มือใหญ่แข็งแรงควานคว้าไปสุดเอื้อม ตะปบที่นอนหาความอุ่นนุ่มที่เขาอิงแนบตลอดค่ำคืนชายหนุ่มลืมตาขึ้นเมื่อไม่มีร่างบางที่ไขว่คว้ารู้สึกขัดใจนิดๆ เพราะรู้ว่าวันนี้เป็นวันหยุด และเขาเองก็ยังนอนไม่เต็มอิ่มเลยกลับมาก็เกือบจะสว่างโร่แล้ว
“หอม...หอมอยู่ไหนน่ะ...” ไม่มีเสียงหวานตอบรับ กัณฑ์รพีลุกนั่งพรวดมองหารอบห้องก็ไม่เห็นร่างบางของตมิสา เขาเหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาเจ็ดโมงเช้าเท่านั้น เขาอยากนอนต่ออีกนิดแต่ก็อยากกอดใครบางคนตอนที่หลับอยู่ด้วย มันเหมือนมีอะไรขาดหายแค่ห่างกันเสี้ยววินาทีบนเตียงนี่
ชายหนุ่มตัดสินใจลุกขึ้นเปิดประตูห้องออกไปด้านนอก และตรงไปยังห้องครัวสถานที่ที่หญิงสาวมักหมกตัวอยู่มากที่สุดรองจากห้องนอน
“อยู่นี่เอง ทำอะไรอยู่ หืม...”
“อุ๊ย! คุณซีล ปล่อยค่ะ หอมจะทำกับข้าวให้ทาน” ตมิสาตกใจนิดๆ ที่ถูกกอดรวบทางด้านหลังเนื่องจากเธอกำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมของทำกับข้าวและคิดอะไรบางอย่างจนไม่ได้สนใจสิ่งอื่นรอบตัวเธอรีบผลักตัวเขาและก้าวห่างออกมา
“เป็นอะไร หลายวันนี้ดูแปลกๆ ไปนะ”
“เปล่าค่ะ...คุณกลับดึก หอมจะทำอาหารบำรุงร่างกายให้นะคะ คุณไปนอนพักเถอะเพิ่งจะได้นอนไม่กี่ชั่วโมงเอง” เธอกล่าวแต่สายตาไม่ได้มองไปที่เขา มือก็กำมีดในมือไว้แน่น
“โกรธที่เมื่อคืนไม่ชวนไปด้วยกันเหรอ” ชายหนุ่มขมวดคิ้วเหลือบมองท่าทีของตมิสา รู้สึกเหมือนเธอเห็นเขาเป็นโจรอย่างไงอย่างนั้น
“ไม่ได้โกรธค่ะ หอมไม่ชอบเที่ยวกลางคืนด้วย” หญิงสาวบอกตรงๆ เสียงอ่อน จริงๆ แล้วเธอไปเหยียบที่นั่นแทบนับครั้งได้ ตมิสาคิดว่าที่แบบนั้นคงไม่เหมาะกับเธอเท่าไหร่
“อืม...” เขาพยักหน้ารับรู้แล้วจับข้อมือเธอจูงเดินเสียเฉยๆ หญิงสาวขืนตัวและพยายามสะบัดสุดแรงจนเป็นอิสระ แล้วถอยหลังห่างจากเขาอย่างเร็ว เธอกำมีดในมือสั่นงกก่อนจะยกขึ้นมาอยู่ที่ระดับสะเอวของตัวเอง
“เป็นบ้าอะไรเนี่ย...นี่เธอจะฆ่าฉันแค่เรื่องไม่ให้ทำกับข้าวเนี่ยนะ” กัณฑ์รพีถามด้วยความโมโห เขาเหนื่อย เพลีย และอยากพักผ่อนเต็มที แค่อยากพาเมียไปนอนด้วยก็ถูกเห็นเป็นฆาตกรเสียแล้ว
“อย่า! อย่านะคะ!” หญิงสาวส่งเสียงห้ามเมื่อเขามีท่าทีคุกคาม หน้าตากัณฑ์รพีดุดันดูน่ากลัวยามก้าวเข้าถึงตัวเธอ
“ว้าย!! คุณซีลอย่ามายุ่งกับหอมนะ!!”
“โอ๊ย!!” กัณฑ์รพีครางเสียงหลงด้วยความเจ็บพร้อมๆ กับการปัดป่ายผลักไสของตมิสา มารู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าที่แขนของชายหนุ่มมีเลือดไหลเป็นทางตามรอยแผลที่เกิดจากมีดบาด “คุณซีล!!” หญิงสาวตกใจเลิ่กลั่กทิ้งมีดเปื้อนเลือดในมือทันทีแล้วตรงเข้าไปหาเขาลืมความกลัวที่มีอยู่ก่อนหน้าหมดสิ้น หลงเหลือไว้เพียงแต่ความเป็นห่วงเป็นใยและตกใจจนทำอะไรลนลานไปหมด
“เจ็บไหมคะหอมขอโทษ หอมไม่ได้ตั้งใจ...” เธอบอกเขาโดยไม่ได้มองหน้าเพราะมัวแต่ห่วงบาดแผลที่เลือดไหลออกมาไม่หยุด
“หอม...เป็นอะไรไป เธอกำลังคิดอะไรอยู่บอกฉันบ้างสิ”
“อุ๊ย!!” ยังไม่ทันได้ตอบหรือละทิ้งความสับสนที่ก่อตัวอยู่ในใจร่างของเธอก็ถูกเขารวบกอดเอาไว้เสียก่อนด้วยมืออีกข้างที่ไม่มีบาดแผล
ตมิสานิ่งงันปล่อยตัวเองให้อยู่ในอ้อมแขนอบอุ่นนั้นแล้วหลับตาลง พยายามสงบจิตใจให้ได้มากที่สุด เธอฟุ้งซ่านมากเกินไปแล้ว
“ไปทำแผลเถอะค่ะ เลือดไหลใหญ่แล้วนะคะ”
“บอกมาก่อนว่าเมื่อกี้เป็นอะไร ทำท่าเหมือนฉันเป็นฆาตกร เธอกลัวอะไร...” เขาถามรัวทั้งที่ยังรวบร่างบางเอาไว้แนบกับอก
กัณฑ์รพีรู้สึกว่าตมิสาหวาดกลัวยามที่ต้องมารองรับอารมณ์ป่าเถื่อนของเขาแทบทุกครั้ง แต่เธอก็มีความสุขดีกับการดำเนินชีวิตคู่ในแง่อื่นๆ เพราะเขาเองก็ค่อนข้างดูแลเอาใจไม่ได้ขาด แล้วมันเกิดอะไรขึ้นอีกล่ะ ทำไมหญิงสาวถึงได้หลอนขนาดจะฆ่าจะแกงกัน
“หอม...หอม...” ตมิสาส่ายศีรษะ ไม่อยากเอ่ยอะไรที่ทำร้ายจิตใจเขา จะให้บอกอย่างไรล่ะ ว่าเธอกลัวชายหนุ่มขาดสติจนอาจจะพลั้งมือฆ่าเธอตายอย่างที่มีข่าวออกมาทางหน้าหนังสือพิมพ์
“ไม่เป็นไร...บอกฉันมาเถอะ ฉันเคยให้สัญญาแล้วว่าจะดูแลเธอตมิสา ไม่ว่าเรื่องมันจะเป็นมายังไงฉันก็ไม่โกรธเธอหรอก” กัณฑ์รพีกล่าวเหมือนนั่งอยู่กลางใจหญิงสาว เขารู้ว่าเธอกำลังกลัวและสับสนปนเปกันจนแทบควบคุมตัวเองไม่อยู่ ตมิสาเป็นเด็กน้อยที่เพิ่งหัดรักไม่แปลกหรอกที่เธอจะรู้สึกอะไรมากมายขนาดนั้นเมื่อต้องมาเจอกับความรักที่สวนทางกับความต้องการเช่นนี้ “หอมกลัว...”
“กลัวอะไร...กลัวฉันเหรอ” เขาถามเมื่อเธอยอมเปิดปากพูดออกมา
“ไม่ใช่...หอม...หอมไม่รู้...”
“เธอกลัวฉัน...ไม่อยากให้ฉันรักเธอ...แบบรุนแรงใช่ไหม”
“...” ตมิสาไม่ตอบแต่ก็พยักหน้ารับ ชายหนุ่มหลับตาลงและถอนหายใจ คิดเอาไว้แล้วไม่มีผิดว่าเจ้าปีศาจร้ายในตัวเขามันจะนำเรื่องที่ยิ่งจะทวีความบาดหมางใจมาให้
ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมากัณฑ์รพีตระหนักดีว่าหากปล่อยให้ปัญหาล่วงเลยไปเรื่อยๆ โดยไม่แก้ไขพูดคุยปรับความเข้าใจกันแล้วละก็ ไม่ว่ามีรักสักกี่ครั้งก็ต้องจบลงด้วยการเดินคนละทางเสมอไป และครั้งนี้เขาจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่...
“ฉันก็ทำตามสัญญาแล้วนี่ ไม่ได้ทำให้เธอเจ็บจนทนไม่ไหว และก็ไม่ได้ใช้อาวุธอันตรายอะไรกับเธอด้วยแล้วก็รักษาระดับนี้มาตลอดเธอก็รับได้ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นไหนลองเล่าให้ฟังหน่อยสิ” เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มปลอบประโลมไม่ให้หญิงสาวตื่นกลัวไปมากกว่าที่เป็น ตมิสายังไม่ได้ตอบอะไรร่างเล็กของเธอก็ถูกชายหนุ่มประคองออกจากครัวมาด้านนอกตรงโซฟาตัวใหญ่
“หอมทำแผลให้ก่อนไหมคะ” หญิงสาวถามเมื่อหย่อนตัวลงนั่งพร้อมกันเรียบร้อยแล้ว เธอสังเกตเห็นเลือดหยุดไหลและเริ่มแห้งติดกับเนื้อแล้ว แต่ชายหนุ่มกลับส่ายหน้า
“ไม่กลัวฉันแล้วเหรอ” เขาถาม สายตาจ้องอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ
“หอม...ขอโทษค่ะ หอมคิดอะไรเพ้อเจ้อมากไปหน่อย” เหมือนจะสำนึกได้ว่าตัวเองคิดมากเกินไปจนเอาเรื่องเธอและเขามาปะติดปะต่อกับข่าวสะเทือนขวัญจนจิตตก
“ไปเจออะไรมา...แผลน่ะไม่เป็นไรหรอกโดนนิดเดียวเองไม่เป็นไร” เขาบอกเมื่อเห็นเธอยังง่วนแต่จะพยาบาลแผลให้เขาตมิสาไม่ได้เป็นผู้หญิงที่ซับซ้อนอะไร บางครั้งเธอก็เผยคำตอบออกมาจากการแสดงออกและสีหน้าท่าทางเสมอ
“ข้างๆ ที่ทำงานหอม...มีคนฆ่ากันตายค่ะ...” หญิงสาวหยุดเหลือบมองหน้าเขา กัณฑ์รพีนึกขำไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรตรงแขนที่ถูกมีดบาดสักนิด แม่คุณช่างอ่านออกง่ายจริงๆ ว่าไม่อยากเล่ามากพอๆ กับอยากบอกให้เขารู้
“แล้ว...”
“คือ...ข่าวเขาบอกว่าลักษณะการตายของผู้หญิงเหมือน...เหมือน...”
“ถูกฆ่าโดยคู่ขาที่ซาดิสม์” เขาต่อให้เมื่อเห็นเธออึกอักไม่พูดออกมาเสียที
“ค่ะ...”
“แล้วก็เลยกลัวว่าตัวเองจะถูกฆ่าแบบนั้นบ้าง” กัณฑ์รพีหน้าสลดไปนิดหนึ่งเมื่อพูดความในใจของเธอออกมา มันมากกว่าความกลัวอย่างที่แล้วๆ มา ไม่ได้กลัวเจ็บ แต่...กลัวถูกเขาฆ่า
“หอมขอโทษค่ะ”
“เธอไม่ได้ผิด...ฟังฉันนะหอม ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นบ้าอะไร ฉันไม่เคยเป็นแบบนี้กับใครไม่เคยเลยจริงๆ แต่พอมาเจอเธอ...ความต้องการแบบนั้นมันก็เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ แล้วฉันก็หักห้ามใจไม่อยู่สักที” ชายหนุ่มพยายามอธิบาย สีหน้าเขาดูเคร่งเครียดมากขึ้น ให้ตายเหอะไม่เคยทำอะไรแบบนี้กับใครเลยจริงๆ
“แล้วคุณจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหมคะ เป็นแบบ...ธรรมดา” เธอถามอายๆ เสหลบตามองบาดแผลที่อาบเลือดด้วยความรู้สึกเป็นห่วง
“หอม...ฉันไม่รู้ ถ้าเป็นแบบนี้แล้วเธอรังเกียจฉันเหรอ หืม...”
