ขายครั้งที่ 8 - ย้ายเข้าบ้านสามี

1904 คำ
“หนูลิษา ทำตัวสบายเหมือนอยู่บ้านตัวเองนะลูก” ศาสตราจารย์ ดร.แพทย์หญิงอิงอร แม่แท้ ๆ ของหมออินทัชพูดด้วยน้ำเสียงเอื้อเอ็นดู “มีอะไรไม่สะดวกตรงไหนบอกพ่อกับแม่ได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ” ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์พีระ เอ่ยเสริม ส่วนอลิษานั้นนั่งเกร็งจนตะคริวแทบกินไปทั้งตัว เมื่อสองวันที่แล้วเธอลองหาประวัติครอบครัวของสามีในอินเตอร์เน็ตดู แล้วก็พบกับความจริงที่น่าตกใจว่าครอบครัวนี้ไม่ใช่แค่หมอธรรมดา แต่คุณพ่อคุณแม่ของหมออินทัชมีตำแหน่งเป็นถึงศาสตราจารย์ทั้งคู่ คุณหมออิงอรนั้นเป็นอาจารย์อาวุโสในมหาวิทยาลัยดัง ส่วนคุณหมอพีระเองก็ไม่ต่าง.. แต่พ่วงตำแหน่งอธิการบดีไปด้วย ไม่รวมถึงครอบครัวนี้มีกิจการโรงพยาบาลเป็นของตัวเอง ถึงไม่ได้ยิ่งใหญ่มากมายแต่ก็มีหลายสาขาในหลายจังหวัด ขึ้นชื่อเรื่องการรักษาและการบริการชั้นเลิศ อลิษารู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในโลกอีกใบ โลกที่มีแต่คนเก่งและเพอร์เฟกต์ ส่วนเธอนั้นเป็นแค่มดตัวน้อยที่ริอาจเหยียบเข้าบ้านราชสีห์ “ขอบคุณค่ะคุณหมอ” “เรียกพ่อกับแม่สิ เรียกแบบพี่อินเขา เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ” คุณหมอพีระเอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน เธอรู้ประวัติมาว่าคุณหมอพีระนั้นเลือกเรียนเฉพาะทางด้านกุมารเวชศาสตร์ ก่อนจะตัดสินใจเรียนศัลยศาสตร์เพิ่มภายหลัง จนกลายเป็นอาจารย์หมอชำนาญการผ่าตัดจนถึงทุกวันนี้ ไม่แปลกเลยที่คุณหมอพีระมีบุคลิกอบอุ่นอ่อนโยนแบบนี้ อลิษาไม่กล้าสบตาคุณหมอทั้งสองท่าน เธอจึงกวาดตามองไปทั่วห้องรับแขกแทน บ้านของคุณหมออินทัชไม่ได้ใหญ่อลังการเหมือนบ้านคนมีฐานะครอบครัวอื่น ๆ เป็นบ้านขนาดกลางที่เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีกันแค่สามคน เพียงแต่พื้นที่ในแต่ละห้องจะใหญ่กว่าบ้านทั่วไป อย่างห้องรับแขกนี้ก็กว้างและโปร่งโล่ง ตกแต่งเรียบ ๆ แต่ซ่อนความหรูหราไว้ หินอ่อนที่ประดับติดกำแพงแผ่นใหญ่เป็นหินอ่อนของจริงและไม่มีรอยต่อใด ๆ ทั้งนั้น อลิษาไม่กล้าคำนวนราคาเลย ถึงบ้านจะไม่ได้ใหญ่ แต่ความแพงนั้นอลิษาไม่มีวันเอื้อมถึงแน่นอน “คือหนู ลิษา คือ..” “ไม่ต้องเกร็งนะลูก” คุณหมออิงอรเอื้อมมือมาแตะมือเย็นเฉียบของลูกสะใภ้ อลิษาสะดุ้งน้อย ๆ แต่ไม่ได้ชักมือออก “อินเขาบอกแม่หมดแล้ว” “บอก? บอกอะไรบ้างคะ” “ผมบอกพ่อกับแม่ทุกอย่าง” อินทัชเป็นคนตอบคำถามแทน ส่วนอิงอรก็ช่วยอธิบายเสริม “บอกทุกเรื่องนั่นแหละค่ะ อินทัชเขาไม่เคยโกหกพ่อกับแม่ ตอนมาบอกว่าจดทะเบียนสมรสแล้วแม่ตกใจหมดเลย แต่พออธิบายว่าจะทำอะไรแม่ก็เข้าใจ” “พ่อกับแม่ต้องขอบคุณหนูลิษาที่เสียสละอุ้มท้องทายาทให้ตระกูลเรา ที่จริงแล้วพ่อกับแม่ไม่ได้อยากอุ้มหลานขนาดนั้น แต่พออินทัชมาบอกมันก็อดตื่นเต้นและรอคอยไม่ได้” “ใช่ค่ะ พวกเราดีใจนะที่หนูลิษามาเป็นสมาชิกในครอบครัว ถึงไม่นานแต่พวกเราก็ยินดีต้อนรับ” อิงอรบีบมือลูกสะใภ้เบา ๆ “พวกเราไม่เคยมีลูกสาวก็เลยตื่นเต้นมาก พอได้เจอหนูลิษาก็รู้สึกถูกชะตาทันที ถ้าหากวันที่ต้องแยกย้ายกันมาถึง พ่อกับแม่ขอเป็นพ่อและแม่ของหนูไปตลอดได้ไหมคะ” อลิษาสัมผัสได้ถึงความจริงใจ ถึงจะรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วแต่ทั้งคู่กลับเอ็นดูเธอมากกว่าที่คิด หญิงสาววัยยี่สิบแปดปีที่ไม่ได้สัมผัสกับความอบอุ่นของพ่อแม่มานานรีบพยักหน้ารับ “ค่ะ คุณแม่ คุณพ่อ” ไม่ได้พูดคำนี้มานาน อลิษารู้สึกไม่ชินเอาซะเลย แต่เธอจะหัดเรียกบ่อย ๆ เรียกทุกวันจนกว่ามันจะกลายเป็นเรื่องปกติ อิงอรมองหน้าสวยจัดของอลิษา บุคลิกภายนอกดูเป็นผู้หญิงสวย เก่ง ปราดเปรียวและมั่นใจ แต่พอได้สัมผัสตัวตนจริง ๆ อลิษาค่อนข้างขี้อาย สุภาพ และเป็นเด็กดีคนหนึ่งเลยทีเดียว “อินพาน้องไปดูห้องสิลูก แล้วลงมาทานมื้อเย็นให้ทันนะคะ แม่จะสั่งให้ป้าจิตเตรียมมื้อพิเศษต้อนรับลูกสะใภ้ของแม่” “ครับคุณแม่” . . หมออินทัชพาภรรยาขึ้นไปที่ชั้นสองของบ้าน พ้นบันไดมาสิ่งแรกที่เห็นคือห้องนั่งเล่นสำหรับครอบครัว เป็นส่วนตัวสำหรับสมาชิกในครอบครัวจริง ๆ ในห้องมีทีวีเครื่องใหญ่ โซฟาตัวใหญ่ยาวที่สามารถใช้แทนเตียงยังได้ มุมเล่นเกมส์ มุมอ่านหนังสือ และมุมเครื่องดื่มขนมขบเคี้ยว “คุณพ่อชอบห้องนี้มากครับ” อินทัชอธิบาย “คุณพ่อชอบเล่นเกมส์ ตรงนั้นน่ะมุมประจำเลย” “เอ๊ะ? ฉันคิดว่าเกมส์นั่นเป็นของคุณซะอีก” “ไม่ใช่เลยครับ ของคุณพ่อผมเอง ผมเป็นแค่คู่หูเล่นกับท่านแต่ไม่เคยชนะซักครั้ง คุณพ่อผมเก่งเกินไป” อลิษาเซอร์ไพรส์กับครอบครัวนี้เป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกกับประวัติที่เวอร์วังของพวกเขา แล้วก็ครั้งนี้.. เธอคิดว่าครอบครัวอัจฉริยะคงใช้เวลาว่างไปกับการอ่านหนังสือ ค้นคว้าหาความรู้มาประดับสมองทุกวัน แต่เปล่าเลย.. คนเก่ง ๆ ก็มีมุมผ่อนคลายเหมือนกัน “ส่วนมุมของกินนั่นของคุณแม่ครับ ชอบกินจุกจิกแล้วก็ชอบบ่นว่าอ้วน” “แต่คุณแม่คุณไม่อ้วนเลยนะคะ หุ่นดีมาก” “เพราะคุณแม่ชอบออกกำลังกาย สมัยเรียนคุณแม่เป็นนักกีฬาว่ายน้ำประจำโรงเรียนด้วยนะครับ” อลิษาอึ้งอีกรอบ “ครอบครัวคุณทำอะไรไม่ได้บ้างคะ” “คุณคงไม่คิดว่าพวกเราทำได้ทุกอย่างใช่ไหม” อินทัชเอ่ยติดตลก เขาเดินนำอลิษาไปทางปีกขวาของบ้าน “ก็พวกคุณดูเก่งไปทุกเรื่อง เก่งจนฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแค่มดตัวเล็ก ๆ ที่สู้อะไรไม่ได้เลย” “ทำไมต้องสู้กันล่ะครับ มนุษย์เรามีความเก่งความถนัดไม่เหมือนกันอยู่แล้ว และสิ่งที่ครอบครัวผมทำไม่ได้ก็มีตั้งหลายอย่าง” “เช่นอะไรบ้างคะ” “ก็พวกงานศิลปะทุกชนิดและงานครัวทั้งหมด แค่เอาอาหารอุ่นพวกเรายังทำไม่ได้เลยครับ เคยมีครั้งหนึ่งที่คุณแม่จะอุ่นอาหารทาน แต่ครั้งนั้นคุณแม่เผาครัวไปครึ่งห้องเลยนะครับ” “ว๊าว พวกคุณช่าง...น่าทึ่ง” อลิษาพูดอะไรไม่ออก เธอทึ่งกับความสุดโต่งของครอบครัวนี้ เวลาเก่งหรือถนัดอะไรก็จะเก่งไปซะทุกอย่าง แต่พอไม่เก่งก็ไม่เก่งเลย แค่อุ่นอาหารยังทำไม่ได้ ถึงเธอจะไม่เก่งงานครัวเหมือนกันแต่อาหารง่าย ๆ อย่างพวกไข่ทอดหรืออุ่นอาหารเธอก็พอทำได้บ้าง เพราะเธออยู่คนเดียว บ่อยครั้งที่งานยุ่งจนลืมซื้อข้าวกิน ที่บ้านจะมีอาหารแห้งติดอยู่พอสมควร ถ้าหิวมาก ๆ เธอก็ต้องลงมือทำอาหารง่าย ๆ ด้วยตัวเอง “ถึงแล้วครับห้องของคุณ ลองดูว่ามีอะไรขาดเหลือไหม ผมจะได้ให้เด็ก ๆ หามาให้” อินทัชเดินนำอลิษาเข้าไปในห้องที่ติดกับห้องของตัวเอง ห้องนี้อยู่ในส่วนของหลังบ้าน ตกแต่งด้วยโทนสีขาวครีมดูสบายตา ระเบียงจากห้องนอนสามารถมองเป็นสวนหลังบ้านและวิวทะเลสาบได้เต็มที่ อลิษารู้สึกตกหลุมรักห้องนี้ มันกว้างพอ ๆ กับห้องเก่าของเธอสองห้องมารวมกัน วิวสวย และห้องน้ำกว้างขวาง เธอชอบอ่างจากุชชี่ขนาดใหญ่นั่นที่สุด “เราไม่นอนห้องเดียวกันเหรอคะ คุณสามี” อลิษาแกล้งเย้า อินทัชได้ยินแบบนั้นก็ส่ายหน้าทันที “มันคงไม่ดีถ้าพวกเรานอนห้องเดียวกัน” “ไม่ดียังไงคะ เราเป็นสามีภรรยากันแล้ว” “เป็นแค่ในนามครับ” “พูดแบบนี้ลิษาเจ็บนะคะคุณหมอ” เธอแสร้งทำสีหน้าเจ็บปวด พร้อมยกมือขึ้นกุมอกข้างซ้าย อินทัชเห็นแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้า “ห้องผมอยู่ข้าง ๆ นะครับ เมื่อไหร่ที่คุณท้องแก่เราคงต้องนอนห้องเดียวกัน คุณจะได้มีคนดูแล” “คุณหมอไม่เปลี่ยนใจเหรอคะ ถ้าเราใช้วิธีธรรมชาติอาจจะได้เจอลูก ๆ เร็วขึ้น” “ผมรอได้ครับ” อินทัชปฏิเสธอย่างหนักแน่นเหมือนเคย อลิษาได้แต่เบะปากน้อย ๆ คุณหมอจะรักษาพรหมจรรย์ไว้ตลอดชีวิตเลยหรือยังไง หรือว่าเธอสวยไม่พอ “เชิญคุณพักผ่อนตามสบาย ห้าโมงเย็นผมจะมาเรียก บ้านเราตั้งโต๊ะมื้อเย็นห้าโมงครึ่ง คุณแม่ผมไม่ทานข้าวหลังหกโมงเย็นน่ะครับ คุณสะดวกใช่ไหม” “สบายมากค่ะ” อลิษายิ้มกว้าง เธอกินข้าวไม่ตรงเวลาอยู่แล้ว กินตอนไหนก็เหมือน ๆ กัน พออินทัชก้าวออกไปห้องทั้งห้องก็เหลือเพียงอลิษา ผู้บริหารสาวเดินสำรวจห้องนอนอีกครั้ง ก่อนจะออกไปยืนที่ระเบียง รับลมเย็น ๆ จากทะเลสาบจนเส้นผมยาวสลวยปลิวไสว “คุณหมออินทัชต้องตายด้านแน่ ๆ” หญิงสาวคาดเดา เธอไม่ได้จะดูถูกสมรรถภาพของคุณหมอหรอกนะ แต่คนอะไรจะนิ่งได้ขนาดนี้ ตัวเธอที่ไม่ได้หมกมุ่นยังเผลอเคลิบเคลิ้มกับนิ้วเขาจน... อลิษาสะบัดหัวไล่ความทรงจำในวันนั้นออกไป เธอจะพยายามไม่นึกถึงมันอีก เรื่องน่าอายแบบนั้นเธอจะลืมไปให้หมด! “หรือคุณหมอจะเป็นเกย์..” ข้อนี้เป็นไปได้ที่สุด อลิษาเคยถามหมออินทัชว่าเคยชอบผู้หญิงไหม แต่เขาตอบว่าไม่ และอลิษาก็ไม่ได้ถามต่อว่าแล้วกับเพศเดียวกันคุณหมอรู้สึกยังไง มันก็มีแนวโน้วเป็นไปได้ที่คุณหมออาจจะเป็นเกย์ เขาก็เลยตายด้านกับผู้หญิงสวย ๆ แบบเธอ อลิษาไม่ได้มีความคิดด้านลบกับคู่รักชายรักชายหรือหญิงรักหญิง และบริษัทเธอเองก็ไม่ได้จำกัดเพศว่าต้องเป็นแค่ชายหญิงเท่านั้น ลูกค้าชายรักชายและหญิงรักหญิงได้คบหากันเพราะบริษัทของเธอปีละไม่ต่ำกว่าห้าคู่ ส่วนใหญ่มักจะเป็นคนดัง ผู้บริหาร หรือลูกหลานคนรวยที่มาใช้บริการอย่างลับ ๆ พวกเขาวางใจเพราะความลับจะถูกเก็บไว้มิดชิดไปตลอดชีวิต “แบบนี้คุณหมอจะคิดยังไง” หญิงสาวนึกถึงวันที่เธอใช้นิ้วของคุณหมอระบายอารมณ์วาบหวาม ถ้าคุณหมอชอบผู้หญิงอย่างมากก็แค่อับอาย แต่ถ้าไม่ใช่.. ก็แปลว่าเขาอาจจะมองเธอด้วยสายตาแบบ.. ‘นังผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรมากไหม ฉันไม่พิศวาสผู้หญิงแบบหล่อนหรอก’ อะไรประมาณนี้ นั่นเป็นเรื่องที่แย่มาก แย่ที่สุด! ถ้าย้อนเวลากลับไปได้อลิษาจะควบคุมตัวเองให้ได้ แต่เพราะมันทำอะไรไม่ได้แล้วเธอจึงต้องใส่หน้ากากหนา ๆ แล้วแกล้งลืม ๆ มันไป ทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน “อลิษา เธอต้องจำไว้ว่าถึงคุณหมอจะเป็นสามีแต่คุณหมอไม่ได้ชอบผู้หญิง ถึงคุณหมอจะหล่อน่ากินแค่ไหนก็ห้ามกินเด็ดขาด!”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม