ในที่สุดก็ถึงวันที่เมิ่งลี่เฟยเป็นอิสระ นางกลับไปที่เรือนของตนที่จวนอ๋องได้จัดเอาไว้ให้ เมื่อไปถึงหน้าเรือนหลังหนึ่งเมิ่งลี่เฟยถึงกับกำหมัดแน่น
เสี่ยวเหลียนเองก็ตกใจมาก นางยังคงมีไข้เล็กน้อยทว่ากลับข่มอาการเจ็บป่วยเพื่อมารับใช้คุณหนู
"คุณหนูเรือนเล็กกว่าเรือนบ่าวยิ่งนัก ไม่นับว่าหยามเกียรติกันหรือ บ่าวเคยไปยังเรือนของพระชายารอง ใหญ่โตราวตำหนักในวังหลวง แล้วท่านเป็นถึงพระชายาที่ฝ่าบาทพระราชทาน เหตุใดท่านอ๋องจึงให้คุณหนูอยู่ในเรือนเล็กเช่นนี้กัน"
เสี่ยวเหลียนหันไปมองบ่าวผู้นำทางตาเขม็ง
"หรือว่าเจ้าพามาผิดที่ใช่หรือไม่"
บ่าวรีบส่ายหน้ายืนยันแน่ชัด
"ไม่ผิด ท่านอ๋องสั่งให้จัดเตรียมเรือนนี้ให้พระชายา ข้าหมดธุระแล้วข้าไปก่อนนะ"
บ่าวผู้นั้นไม่แม้แต่จะทำความเคารพเมิ่งลี่เฟย นางหันหลังแล้วก้าวกลับไปทันที
"คุณหนูเราจะทำเช่นไรดีเจ้าคะ เรือนเล็กเพียงนี้คุณหนูของบ่าวจะอยู่ได้หรือ ท่านอ๋องพระทัยดำกว่าที่คิดผิดกับใบหน้างดงามเสียจริง ๆ"
เมิ่งลี่เฟยไม่เอ่ยคำ นางเดินประคองเสี่ยวเหลียนที่ยังเดินไม่สะดวกเข้าไปด้านใน ข้าวของเครื่องใช้ช่างเรียบง่าย ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกฐานะของพระชายาอันสูงส่งเลยแม้แต่น้อย
ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจพลันบังเกิด หญิงสาวกัดฟันข่มโทสะ
ท่านอ๋องหยามเกียรตินางเช่นนี้ยังเป็นคนอยู่หรือไม่
ตอนอยู่ที่จวนเสนาบดี ถึงจะรบราฆ่าฟันกับฮูหยินใหญ่มามาก แต่เรื่องเงินทองของใช้นางไม่เคยขาดมือ เพราะอย่างไรก็คือคุณหนูใหญ่แห่งจวนเสนาบดีที่ผู้ใดก็หวาดกลัว
เมิ่งลี่เฟยรู้สึกว่านางถูกหยามเกียรติที่สุดในชีวิตก็ครานี้
เมิ่งลี่เฟยพาเสี่ยวเหลียนไปนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นเก้าอี้เล็กเพียงตัวเดียวในเรือนแห่งนี้ สภาพนี้ย่ำแย่กว่าโรงเตี๊ยมราคาถูกเสียอีก บ่าวไพร่ที่มารับใช้ก็ไม่มีสักคน
เมิ่งลี่เฟยทำท่าจะออกไปด้านนอก เสี่ยวเหลียนคิดเดินตาม
"เจ้านั่งอยู่ตรงนั้นไม่ต้องขยับข้าขอดูอะไรสักหน่อย"
เสี่ยวเหลียนจึงนั่งตัวตรง ไม่ขยับตามคำสั่ง เมิ่งลี่เฟย ออกมาด้านนอก เดินดูรอบเรือนจนทั่ว เรือนหลังนี้ไม่มีกระทั่งห้องข้างให้บ่าวรอปรนนิบัติ
สายตาจับจ้องไปยังพื้นที่ว่างเปล่า พื้นที่รอบเรือนมีมาก มิได้ปลูกดอกไม้หรือตัดสวนงดงาม คงเป็นเรือนร้างที่ปล่อยมานานหญ้าจึงขึ้นรกเพียงนี่