“เปล่านะคะ ไม่ได้รังเกียจ แต่หอม...”
“กลัว...” “เอ่อ...ค่ะ” เธอบอกตามความจริงและเผลอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้มานั่งเปิดใจกันเช่นนี้หลังจากที่เก็บสิ่งที่ค้างคาเอาไว้มานานและหาทางออกด้วยตัวเองก็ไม่ได้
“ฉันขอโทษที่ทำให้กลัวแต่ฉันรู้ตัวว่าไม่ได้เป็นบ้าอะไรมากมายถึงขนาดนั้น อย่างที่เธอเห็นในข่าวเขาเรียกว่าวิปริตแล้วนั่นน่ะ” กัณฑ์รพีพยายามหาเหตุผลยื่นอุทธรณ์ต่อความรู้สึกของเธอ ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งต้องมานั่งปวดหัวกับความหื่นไม่มีขอบเขตของตัวเอง
“หอมขอโทษค่ะ หอมคงคิดมากไปเอง เอ่อ...คุณซีลเราลองไปขอคำแนะนำจากหมอกันเอาไหมคะ” เพราะไม่ใช่เพียงแค่ข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์หรอกที่เธอเสพเอามาคิดจนฟุ้งซ่าน ตมิสายังแอบไปหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตและนิตยสารต่างๆ เกี่ยวกับอาการของคนที่เรียกว่าซาดิสม์อีกด้วย
แม้จะมีอยู่หลายประเภทแต่ก็พอสรุปได้ว่าคนเหล่านี้ส่วนมากจะชอบความรุนแรงขณะร่วมเพศ และจะทวีความต้องการของตัวเองไปเรื่อยๆ ถึงขั้นเอาโซ่มาผูกล่ามคู่นอน เอาแส้มาเฆี่ยนตีหรือใช้น้ำตาเทียนหยดใส่ มากกว่านั้นก็ถึงขั้นมีรสนิยมเห็นความเจ็บปวดทรมานที่มากขึ้น อย่างเอามีดมากรีดเชือด หรือใช้วิธีพิสดารอื่นๆ อีกมากมาย
หลายคนเสพติดเซ็กซ์ที่รุนแรงจนกลายเป็นโรคทางจิตไปเลยก็มากนั่นคือสิ่งที่เธอกลัว และหากมันพอจะมีวิธีแก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ ก็ควรทำ เพื่อมันจะเป็นหนทางสู่การดำเนินความรักไปอย่างปกติเสียที
“นี่เธอว่าฉันเป็นโรคจิตเหรอ...” กัณฑ์รพีถามด้วยน้ำเสียงทุ้มแผ่ว เขากะพริบตามองเธออย่างไม่อยากเชื่อหู แม้จะรู้อยู่ว่าตมิสาเป็นคนชอบคิดมาก และเธอก็ไม่เคยผ่านความรักมาก่อนไม่ว่าจะรูปแบบไหน จึงแยกแยะไม่ออกถึงคำว่ารสนิยมกับอาการป่วย “หอมเปล่านะคะ หอมแค่...”
“จะไปไหนก็ไป ฉันอยากพักผ่อน” ชายหนุ่มสะบัดมือเล็กออกจากแขนแล้วลุกพรวดเดินเข้าห้องไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามอง คำพูดและความรู้สึกของเขามันไม่มีความหมายเลยใช่ไหม แค่ข่าวที่เขียนขึ้นกับคำพูดที่พูดกันปากต่อปากยังมีความหมายมากกว่า คำว่า ‘หาหมอ’ สื่อความรู้สึกทุกอย่างที่เธอมีต่อเขาได้เป็นอย่างดี
“คุณซีล! คุณซีลคะ หอมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะคะ” ตมิสารีบวิ่งตามคนรัก วันนี้เธออยู่ในชุดนอนเรียบร้อยเพราะเมื่อคืนกัณฑ์รพีมีงานต้องทำ ดังนั้นเธอจึงได้ปลดแอกจากรสนิยมของเขาชั่วขณะ ร่างเล็กวิ่งลิ่วตามเข้าไปในห้องก็พบว่าเขาล้มตัวลงนอนปิดตาและดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเรียบร้อยแล้ว
“หอมขอโทษค่ะ หอมคิดมากไปเอง” บอกเขาอย่างนั้นแต่ก็รู้ว่านั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่ง เธอรู้ดีว่าในใจของตัวเองมันอัดแน่นไปด้วยความลังเลมากเท่าใด
“...” ไม่มีเสียงตอบรับจากคู่สนทนาที่นอนหายใจสม่ำเสมอ ตมิสาทอดร่างนั่งลงใกล้ๆ เขาแต่กัณฑ์รพีกลับพลิกตัวหันหลังให้จนมือเล็กๆ ที่ยื่นออกไปหวังแตะต้องเขาต้องหยุดชะงัก
หญิงสาวรู้สึกใจหวิวๆ ความปลาบแปลบแผ่ซ่านขึ้นไปถึงเบ้าตา กลั่นหยาดน้ำตาคลอหน่วยปริ่มขอบตาที่ร้อนผ่าว น้ำลายถูกกลืนลงคออย่างเจ็บฝืดเหมือนกินก้อนหินแข็งๆ เข้าไปอย่างไรอย่างนั้น เธอกะพริบตาไล่หยาดน้ำตาจนร่วงเผาะลงมาตามพวงแก้มขาว กัดริมฝีปากตัวเองที่พลั้งเผลอพูดให้เขาโกรธ
ไม่บ่อยนักหรอกที่ชายหนุ่มจะสร้างกำแพงเย็นยะเยือกเช่นนี้ขึ้นมากั้นระหว่างกัน โดยมากกัณฑ์รพีจะเป็นคนที่ไม่ชอบให้มีปัญหาติดค้างโดยไม่พูดคุยให้กระจ่าง แต่ครั้งนี้เขากลับเอานิสัยเธอมาใช้ หรือต้องการจะบอกให้รู้ว่าทุกครั้งที่เธอเป็นแบบเดียวกันนี้เขาอึดอัดและทรมานมากแค่ไหน
เธอยืนกำมือเข้าหากันด้วยความครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจเดินตามเขาเข้าไปในห้อง เธอพบว่ากัณฑ์รพีนอนหลับตาห่มผ้าเรียบร้อยไปแล้ว นั่นหมายความว่าเขาต้องการความสงบ ไม่อยากให้เธอต่อความยาวสาวความยืดอะไรอีก แม้แต่การแก้ต่าง
ตมิสาถอนหายใจเฮือกและบอกกับตัวเองนี่คือคนที่เธอรักและ...เขาก็รักเธอในชีวิตคู่ถือว่าความรู้สึกนี้ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่ยังลังเลเธอหวังว่าความรักที่มีต่อกันนี้จะช่วยเยียวยาและหาทางออกได้ในสักวัน
“คุณซีล...นอนหลับเหรอคะ หอมนอนเป็นเพื่อนนะ” ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ตมิสาเม้มริมฝีปากเข้าหากันแล้วเดินเข้าไปนั่งบนเตียงฝั่งที่นอนของตัวเองแล้วทอดกายลงข้างๆ ร่างใหญ่ที่นอนตะแคงหันหลังให้ เธอพลิกผ้าห่มผืนเดียวกันนั้นมาคลุมร่างขยับประชิดตัวเขาจากนั้นก็เอื้อมแขนพาดกอดชายหนุ่มเอาไว้ซบใบหน้ากับแผ่นหลังอุ่นๆ อันแข็งแกร่ง
“หอมขอโทษนะคะ...” จากที่คร่ำเครียดคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนจิตตก กลับต้องมาทนแบกรับความรู้สึกผิดและใจเสียไปเลยที่เห็นเขาแสดงอาการโกรธเงียบเช่นนี้
แขนเล็กๆ ออกแรงกดไปที่เอวเขาแรงขึ้นเมื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองพร้อมขยับซบใบหน้ากับแผ่นหลังซึ่งเต็มแน่นไปด้วยผิวเนื้อแข็งบึกบึน
“...”
