กรี๊ดดดด เสียงกรีดร้องลั่นของเหล่าเพื่อนๆที่สนุกสนานกับท่วงทำนองเพลงที่เปิดดังก้องกังวาลให้กับพวกเราได้ออกท่วงท่ากันอย่างเต็มที่ และแน่นอนหนูก็เป็นหนึ่งในนั้น หนูไม่มีเคอร์ฟิว อยากกลับตอนไหนก็ได้ แม้ตอนนี้จะใกล้เที่ยงคืนมากแล้วก็ตาม
“ไปห้องน้ำ” หนูอัญตะโกนร้องบอกเพื่อน เมื่อเธอที่ผละออกมาแล้วถูกคว้าแขนไว้ ส้มพยักหน้ารับรู้และยอมปล่อยแขนเธอ เธอจึงต้องเดินฝ่าวงล้อมเพื่อนๆที่ยังคงวาดลวดลายมา และเสียงดังพวกนั้นก็จางลงเมื่อเธอออกมาจากห้องอาหาร
เฮ้ยยยยย หนูอัญสูดอากาศข้างนอกที่แสนจะสบายด้วยบรรยากาศสดชื่น ก็ร้านริมแม่น้ำเจ้าพระยา วิวก็สวย อากาศก็ดี แม้จะมีกลิ่นไอของน้ำบ้างแต่โดยรวมแล้วถือว่าอากาศดีมาก และไหนจะเสียงเครื่องยนตร์ของเรือบ้างบางเวลาจากที่ไกลๆ ให้ความรู้สึกถึงชีวิตติดดินจริงๆ
หนูอัญเดินออกมาจากห้องน้ำแล้ว แต่เธอไม่ได้กลับเข้าไปยังร้านโดยทันที เธอกลับเดินไปตามทางเท้าที่มีรั้วกั้นไปตามริมขอบแม่น้ำ สายลม ท้องฟ้ายามเที่ยงคืนสวยจริงๆ หนู้อัญยังเดินไปเรื่อยๆ สลับมองขึ้นสูงบ้างมองไปไกลบ้างแบบนี้ไปเรื่อยๆ เท้าก็ขยับไปเรื่อยๆตามสายตาที่มองไปไกลๆ
“ไม่!!! ไม่ ไม่ ไม่!!!!”
“นั่นแกสั่งฉันเหรอ”
หนูอัญหยุดการย่างเท้าทันที โอ้! นี่เธอเดินมาไกลขนาดนี้เลยเหรอ
“ให้โอกาสผมเถอะครับท่าน”
ฮาฮาฮา “แกไม่รู้จักฉันอย่างงั้นเหรอ” เสียงบทสนทนาที่ดังมาจากอีกด้านที่เป็นเหมือนป่า เธอมองซ้ายมองขวา แถวนี้แสงสว่างน้อยมาก และเสียงนั่นก็ดังมาอีกครั้ง
“ได้โปรดอย่าฆ่าผม ผมจะบอกว่ามันอยู่ไหน”
ฆ่า! โอ้ยยยยย!!! นี่มันเรื่องอะไรกัน...ความสงสัยและความอยากรู้อยากเห็นในตัวของมนุษย์ย่อมเกิดขึ้นเมื่อได้ยินสิ่งที่ไม่ใช่เป็นปกติ...แทนที่เธอจะวิ่งกลับไปทันที เธอกลับเดินเข้าใกล้แหล่งบทสนทนานั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นแบบที่เธอจะต้องมาเสียใจทีหลังแน่นอน
ดวงตากลมโตเบิกว้างอย่างพยายามเพ่งมอง เธอเห็นผู้ชายหลายคนพวกเขาสูงใหญ่เกินกว่าจะเป็นคนเอเชีย อ้า! เธอเห็นหนึ่งคนกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ ดวงตาเบิกโพลงใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และเมื่อพวกที่ยืนอยู่ขยับหลีก...
อ๊ะ! อัญมณีแทบจะยกมือปิดปากตัวเองแทบไม่ทัน เมื่อมีร่างชายหนึ่งคนนอนคว่ำดวงตาเบิกโพลง ที่หน้าผากมีรูที่มีเลือดออกมา โอ้วววว! เขาตายแล้ว
เธอตัวสั่นเทา นี่เธอ!มารู้เห็นอะไรเข้าแล้ว ‘ฆาตกรรม’ มันคือการฆาตกรรม ตายแล้ว!!! หนูอัญก่นร้องอยู่ในใจ เธอต้องไปแล้ว รองเท้าส้นสูงเธอต้องถอดมันออกก่อน ใช่ๆ สติๆ หนูอัญพยายามมีสติในสภาวะคับขัน เพราะหลังจากนี้เธอจะใส่เกียร์หมาวิ่งป่าราบเลยคอยดู
วู้ววววววว ฟิ้ววววววว จู่ๆสายลมก็พัดมาจากทางด้านหลังของเธอ
ควับ! จู่ๆคนที่เธอเห็นแต่แผ่นหลัง ก็หันกลับมา รองเท้าคู่สวยอยู่ในมือเรียบร้อย ดวงตากลมโตเผลอไผลไปสบตากับดวงตาสีเทาอ่อน !!!!!
“มีคนอยู่ตรงนั้น!” เสียงต่ำแต่แฝงไปด้วยอำนาจ หนูอัญไม่รีรอเธอหันหลังกลับ มือมัวแต่ยึดจับรองเท้าจนทำให้ผ้าคลุมไหล่ล่วงหล่นเผยไหล่เปลือย อย่างไม่ตั้งใจ หนูอัญไม่ลืมว่าตรงนี้แสงน้อย แม้จะสบตากับฆาตกรแต่เขาก็เห็นหน้าเธอไม่ชัดแน่ๆ เธอมั่นใจและอีกอย่างเธออยู่ในมุมอับ
“บ้าจริง!” เมื่อผ้าคลุมไหล่เกี่ยวพันกับต้นไม้ เธอจึงจำต้องทิ้งมันและวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ดีนะที่เธอมักจะเป็นนักกรีฑาให้กับสีที่ตนประจำอยู่ยามที่โรงเรียนมีกีฬาสี ความรวดเร็วไม่ต้องพูดถึงชั่วพริบตาเธอก็ทิ้งห่างจากสถานที่เกิดเหตุไปอย่างรวดเร็ว
“นี่ครับนาย” เจ้าของดวงตาสีเทารับผ้าคลุมไหล่สีทองอ่อนมาถือไว้ ถ้าลมไม่พัดมามีหรือเขาจะรู้ว่ามีคนแอบสุ่มดูอยู่ กลิ่นน้ำหอมที่ลอยมาตามลมทำให้เขารู้ตัวเป็นกลิ่นเดียวกับผ้าคลุมไหล่ผืนนี้
“เอาตัวมันไป และกำจัดศพซะ ฉันจะไปรอฟังข่าวที่รถ หวังว่าพวกที่ตามไปจะจับพยานได้นะ”
“ครับนาย” เหล่าลูกน้องที่เหลือขานรับคำสั่ง
เฮ่อ เฮ่อ เฮ่อ หนูอัญไม่เสียเวลาหันไปมองคนข้างหลังเลย เธอรู้ว่าตามมาแน่ เสียงอึกทึกเริ่มดังขึ้น แสงสว่างมีมากขึ้น คนก็มากขึ้น ไม่รีรอไ่ม่มีเวลาลังเล ฝูงชนคือแหล่งกบดานในฉับพลัน เพราะมันเป็นทางเลือกเดียวของเธอในตอนนี้ สมองที่ตื่นตระหนกประมวลผลออกมาในทันที
ชาวต่างชาติสองคนที่วิ่งตามมา เห็นหลังไวๆของเธอเข้าไปในฝูงชนที่ยังออกท่วงท่าวาดลวดลายไปตามจังหวะท่วงทำนองเพลงกันอย่างมันส์ กว่าพวกเขาจะแทรกตัวเข้าไปได้ เหยื่อสาวก็หายไปจากสายตาเสียแล้ว
“เห็นมั้ย” หนึ่งในสองหันไปถามเพื่อน ซึ่งส่ายหน้าไปมาเช่นกัน ทั้งสองเดินสอดส่ายตาหาต่ออีกหน่อย เมื่อมั่นใจแล้วว่าเธอคนนั้นไม่ได้อยู่บริเวณนั้น จึงเดินไปหายังร้านอื่นๆ
พรึ่บ! อัญมณีผลักไหล่ผู้ชายคนหนึ่งออกจากการเกาะกุมที่บดบังเธอให้พ้นจากสายตาคนที่พยายามมองหา เฮ้ยยย เธอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเห็นหลังสองคนนั้นไกลออกไปจนลับสายตา
“ลุง ลุง” หนูอัญเอ่ยเรียกคนขับรถที่เอนหลังพิงหลับอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ รถที่จอดอยู่
“คุณหนู กลับกันเหรอยังครับ”
“กลับค่ะ กลับเดี๋ยวนี้เลย” หนูอัญเปิดประตูด้วยตัวเองและก้าวขึ้นรถไปอย่างรวดเร็ว
ตึก ตัก ตึก ตัก หัวใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นจังหวะ เธอรู้แต่ว่ามันแรงมากจนแทบจะทะลุอกมาได้ทุกเมื่อ หนูอัญโน้มตัวลงต่ำจนแทบจะนอนราบไปบนเบาะหลัง สำหรับคนขับรถคงคิดได้ว่าเธอคงเหนื่อยจากการไปวาดลวดลายเต้นรำกับเพื่อนๆมาเท่านั้น
เมื่อกี้ถ้าเธอไม่บอกกำแพงมีชีวิตไปว่า แฟนเก่าตามราวี มีเหรอว่าเขาจะยอมให้เธอเอาตัวมาบดบังขวางกั้นสายตาพวกฆาตกรที่ตามมาเก็บงาน...