สถานะพระชายากับเรือนร้างเช่นนั้นหรือ นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าเต๋ออ๋องจะร้ายกาจเพียงนี้
ย้อนคิดไปถึงวันแต่งงาน คราแรกนางตื่นเต้นที่เห็นเขางดงามเพียงนั้น จิตใจคงจะไม่เลว ทว่าในยามกราบไหว้ฟ้าดิน เขากลับกระซิบเสียงเบา
'ข้าไม่มีวันร่วมเตียงกับเจ้าเด็ดขาด อย่าคิดว่าเล่ห์กลบิดาของเจ้า จะสามารถดึงข้าเป็นพวกได้ ต่ำช้ายิ่งนัก'
น้ำเสียงดูแคลน ใบหน้าชิงชังไม่เผยรอยยิ้มในวันแต่งเลยแม้แต่น้อย เท่านี้เมิ่งลี่เฟยก็รู้แล้วว่าเขาคิดเช่นไร
นางรู้พิธีการดี หากหลังคืนเข้าหอไม่มีผ้าเปื้อนเลือดบริสุทธิ์ของนางส่งเข้าวังหลวง เรื่องราวย่อมบานปลาย คนที่จะรับผลกรรมก็คือนาง ไทเฮาหาทางเล่นงานสกุลเมิ่งมานานย่อมเข้าข้างบุตรชายหาว่านางบกพร่อง
เมิ่งลี่เฟยแค่อยากให้เรื่องจบ ๆ จึงแอบลอบให้เสี่ยวเหลียนวางยาเขา ไม่คิดว่าคนผู้นั้นจะโกรธเพียงนี้
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแค้น เขามีความรู้สึกเกลียดเป็นคนเดียวหรืออย่างไร นางเองก็ชิงชังเขายิ่งนัก
เมิ่งลี่เฟยเดินดูรอบเรือนเล็กจนทั่วแล้ว ยังไม่ได้ยินเสียงคนเลยแม้แต่น้อย แสดงว่าที่นี่ห่างไกลจากเรือนอื่นมากนัก
เอาเถิดอย่างน้อยก็ยังสงบสุข ทว่านางไม่ยอมให้ผู้ใดหยามเกียรติเป็นแน่
เมิ่งลี่เฟยตะโกนขึ้นมาคำหนึ่ง
"เสี่ยวเหลียนเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ เดี๋ยวข้ากลับมา ข้าจะไปพบท่านอ๋อง"
กล่าวจบเสี่ยวเหลียนก็ไม่ได้ยินเสียงคนด้านนอกอีก เดิมทีนางคิดขยับตามคุณหนูด้วยความเป็นห่วง แต่ตนเองยังจับไข้อยู่
คุณหนูย่อมมีวิธี หากตามไปคงเป็นตัวถ่วง จึงได้ฟุบใบหน้าลงบนโต๊ะกลม รอคอยด้วยความอดทน
เมิ่งลี่เฟยสอบถามบ่าวระหว่างทางจนรู้ว่าท่านอ๋องอยู่ที่เรือนหนังสือ นางจึงให้คนนำทางไป
คนในจวนนี้ท่าทางแม้จะคล้ายอ่อนน้อมกับนางทว่าใจของพวกเขานั้นมิได้มองว่านางเป็นพระชายาของท่านอ๋องแม้แต่น้อย
กระทั่งมาถึงเรือนหนังสือ เมิ่งลี่เฟยหยุดอยู่ด้านหน้าประตู ขอพบเต๋อลู่หาน องครักษ์รีบเข้าไปรายงาน เต๋อลู่หานกำลังช่วยฝ่าบาทสะสางฎีกาเอ่ยรับเสียงเบา ทว่ากลับคล้ายไม่สนใจ
"บอกให้นางรอ หากนางรอไม่ได้ก็ให้กลับไปเสีย"
องครักษ์กลับไปแจ้งเมิ่งลี่เฟยตามคำของท่านอ๋องไม่ตกหล่นแม้แต่ประโยคเดียว
เมิ่งลี่เฟยจึงยืนกอดอกพิงเสาต้นหนึ่งเพื่อรอเขา ทว่าคำว่าสักครู่ของเต๋อลู่หานนั้นไม่จริงเลยแม้แต่น้อย ผ่านมาราวหนึ่งชั่วยามแล้ว เมิ่งลี่เฟยยังได้แต่ยืนขาแข็งที่หน้าเรือน
