้งตัวไม่ทันกลับก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว...
ถึงอย่างนั้น มือข้างที่จับด้ามร่มกลับไม่ได้ขยับไปตามร่างกายเขา ส่งผลให้ตัวของเขาซึ่งออกไปจากรัศมีร่มเปียกปอนในทันที ส่วนร่มคันนี้...กำลังบดบังสายฝนให้ฉันเพียงคนเดียว
Garwin Describe.
เมื่อวาน...นักเรียนใหม่ผู้สูงส่งสารภาพว่าอยากเป็นเพื่อนกับผม
เมื่อวาน...เธอยื่นร่มให้ผมเพราะรู้ว่าฝนกำลังจะตก และหากเดินกลับบ้านโดยไม่มีสิ่งนั้น ร่างกายของผมคงเปียกปอน
เมื่อวาน...ผมได้รับความโอบอ้อมอารีที่ตัวเองเคยต้องการในอดีตจากเธอเป็นครั้งแรก
และในวันนี้...เจ้าของการกระทำทั้งหมดนั้นก็มาปรากฏตัวตรงหน้า กล่าวคำทักทาย ขยับเข้ามาใกล้ อีกทั้ง...
กึก...
ในขณะที่ผมเอาแต่หลีกหนี ตีตัวออกห่าง ทว่าเมย์กลับก้าวเท้าเข้ามาหาอย่างดึงดัน
เธอดันร่มในมือผม บังคับให้เจ้าสิ่งนี้บดบังผมจากความเปียกชื้น กลายเป็นว่าเราสองคนกำลังยืนอยู่ภายใต้ร่มคันเดียวกันท่ามกลางสายฝนอันเย็นเฉียบ
ร่มเล็กมาก...ส่งผลให้ความใกล้ชิดของเราสองคนอยู่ในระดับที่ผมไม่สามารถรับไหว รีบก้มหน้าลง ไม่กล้ามองสบตาเธอ
“คงไม่รังเกียจหรอกใช่ไหมที่จะเดินไปโรงเรียนพร้อมกัน?” ด้วยระยะห่างที่ไม่ได้มากมาย เสียงที่เมย์เปล่งออกมาจึงมาพร้อมกับลมหายใจอุ่นร้อน... “นี่การ์วิน นายอย่าเอาแต่มองพื้นสิ เงยหน้าขึ้นเร็ว”
ถึงจะประหม่า มึนงง และระแวงอยู่บ้าง ถึงอย่างนั้นผมก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นจากพื้นอย่างระมัดระวัง และสิ่งแรกที่ผมได้รับหลังเงยหน้าขึ้นคือ...รอยยิ้มอันสดใสของเธอ
ทำไมต้องยิ้มให้ผมด้วย รอยยิ้มน่ารัก ๆ แบบนั้น ไอ้ขี้แพ้ไม่มีใครเอาอย่างผม...สมควรได้รับมันแล้วจริง ๆ เหรอ
“...” เพราะไม่ใช่สิ่งที่ได้รับบ่อยนักในช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมจึงคิดว่ารอยยิ้มสว่างไสวนั่นเจิดจ้าเกินไปสำหรับตัวเอง ดังนั้นแม้อยากมองให้นานกว่านี้สักหน่อย แต่ก็หักใจเลือกผินหน้าไปอีกทาง
“ไม่พูดอะไรอีกแล้ว” คล้ายได้ยินเสียงพรูลมหายใจแผ่วเบาจากคนตรงหน้า “เอาเป็นว่า เดินไปโรงเรียนพร้อมกันนะ”
อยากปฏิเสธแทบตาย แต่ก็แพ้พ่ายเพียงเพราะรอยยิ้มเดียว