ตอนที่ 7
หากแต่ ว่า หล่อนคงไม่ต้องการที่จะพักอยู่บนตึก
“ขอเป็นที่นี่ดีกว่าค่ะ สิหร่าสะดวกกว่า”
หากเขาตามใจเมื่อหล่อนตอบพร้อมกับพยักหน้า
“อือมส์งั้นให้ถือว่าที่นี่ก็เป็นบ้านของคุณด้วยเหมือนกันนะสิหร่า” เมื่อเอ่ยแล้ว วาทิตก็เปลี่ยนท่าขยับกาย หลังจากที่ก่อนหน้านั้น ได้สั่งให้คนของเขา รีบไปปัดกวาดเช็ดถูห้อง เพื่อต้อนรับรำสิหร่า แขกสาวที่จะมาพักอยู่ด้วย
ใช้เวลาได้ไม่นานก็เสร็จสรรพ และหล่อนก็รีบไปรับตัวลูกสาวจูงมือมานอนด้วยกัน ในห้องนี้ เพราะจะได้ใกล้ชิดกับลูกรัก มากกว่าเดิม ครั้นเด็กหญิงเอ่ยขึ้น
“ทำไมล่ะคะคุณแม่ขาคุณแม่ถึงไม่กลับมาอยู่กับหนูที่บ้านนี้ ล่ะคะ”
หากแต่รำสิหร่าฟังแล้วก็ตอบคำถามของลูกสาวได้ยากยิ่งนักไม่อยากตอบจึงเบนเบี่ยงความคิดไปเรื่องอื่นแทน ด้วยการหอมแก้มลูกรักสองฟอดจนชื่นใจ
หล่อนพยายามคิดและเอ่ยตอบด้วยเหตุผล หวังจะให้ลูกสาวเข้าใจความจำเป็นของแม่ที่ห่างไกลลูก
“ลูกอุ้มจ้ะฟังแม่สิ ไม่ว่าแม่จะเป็นอย่างไรก็ตามแต่ นะลูก แต่ว่า แม่อยากให้ลูกอุ้มรู้เอาไว้ว่าทุกครั้งในยามไหนก็ตามแม่สิหร่าคนนี้ก็รักลูกเสมอจ้ะ”
ในคำที่มารดาเอ่ยเรื่องนี้ ก็ทำให้เด็กหญิงนั้นเริ่มไพล่ไปนึกถึงคุณพ่อ
“เอ้อ แต่ว่า คุณพ่อนั้นไม่รักอุ้มเลย และอุ้มก็อยากจะให้อาทิต นั้น เป็นพ่อของหนู ยังจะดีกว่าซะอีก”
หากทำให้รำสิหร่าต้องตกใจอย่างมากกับคำพูดนั้นที่แสนบริสุทธิ์ของลูกสาว จนต้องปรามดุ
“ไม่เอาน่า อย่าพูดอย่างนี้สิจ้ะลูกยังไงเขาเป็นพ่อของหนูและหนูก็ต้องเคารพคุณพ่อด้วยนี่เชื่อแม่นะลูก” ซึ่งทำให้เด็กหญิงยินยอมพยักหน้า แล้วหล่อนเอ่ยต่อ เพราะสมควรที่จะหลับพักผ่อนได้แล้ว
“เอาล่ะ เรารีบนอนกันเถอะจ้ะ ลูกจ๋า นี่ ดึกแล้วนะ” ครั้นในเวลาต่อมานั้น ร่างของสองแม่ลูกนั้นได้ล้มตัวลงทอดยาวไปบนที่นอนพร้อมกันและรำสิหร่านั้นใช้มือกอดลูกสาวสุดที่รักในอ้อมอกไว้ทั้งคืนด้วยความรัก เพราะนี่คือเวลาที่เธอจะได้อยู่เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ลูกสาวคนเดียวได้มากที่สุด นอกจากนั้นไม่มีแล้ว เพราะต้องกลับไปทำงาน
**********************************
อีกครั้งที่บ้านหลังนี้ เมื่อคิ้วนางเป็นสมาชิกของบ้านหลังนี้อีกคนได้รับการยินยอมจากพี่สะใภ้ซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน หลังจากอิ่มกับอาหารเย็นแล้ว พลพยุห์ กับภรรยาก็ช่วยกันปรึกษาที่จะหางานให้น้องสาวทำตามที่คิ้วนางร้องขอตั้งแต่สัญญาว่าจะขึ้นมาที่กรุงเทพ
และพอดีกับบุษราภรณ์นั้นให้คำตอบ เธอโทร.ไปหาเพื่อนสนิท ที่มีญาติเป็นครูในละแวกนี้ ก็ได้คำตอบเป็นที่น่าพอใจ เพราะกำลังเปิดรับสมัคร เพราะขาดครูประจำชั้นอนุบาล
“ข่าวดีอย่างนี้ พี่ว่าพรุ่งนี้นางเข้าไปสมัครเลยนะ มีตำแหน่งว่าง” ฝ่ายคิ้วนางที่รับฟังก็แสนจะตื่นเต้น และไม่นึกไม่ฝัน เพราะอยากทำงานให้เร็วมากที่สุด เธอจึงกล่าวขอบคุณกับพี่สะใภ้
“ขอบคุณมากๆเลยนะคะพี่บุ้ง ที่แนะนำนาง”