"ได้เวลากินข้าวเที่ยงแล้วมิใช่หรือ ทำไมท่านอ๋องยังไม่ยอมขยับอีก"
บ่าวผู้รอรับใช้อยู่หน้าเรือนจึงเอ่ยขึ้น
"ปกติท่านอ๋องมักไม่ค่อยเสวยในยามทำงานพ่ะย่ะค่ะ แต่หากเรียกหาบ่าวก็ได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว"
"เช่นนั้นหรือ เสียของแย่ เช่นนั้นพวกเจ้าไปยกอาหารของท่านอ๋องมาที่นี่ ข้าจะจัดการเองหากท่านอ๋องไม่กินก็ข้าจะกินเอง"
เมิ่งลี่เฟยรู้สึกหิวข้าวจึงสั่งให้คนไปยกอาหารมาที่นี่ บ่าวผู้นั้นทำตาปริบ ๆ มองนางยังไม่ขยับ เมิ่งลี่เฟยเชิดหน้าเล็กน้อย ใช้สายตาข่มเหงท่วงท่าสูงส่งกดข่มผู้คน
"ยังมองสิ่งใดอีก คำสั่งพระชายาเจ้ากล้าไม่ทำตามหรือ"
บ่าวผู้นั้นอึกอักเล็กน้อย ทว่าท่าทางของพระชายานั้นมิใช่จะดูแคลนได้ เขาจึงได้แต่ก้มหน้ารับคำทันใด
"อ้อ เจ้าอย่าลืมนำอาหารไปที่เรือนของข้าบอกบ่าวของข้าว่าไม่ต้องรอให้กินข้าวกินยาตรงเวลา ข้าเสร็จธุระกับท่านอ๋องแล้วจะกลับไป"
บ่าวผู้นั้นยังลังเล ไม่แน่ใจว่าตนเองทำถูกหรือไม่ที่เชื่อฟังพระชายา กระทั่งเมิ่งลี่เฟยเอ่ยว่า
"ถ้ายังไม่ไป ข้าจะใช้ฐานะพระชายาของข้าไล่เจ้าออกจากจวนเสีย ชื่อเสียงของข้าเจ้าคงเคยได้ยินมาบ้างแล้วกระมัง"
แน่นอนว่าบ่าวย่อมเคยได้ยิน เขาจึงตัวสั่นเล็กน้อยแม้จะต้องขัดแย้งกับพระชายารองแต่เขาก็กลัวชื่อเสียงนี้อยู่มาก จึงรับคำแล้วเร่งไปทันใด
นี่นับเป็นครั้งแรกที่เมิ่งลี่เฟยคิดว่าชื่อเสียงของนางก็สร้างประโยชน์ได้เช่นกัน
สุดท้ายแล้วเมิ่งลี่เฟยก็ให้คนจัดสำรับอยู่ที่หน้าประตูเรือน นางสั่งให้บ่าวยกโต๊ะเก้าอี้มานั่งรอ
หากท่านอ๋องอนุญาตเมื่อใดนางก็พร้อมจะเข้าไปเมื่อนั้น
เดิมทีเต๋อลู่หานมักจะไม่ค่อยกินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันในยามที่เขาทำงาน เขาเป็นคนเคร่งเครียดกระทั่งพระชายารองยังไม่ยอมให้พบในระหว่างที่เขาช่วยฝ่าบาทตรวจฎีกา
ทว่าจู่ ๆ ท้องของเขาเกิดร้องขึ้นมา องครักษ์หลวงนามเยี่ยหัวที่คอยช่วยเขาอยู่ข้าง ๆ ยังมองด้วยความสงสัย
"ท่านอ๋องจะกินอะไรสักหน่อยหรือไม่"
เยี่ยหัวเองเป็นเพื่อนเรียนกับเขาตั้งแต่เด็กนับเป็นสหายที่สนิท ในยามอยู่ด้วยกันสองคนจึงมักใช้คำพูดที่ไร้ยศฐาใดๆ
"แปลกยิ่งนัก เหตุใดข้าได้กลิ่นอาหาร"
เยี่ยหัวสูดกลิ่นอาหารเข้าไปเต็มปอด ใบหน้าหล่อเหลาประดับด้วยรอยยิ้ม
"ข้าด้วยเช่นกัน ประหลาดนักหรือว่าเราสองคนจะรู้สึกหิวจริง ๆ แล้ว"
เพราะมัวแต่สนใจงานบัดนี้เรื่องที่พระชายามาขอพบจึงทำให้เต๋อลู่หานลืมไปเสียแล้ว เต๋อลู่หานจึงตะโกนสั่งคนให้นำอาหารเข้ามา
ทว่าบ่าวผู้หนึ่งกลับวิ่งเข้ามารายงาน
"ทูลท่านอ๋อง อาหารบัดนี้พร้อมอยู่ด้านนอกแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
เต๋อลู่หานขมวดคิ้ว
"นำเข้ามาด้านใน เปิ่นหวางไม่ได้สั่งว่าจะกินข้าวข้างนอกเสียหน่อย"
บ่าวผู้นั้นกลับตอบอึกอัก
"คือ พระชายาอยู่ด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ"
เต๋อลู่หานยิ่งรู้สึกงง เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับพระชายา เขาลุกขึ้นทันใดเมื่อออกไปหน้าเรือนหนังสือพบว่าสตรีนางหนึ่งกำลังนั่งดื่มกินอาหารอย่างมีความสุข
เต๋อลู่หานก้าวขาเร็ว เดินไปหยุดตรงหน้าของเมิ่งลี่เฟย เขาถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเห็นว่าบัดนี้นางให้คนนำโต๊ะมาวางขวางทางเดินเรือนและยังมีหน้ากินข้าวอย่างสบายใจอยู่ที่นี่อีก
เมิ่งลี่เฟยลุกขึ้นทันใด "ท่านอ๋องท่านมาแล้ว"
เมิ่งลี่เฟยยอบกายให้เขาพร้อมกับพยายามฝืนใจฉีกยิ้มให้คนหน้าตูมผู้นี้อย่างสุดกำลัง
"ท่านอ๋องจะเสวยหรือไม่เพคะ"
แน่นอนว่าเต๋อลู่หานย่อมไม่อยากร่วมโต๊ะกับนาง
"พระชายากำลังทำสิ่งใดกันแน่"
เมิ่งลี่เฟยมองที่อาหารพวกนั้น นางเป็นคนกินน้อยกินไม่กี่คำก็ท้องเต็มแล้วบัดนี้จึงยังเหลืออาหารอยู่ที่โต๊ะมากนัก
"ทานอาหารเที่ยงเพคะ ไม่เห็นหรือ"
"โต๊ะพวกนี้"
"หม่อมฉันสั่งให้คนยกมา หรือว่าที่นี่จะมีกฎห้ามยกโต๊ะเก้าอี้มาหน้าเรือนหนังสือเพคะ"
แน่นอนว่าไม่มีกฎนี้ด้วยที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้ใดทำเรื่องนี้มาก่อน เต๋อลู่หานจึงพูดไม่ออก
ในขณะที่เยี่ยหัวมองพระชายาที่เขาเองก็เพิ่งเห็นหน้าเป็นครั้งแรกด้วยสายตาตื่นตะลึง
สตรีนางนี้งามล้ำยิ่งนัก ท่าทางยโสนี่ช่างน่าสนใจดีแท้
"ว่าแต่ท่านอ๋องจะเสวยหรือไม่เพคะ"
เต๋อลู่หานสะบัดหน้าหนีพลางเอ่ยเสียงดัง
"พวกเจ้าเอาอาหารนี่ไปเททิ้งให้หมด ช่างน่ารังเกียจสิ้นดี"
คำพูดของเขาทำให้เมิ่งลี่เฟยรู้สึกสะอึกเล็กน้อย แต่ก็ช่างเถิดนางเองก็รังเกียจเขาไม่ต่างกัน คนสองคนไม่ชอบกันเพียงนี้จะร่วมโต๊ะกันได้อย่างไร อาหารพวกนี้จะเททิ้งก็ช่าง อย่างไรนางก็อิ่มแล้ว
กล่าวจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อคิดเดินจากไป ความรู้สึกอยากอาหารหายไปจนหมดสิ้น ทว่าเมิ่งลี่เฟยกลับหาญกล้าจับชายเสื้อของเขาแล้วเอ่ยว่า
