บอกจบก็เบี่ยงกายหนีออกจากห้องแต่งตัว ทว่าเดินผ่านเขาไปเพียงก้าวเดียวเรียวแขนพลันถูกดึงรั้งให้หันกลับมาเผชิญหน้า ตอนนี้ดวงตาดำขลับจึงเอาแต่จับจ้องเจ้าของฝ่ามือแข็งแรงตาไม่วาง “ปล่อยฉัน”
“ตอนนี้เธอเป็นคนอื่น ฉันคงต้องบอกว่าไม่ แต่ถ้าเมื่อไรที่เธอเป็นเมียฉันละก็ ฉันอาจจะยอมทำตามคำสั่งของเธออย่างว่าง่าย”
“อาจจะ...นั่นหมายความว่า ต่อให้ฉันเป็นเมียคุณไปแล้ว คุณก็ไม่มีทางฟังฉันหรอก” บุปผาสวรรค์เอ่ยอย่างรู้ทัน พลางพยายามงัดแงะอุ้งมือแข็งแรงออกจากเรียวแขน พอเดินห่างไปหลายก้าวจึงเอ่ยปากโดยไม่สนใจคำอนุญาตจากเขาเลยสักนิด “ฉันจะไปหาหลานนะ ต่อให้คุณยินยอมหรือไม่ก็ตาม”
“เจ้าหนูคิงส์นั่น มีอะไรน่าสนใจกว่าฉันหรือไง”
“ไม่ว่าจะมองมุมไหน หลานฉันก็ดีกว่าคุณหลายร้อยเท่า”
“ก็ดี ถ้าเธอพูดแบบนี้ ฉันคงต้องย้ายตัวเด็กนั่นไปไว้ที่อื่น”
“ถ้าคุณทำแบบนั้น ฉันจะตายให้คุณดู”
หันมาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่เขาเพียงเท่านั้นก็มุ่งฝีเท้าตรงไปยังฝั่งตะวันออกด้วยความรีบเร่ง พอก้าวเข้ามาในห้องแล้วได้เห็นเด็กน้อยวัยแบเบาะนอนครางอ้อแอ้อยู่บนเตียงโดยมีคนดูแลคอยหยอกเย้าอยู่ข้างๆ ทำให้บุปผาสวรรค์ถึงกับน้ำตาซึม เธอรู้สึกเสียใจจริงๆ กับการที่น้องสาวด่วนจากไปเร็วขนาดนี้ ถ้าหากว่าแก้วมุกดายังมีชีวิตอยู่คงจะได้เห็นภาพอบอุ่นอบจนอิ่มเอมใจ แต่ในเมื่อทุกอย่างมันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ก็ได้แต่ปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มนวลทิ้งลวกๆ
“คิงส์เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะน้า”
บุปผาสวรรค์ก้าวเร็วๆ เข้าใกล้ ยื่นมือให้เด็กน้อยสัมผัส เพียงมือเล็กๆ แตะโดนผิว ก็รู้สึกเหมือนมีกระแสความรักจู่โจมเข้ามาในหัวใจ “หลานรักของป้า”
“คุณหนูเลี้ยงง่ายมากเลยนะคะ” พี่เลี้ยงบอกเล่าด้วยรอยยิ้มจริงใจ “ตอนกลางวันร่าเริงแจ่มใส พอกลางคืนก็ไม่เคยร้องไห้งอแงเลยสักครั้ง”
“ฉันขออุ้มเขาหน่อยนะ”
“เชิญเลยค่ะ นี่ถ้าหากนายหญิงสามารถให้นมคุณหนูด้วยตัวเองคงดีกว่านี้นะคะ”
“นายหญิงหรือ” หญิงสาวนิ่วหน้าไม่เข้าใจ “คงไม่ได้หมายถึงฉันใช่ไหม”
“นายน้อยเป็นลูกของนายท่าน นั่นก็หมายความว่าเป็นลูกของนายหญิงไม่ใช่หรือคะ”
“ฉันไม่ใช่แม่ของคิงส์หรอกค่ะ ฉันเป็นแค่ป้าเท่านั้น”
“จริงหรือคะ” ซาฟาร์ได้แต่มองอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจนัก
“แม่ของเด็กคนนี้ตายเพราะอุบัติเหตุเมื่อไม่นานมานี้เอง”
“โธ่...น่าสงสารเหลือเกิน ตัวแค่นี้ก็ต้องกำพร้าแม่ซะแล้ว”
“ฉะนั้น! ฉันจะเป็นทั้งป้าและแม่ให้เขา ในระหว่างนี้ฝาก ซาฟาร์ดูแลเขาด้วยนะ”
“ไม่ต้องห่วงนะคะ ดิฉันจะดูแลคุณหนูเป็นอย่างดี”
“ขอบคุณค่ะ”
บุปผาสวรรค์คลี่ยิ้มบางๆ ส่งให้ จากนั้นก็อุ้มหลานตัวเล็กแนบอก ปลายจมูกเชิดรั้นแต้มแก้มซ้ายและขวาของเด็กชายวัยเดือนเศษด้วยความรักและหวงแหน ในระหว่างที่จรดริมฝีปากเธอก็เฝ้าสัญญาว่าจะดูแลหลานชายให้ดี จะไม่ปล่อยให้เขาต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมานเด็ดขาด ถึงแม้ว่าความเป็นจริงแล้ว จะมองไม่เห็นเลยว่าอนาคตของเธอกับหลานตัวน้อยๆ จะเป็นเช่นไร
“ป้ารักคิงส์นะลูก”
กระซิบด้วยเสียงสั่นเครือเพียงเท่านั้นก็ส่งหลานรักคืนให้กับซาฟาร์ แล้วเดินเร็วๆ กลับเข้าห้อง นั่งทำใจอยู่นานนั่นแหละถึงได้เปิดทีวีจอใหญ่ดู ทว่าในนั้นกลับไม่มีข่าวคราวที่ต้องการรู้เลยสักนิด ราวกับว่าคนในประเทศไทยไม่ได้สนใจกับการหายตัวไปของเธอแม้แต่น้อย ทุกอย่างเป็นแบบนี้คงเพราะอำนาจล้นเหลือของใครบางคน
ดูเหมือนเขาจะรู้ดีว่าเธอคิดอะไรอยู่ ถึงได้เดินเข้ามาใกล้แล้วปล่อยให้จ้องมองด้วยความไม่พอใจ
“เป็นอะไรไปอีก”
“ฉันอยากคุยกับแม่”
“ไม่ต้องห่วงหรอก แม่ของเธอสบายดี”
“ฉันขอคุยกับแม่แค่ห้านาทีเท่านั้น”
“ถ้าฉันยอม แล้วเธอมีอะไรให้ฉันเป็นการแลกเปลี่ยนล่ะ”
“คุณต้องการอะไร” แทนที่จะตอบกลับเป็นฝ่ายถามเสียเอง “บอกสิ่งที่คุณต้องการมาสิ”
นัยน์ตาสีสนิมจ้องมองเรือนร่างของคนไม่เกรงกลัวนิ่งนานถึงได้โพล่งออกมาหน้าตาเฉย “นอนกับฉัน”
“ไม่!”
“ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องส่งข่าวไปถึงแม่ของเธอแล้วล่ะ”
“คุณจะบอกอะไรกับท่าน”
“บอกว่าหลานรักตายไปแล้ว หรือไม่ก็ บอกว่าลูกสาวถูกส่งไปขายเรือนร่างให้กับผู้ชายเป็นร้อยเป็นพัน”
“สารเลว!”
บุปผาสวรรค์กัดฟันกรอดๆ แล้วเดินหนีเขาไปเสียดื้อๆ ออกมาถึงลานหน้าบ้านก็ตั้งท่าจะวิ่งออกไปตามถนนซีเมนต์ลาดยาว ทว่าเพียงขยับกลับมีบอดี้การ์ดร่างยักษ์สามคนเดินเข้ามาขวาง สีหน้าและแววตาพวกนั้นดูเยือกเย็นจนทำเอาไม่กล้าเดินหน้าต่อ ทำได้เพียงก้าวไปนั่งนิ่งๆ บนเก้าอี้สนามบริเวณหน้าคฤหาสน์เท่านั้น
พออยู่คนเดียวก็ต้องยกมือปิดหน้าปิดตา สะกดกลั้นอารมณ์ให้นิ่งสงบ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเขาบอกแม่อย่างที่บอกกับเธอผลจะเป็นอย่างไร แม่คงรู้สึกเจ็บปวดจนถึงขั้นตรอมใจแน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งต้องซบหน้าลงร้องไห้จนตัวสั่นเทิ้ม
ภาพสะอึกสะอื้นจนตัวโยนของคนด้านล่าง ทำให้เจ้าของคฤหาสน์หลังโตต้องกดโทรศัพท์สั่งการคนสนิททันที
“บอกแม่ของบุปผาสวรรค์ด้วยว่าเธอกับหลานปลอดภัยดี และอย่าลืมกำชับว่าให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ” สั่งจบรีบกดตัดสายแล้วเอาแต่เฝ้ามองคนร้องไห้อยู่เงียบๆ ในบางครั้งเขาก็อยากลงไปปลอบโยนเธอให้หายจากความเศร้าโศก ทว่าสิ่งที่ทำในตอนนี้มีเพียงเฝ้ามองดูทุกความเคลื่อนไหว ราวกับหมาป่าที่เฝ้ามองเหยื่อของตัวเอง แต่ดูเหมือนเขาต้องละสายตาจากภาพน่ามองอย่างกะทันหัน เพราะตอนนี้ใครบางคนก้าวพรวดพราดเข้ามาด้วยสีหน้ากังวล
“คนสนิทของท่านเคิร์กกำลังมาที่นี่ครับ”
“เคลียร์พื้นที่” สั่งการแล้วพลันเร่งฝีเท้าตรงไปรอตาเฒ่าอาร์ล เชลาร์ปทันที หนำซ้ำยังพยายามตีสีหน้าให้เป็นปกติ เขาไม่คิดเลยว่าหูตาของพ่อจะกล้าหาญบุกเข้ามาในคฤหาสน์ส่วนตัวแบบนี้ ทันทีที่อีกฝ่ายเดินมาหยุดตรงหน้าจึงคลี่ยิ้มบางๆ ต้อนรับ ซึ่งอีกฝ่ายคงรู้ดีว่ายิ้มของเขามันเป็นยิ้มที่เคลือบด้วยยาพิษชั้นดี
“มาทำอะไรที่นี่ครับ”
“นายใหญ่ติดต่อคุณคริสไม่ได้ ก็เลยส่งผมมาดู ไม่ทราบว่าคุณไคล์เห็นคุณคริสบ้างหรือเปล่า” แม้สีหน้าและแววตาของอาร์ลจะเรียบเฉย แต่ไคล์รู้ดีว่าอีกฝ่ายคงมองสำรวจรอบบ้านจนถ้วนทั่วแล้ว
“ที่นี่ไม่มีอะไรที่คุณอาต้องการหรอกครับ”
“ถ้าอย่างนั้นขอตัวก่อนนะครับ”
“หวังว่าผมคงไม่ต้องเห็นหน้าอาในบ้านหลังนี้อีก”