เมื่อรถเข้าสู่ถนนหลัก เธอค่อยๆขยับตัวขึ้นมานั่ง สายตามองทอดออกไปนอกหน้าต่าง เธอหาได้ชมวิวหลังเที่ยงคืนไม่และเธอก็หาได้มองหาคนพวกนั้นไม่ เธอก็แค่อยากมองให้ชัดๆว่า เธอยังมีชีวิตอยู่และยังเป็นอิสระ ภาพตรงหน้าคือของจริง
“ลืมๆๆๆๆๆ....” จู่ๆ เธอก็ตะโกนออกมาเสียงคับก้องในรถ เมื่อจู่ๆ กระจกก็สะท้อนดวงตาสองคู่ คู่หนึ่งของคนที่เหลือแต่ร่าง อีกคู่หนึ่งของอสูรในร่างคน หน้าเธอเปลี่ยนไปทันทีเหมือนคนกำลังใกล้ตาย “เอ่อ! ไม่มีไรค่ะ” เมื่อนึกได้ว่าไม่ได้อยู่ตามลำพัง
เธอออกมาโดยที่ไม่ได้บอกเพื่อน แต่ก็ช่างเถอะ! พวกเธอก็ไม่ได้ถือสาหาความอะไรกับเรื่องแค่นี้ พรืดดดดด ลมเย็นในรถทำให้หนูอัญยกมือกอดตัวเองทันที เธอทิ้งผ้าคลุมไหล่ไว้ ของแบบนั้นคงไม่ทำให้เขาตามหาเธอเจอหรอกนะ แม้มันจะเป็นของแบรด์เนมแต่ก็มีขายทั่วไป ไม่ใช่ลายเฉพาะอะไรนักหนา กลิ่นน้ำหอมก็ด้วยแม้จะของแพงแต่ก็มีขายทั่วไปเหมือนกัน เขาหาเธอไม่เจอจากหลักฐานแค่นั้นหรอกน่า หนูอัญคิดเข้าข้างตัวเองอย่างมีหลักการความเป็นไปได้ เพราะเธอจะหายเข้ากลีบเมฆไปได้แน่นอนจากเขาคนนั้น อีกไม่นานเขาจะลืม เพราะเธอก็แค่เด็กสาววัยสิบเก้าเท่านั้น ความกล้าหาญที่จะไปแจ้งความเธอไม่มีเลยแม้แต่สักเปอร์เซ็นต์เดียว ‘อย่าตามมาหลอกมาหลอนหนูเลยนะคะ หนูก็แค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ทำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวหนูทำบุญตักบาตรไปให้แล้วกันนะคะ ไหนๆก็ตายไปแล้ว ส่วนคนที่รอดอยู่ก็โตแล้วหาวิธีเอาตัวรอดด้วยตัวเองแล้วกัน' สิ่งที่เธอคิดอยู่ในใจ
นัยน์ตาเหยี่ยวสีเข้มขึ้นตามอารมณ์ เมื่อลูกน้องสองคนกลับมาพร้อมกับความล้มเหลว
“ออกรถ” ไม่มีคำพูดต่อว่าต่อขาน แต่ลูกน้องสองคนก็ไม่กล้าสบตา ได้แต่ยืนก้มหน้าเหงื่อตกอย่างหวาดกลัว โดนด่า โดนถีบสักทีสองทียังดีกว่า เจ้านายเงียบแบบนี้ ปืนที่มีที่เก็บเสียงยังอยู่ในมือเจ้านาย และผ้าคลุมไหล่นั้นด้วย