"ท่านอ๋องข้ามีเรื่องถาม เรือนของข้ารวมทั้งที่ดินรอบเรือนท่านยกให้ข้าแล้วใช่หรือไม่"
เต๋อลู่หานหยุดเท้าที่ก้าวเดิน เดิมทีคิดว่าเมิ่งลี่เฟยจะไม่พอใจที่เขาให้นางไปอยู่ที่นั่นจึงคิดมาหาเรื่อง แต่นางกลับมีท่าทางสงบผิดปกติวิสัย
ความจริงเรือนในจวนนี้มีมาก แต่เรือนที่ว่างล้วนเป็นพระชายารองที่ใช้ประโยชน์ไม่มากก็น้อยเขาจึงไม่อาจขอเรือนคืนกับเฉียนมี่เพราะกลัวนางเสียใจ
อีกประการหนึ่งคือเต๋อลู่หานต้องการสั่งสอนเมิ่งลี่เฟยให้เจียมตัว อย่าคิดว่าถูกคนสกุลเมิ่งส่งเข้ามาเป็นพระชายาแล้วจะสามารถควบคุมเขาได้
คนมักใหญ่ใฝ่สูงเช่นนั้นต้องกำราบเอาไว้ใต้ฝ่าเท้าอย่าให้หยิ่งผยองชูคอขึ้นมาได้
เสียงใสของเมิ่งลี่เฟยดังขึ้นอีกครา
"ท่านอ๋องท่านมอบให้ข้าทั้งหมดใช่หรือไม่"
เต๋อลู่หานไม่ได้หันมามองนาง เขาเพียงแต่ส่งเสียงราบเรียบ
"เรือนเล็กนั่นมอบให้พระชายาแล้ว"
"เช่นนั้นข้าจะทำสิ่งใดก็ได้ใช่หรือไม่เพคะ"
"แล้วแต่เจ้า"
เมิ่งลี่เฟยอารมณ์ดียิ่งนัก นางไม่เอ่ยปากขอบคุณเขาสักคำ คนที่กดข่มเมียใหญ่ให้อยู่ในเรือนเล็กเท่ารูหนู มีเรื่องอันใดน่าขอบใจกัน
นางหมุนกายคิดกลับเรือนเมื่อได้ยินคำจากปากของเขาแล้ว ทว่าโดยไม่คาดคิดว่าจะมีคนยืนอยู่ด้านหลัง เมิ่งลี่เฟยพลันชนเข้าที่คนผู้นั้นจนเสียหลักเกือบจะล้ม
โชคดีมือแข็งแรงคู่หนึ่งยังคว้าร่างของนางเอาไว้ ด้วยแรงบุรุษเมิ่งลี่เฟยจึงถูกดึงมาปะทะร่างแข็งแกร่ง ฉับพลันนางได้กลิ่นหอมเย็นจากกายของเขาพร้อมกับเสียงนุ่มทุ้มที่เอ่ยขึ้น
"พระชายาเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ"
เมิ่งลี่เฟยเงยหน้ามองเขา คล้ายกับว่านางยังอยู่ในอ้อมกอดของคนผู้นั้น เขาผละออกอย่างสุภาพใบหน้าหล่อเหลานั้นก้มลงเล็กน้อย
"ข้าเจ็บแขน"
ด้วยเขายังบีบแขนของนางอยู่ เมิ่งลี่เฟยจึงรู้สึกเจ็บขึ้นมา บุรุษร่างสูงรีบปล่อยนางทันใดประสานมือนอบน้อม
"ข้าน้อยขออภัยพ่ะย่ะค่ะ"
คนผู้นี้ท่วงท่าองอาจใบหน้าหล่อเหลาจนไม่อาจละสายตาได้ ดูจากเสื้อผ้าที่เขาสวมแล้วแน่นอนว่าตำแหน่งไม่ธรรมดา
องครักษ์วังหลวงขั้นหนึ่งหรือ ถ้านางไม่ใช่พระชายาคนผู้นี้ย่อมมีตำแหน่งที่นางต้องเรียกเขาว่า 'ใต้เท้า' เป็นแน่
คนสองคนต่างมองกัน กระทั่งเสียงกระแอมของคนผู้หนึ่งดังขึ้น ก่อนที่เขาจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงชิงชัง
"มารยาสาไถย เยี่ยหัวเจ้าอย่าได้หลงกลนางจิ้งจอกนี่เป็นอันขาด"