“คุณซีล...อุ๊ย!!” เสี้ยววินาที ร่างเล็กที่ประกบหลังกลับถูกพลิกให้นอนหงายและอ้อมกอดของเขาก็รวบเธอเอาไว้ทันควัน เธอตกอยู่ในกรงแขนของเขาเสียแล้ว ใบหน้าคมเข้มก็ประชิดอยู่เพียงไม่ถึงคืบเพราะเขาพลิกตัวคร่อมเธอเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ลมหายใจอุ่นๆ รินรดแก้มขาวจนรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมากะทันหัน
“กลัว...แต่ก็ชอบมายั่วให้อยากอยู่เรื่อย...” เขาเอ่ยคล้ายเยาะเย้ยในที แต่สายตากลับมองคนใต้ร่างด้วยความกระหายอย่างชัดเจน จนหญิงสาวขนลุกซู่ชาปลาบไปทั้งตัวราวจะรู้ชะตากรรมของตัวเอง “คุณง่วงใช่ไหม หอมจะนอนเป็นเพื่อนนะคะ...”
“ตอนนี้ไม่อยากให้นอนเป็นเพื่อนแล้ว...เธอทำให้เปลี่ยนใจ...” เขากล่าวเนิบนาบ สบตาหยาดเยิ้มที่เคลือบแฝงไว้ด้วยความปรารถนาที่คุกรุ่นอยู่ในตัว
“เอ่อ...คุณบอกว่าเหนื่อย” มือสองข้างค้ำยันแผงอกแกร่งเอาไว้โดยอัตโนมัติแม้จะรู้อยู่ลึกๆ ว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรได้ก็ตาม หัวใจของเธอเต้นรัวร่างกายวูบวาบเพียงแค่คาดคะเนได้ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น
“ไม่เหนื่อยแล้ว...แต่หิว” เขาบอกตรงๆ ดวงตาที่กลมโตอยู่แล้วเบิกมองเขาเข้าไปอีก อยากจะขัดใจนักเพราะบางสิ่งบางอย่างมันยังสะท้อนอยู่ในใจทำให้ไม่นิ่งสนิทยินยอมให้กับเขา
“หอม...”
“อย่ากลัวเพราะว่าฉันแสดงออกกับเธออย่างคนรัก ไม่ใช่เพราะความใคร่ต้องการปลดปล่อยเพียงอย่างเดียว ฉันจะไม่ทำร้ายเธอตมิสา...” เขาปลอบเสียงพร่า ริมฝีปากหนาร้อนฉ่าประกบทับกับกลีบปากสีหวานที่ยังเผยอค้างกับการตัดสินใจของตัวเอง แต่ความร้อนระอุในตัวกัณฑ์รพีก็กลบทุกอย่างเอาไว้เสียสิ้น เขาคนเดียวเท่านั้นที่จะตัดสินได้ว่าจะหยุดหรือเดินหน้าไปต่อ
“อืม...อย่าเกร็งสิ ทำเหมือนไม่เคย” ชายหนุ่มยังเว้าวอนตรงกลีบปากฉ่ำ ชิวหาร้ายปาดไล้ด้วยความเสน่หา แม้ตมิสาจะเบี่ยงหลบแต่ก็ไม่อาจพ้นการลงทัณฑ์อันซ่านกระสันนี้ได้เลย มือใหญ่สองข้างของเขาคลึงนวดไปทั่วร่างระหงค่อยๆ ถลกชายกระโปรงชุดนอนขึ้นมาอย่างอ้อยอิ่ง ไม่เร่งรีบลำตัวเบียดบดเข้าหาร่างเล็กราวกับจะกลืนให้เป็นหนึ่งเดียว
“อา...หอม เธอต้องทำยาเสน่ห์ใส่ฉันแน่ๆ”
“อ๊ะ! คุณซีลคะ...”
“อืม...” ริมฝีปากหนาอุ่นทาบทับลงปิดเสียงเล็กช่างเจรจาอีกครั้ง เขาดูดเม้มเบาๆ ไล่ระดับความหนักหน่วงไปทีละขั้น อาภรณ์แนบเนื้อถูกถลกปลดขึ้นทางศีรษะแล้วถอดทิ้งไม่แยแส ผิวขาวๆ อวดล้อท้าสายตาให้เชยชมอย่างหมดเปลือกเพราะเธอไม่ได้ใส่ชั้นในแม้แต่ชิ้นเดียว กัณฑ์รพีครางฮือแค่มองเขาก็แทบจะปีนป่ายไปยังแดนสวรรค์ได้เสียแล้ว