จากนั้นรีบกลับไปเข้านอนแต่หัวค่ำเพื่อจะได้ลุกตื่นไปสมัครงานในตอนเช้า ประมาณเจ็ดโมงสิบห้านาที หล่อนเตรียมเอกสาร และพอจะรับรู้เส้นทางกับแผนที่เส้นทางที่จะไปโรงเรียนเอกชนแห่งนั้นได้ใช้บริการของวินมอไซค์ปากซอยที่พี่สะใภ้บอก ครั้นเมื่อไปถึงโรงเรียนแห่งนั้นก็แจ้งความจำนงและเมื่อกรอกเอกสารลงไป
ครั้นเมื่อฝ่ายเจ้าหน้าที่ของทางโรงเรียน ฝ่ายบริหารรับเรื่องแล้ว พร้อมด้วยพิจารณาจากเอกสาร ที่หล่อนนำมาด้วย คือ วุฒิบัตรใบปริญญาตัวจริงพร้อมกับสำเนาบอกว่า ใช้เวลาสัมภาษณ์ครึ่งชั่วโมง ผู้บริหารหนุ่มใหญ่เงยหน้าขึ้นจากแว่นตาหนาเตอะที่สวม
“พร้อมที่จะเข้ามาทำงานเมื่อไหร่ล่ะหนู”
นั่นคือเสียงจากสวรรค์เมื่อผู้บริหารที่สัมภาษณ์หล่อนท่านเอ่ยเลยทำให้ และคิ้วนางนั้นออกอาการตกใจอยู่บ้างที่รวดเร็วนักแต่ก็ดีถึงกับแอบอมยิ้ม และปรับสีหน้าใหม่ ไม่ให้ตื่นเต้นเกินไป
“เอ้อ พรุ่งนี้ค่ะ หนูอยากจะทำงานเลยค่ะ”
อีกฝ่ายยิ้ม
“เหรอตกลงงั้นพรุ่งนี้หนูเตรียมพร้อมมาทำงานได้เลย” และจากนั้นคิ้วนางก็ยกมือไหว้ลาท่านผอออของโรงเรียนที่ท่านเมตตารับเธอเข้ามาเป็นครูสอนนักเรียนชั้นอนุบาลแทนคนเก่าที่ย้ายกลับภูมิลำเนาอย่างกะทันหันเป็นการใหญ่ และเธอตั้งใจว่า จะกลับไปบ้านเพื่อบอกข่าวดีให้กับทุกคนได้รับทราบ และร่วมแสดงความยินดีด้วย
“เอ้อ ที่โรงเรียนเขารับนางแล้วค่ะ และนางก็ได้เริ่มต้นทำงานเป็นครู ในวันพรุ่งนี้”
และก็ทำให้พลพยุห์ทั้งตื่นเต้นและดีใจด้วยกับน้องสาว พร้อมกับภรรยาของเขา ที่ได้ช่วยเหลือให้น้องสาวได้งานทำเร็วกว่าที่คิด โดยไม่ต้องดิ้นรนเดินไปสมัครหางานที่ไหน
หลังจากสอนได้แล้วหนึ่งสัปดาห์คิ้วนางต้องใช้เวลาอย่างมากในการปรับตัวเข้ากับลูกศิษย์ตัวน้อยๆ ที่ทั้งซนและดื้อรั้น แต่ก็มั่นใจว่ารับปัญหาได้ไหว อีกอย่างเธอรักและชอบที่จะคลุกคลีอยู่กับเด็ก คิ้วนางขลุกอยู่ในห้องเพื่อจัดเตรียมแผนการสอนในวันพรุ่งนี้พร้อมกับลุกขึ้นปัดกวาดเช็ดถูจัดห้องหับให้สะอาดน่าอยู่กว่าเดิม
กว่าที่คิ้วนาง สาวสวยจะได้พบเจอหน้าพี่ชาย ก็ช่วงเวลาสามทุ่มครึ่งที่เขาเพิ่งกลับมา ท่าทางเขาเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เพราะการทำโอทีบังคับของบริษัท และพลพยุห์นั้น เขาได้ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง ในตำแหน่งของเขา เป็นถึงผู้จัดการฝ่ายผลิต ดังนั้นจึงต้องเอาใจใส่ และทำงานให้หนักกว่าลูกน้องอย่างคร่ำเคร่ง รับผิดชอบต่อการงานอย่างมากมายซึ่งสมกับที่เจ้านายได้ให้ความไว้วางใจแก่เขา
และกว่าจะเลิกงานบางครั้งก็ปาเข้าไปสองทุ่มครึ่งถึงสามทุ่ม ถึงได้กลับมาเห็นหน้าของภรรยาและนั่งกินข้าวด้วยกัน
“กลับมาแล้วหรือคะคุณ”
เธอเอ่ยถามเสียงอ่อนหวาน ส่งผลให้ใบหน้าคร้ามคมนั้นเงยจ้องยิ้มละไมตอบให้แก่ผู้เป็นภรรยาถึงแม้จะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าสักเท่าใดแต่เมื่อเขาได้เห็นรอยยิ้มจากดวงตาฉ่ำหวานของภรรยานั้น ทำให้เขาหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งไปเลย
“จ้ะบุ้งวันนี้ผมค่อนข้างเหนื่อยเพราะมียอดออเดอร์ที่สั่งซื้อสินค้าจากลูกค้ามันมีมากกว่าปกติทุกวันจึงต้องเร่งเครื่องผลิต และสิ้นปีนี้คิดว่ายอดสั่งซื้อคงทะลุเป้า”
เขาอธิบายให้ภรรยาเข้าใจ