บทที่ 8 ชั่วโจ๊กชามเดียว

1271 คำ
บทที่ 8 ชั่วโจ๊กชามเดียว ร่างเล็กในชุดสีฟ้าอ่อนเดินเคียงข้างบุรุษในชุดสีน้ำเงินเข้มช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก ชุ่ยฮองเฮามองภาพเบื้องหน้าแล้วยกยิ้มมุมปาก ต่อให้องค์ชายสิบเก้าสำคัญกับองครักษ์เฉินขนาดไหนก็ไม่มีทางมีความสำคัญไปกว่าสายเลือดของเขากระมัง มือใหญ่กำมือเล็กของเด็กน้อยเอาไว้มั่น ไม่รู้เพราะเหตุใด หากแต่คล้ายมีบางอย่างทำให้เขารู้สึกอยากปกป้องเด็กน้อยนี่ขึ้นมา มันเหมือนมีเส้นใยบางๆ ระหว่างเขากับนางอย่างไรอย่างนั้น “เจ้าชื่ออะไร” “เยว่เอ๋อร์เจ้าค่ะ” เยว่เอ๋อร์ ดวงจันทร์อย่างนั้นหรือ สองเท้าหยุดชะงักหันมาจ้องใบหน้ากลมๆ ของเด็กน้อยด้านข้าง มุมปากหนายกยิ้มอบอุ่น ก่อนกุมมือเล็กเดินต่อไปเบื้องหน้า เยว่เอ๋อร์มองคนตัวสูง ดวงตาของเขาแฝงความเศร้าบางอย่างเอาไว้จนน่าใจหาย สิ่งใดกันที่ทำให้เขาดูเจ็บปวดได้ถึงเพียงนี้ “ข้าเรียกท่านว่าท่านอาได้ไหม” “ข้าปฏิเสธได้หรือ” นับจากที่นางป่าวประกาศว่าเขาคืออาของนาง เขาก็คงไม่สามารถมีสถานะอื่นได้อีก ใบหน้ากลมย่นยู่บ่นงุบงิบฟังไม่ได้ศัพท์ เห็นแล้วให้รู้สึกขบขันยิ่งนัก เมื่อเข้ามาในเขตเรือนพักด้านหลังภาพเบื้องหน้าก็ทำให้เยว่เอ๋อร์อดประหลาดใจไม่ได้ เรือนไม้สภาพมิเก่ามิใหม่ ด้านในปราศจากเครื่องเรือนตกแต่งคล้ายเป็นเพียงเรือนพักชาวบ้านธรรมดา มิน่าจะใช่เรือนรับรองในพระตำหนักนอกวังของชุ่ยฮองเฮา เมื่อเข้ามาภายในแยกออกเป็นส่วนห้องโถง และด้านหลังเป็นห้องพักอีกหลายห้อง เฉินมี่ถงพานางไปที่ห้องทางปีกซ้ายสุด ด้านหน้ามีนางกำนัลสองนางนั่งเฝ้าหน้าประตู เมื่อเข้ามาด้านในมีเพียงโต๊ะกลมและเตียงตั้งอยู่กลางห้อง ม่านสีแดงคลุมรอบด้านทั้งสี่ทิศแต่ยังคงมองเห็นร่างเล็กของเด็กชายอยู่ด้านในรางๆ นั่นคงเป็นองค์ชายที่พวกเขาพูดถึงกัน ข้างเตียงมีนางกำนัลอีกสองนางนั่งขนาบข้างแม้จะก้มหน้ามิเอ่ยวาจาหากแต่แววตากลับสอดส่องดูนางตลอดเวลา เช่นนี้การที่นางจะทำตามแผนคงมิใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว “องครักษ์เฉิน…” เสียงเล็กแหบแห้งดังมาจากในม่าน เฉินมี่ถงเดินไปประชิดขอบเตียงย่อตัวลงด้านข้าง ร่างเล็กของเด็กชายด้านในค่อยๆ ขยับลุกขึ้นอย่างช้าๆ ดูอ่อนแรงจนนางยังเห็นใจ “องค์ชายประสงค์สิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ” “ข้าอยากออกไปเดินเล่น” “พระองค์ทรงประชวรอยู่มิควรออกไปด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ” เยว่เอ๋อร์มองร่างเล็กในม่านถอนหายใจยาวก่อนทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง ไม่นานนางกำนัลนางหนึ่งก็เดินเข้ามา ในมือถือถ้วยโจ๊กมาด้วยกลิ่นหอมฟุ้งจนเยว่เอ๋อร์น้ำลายสอ “ได้เวลาเสวยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” “ข้าไม่หิว” พูดจบร่างเล็กในม่านก็ยกผ้าห่มคลุมโปงหนี เฉินมี่ถงถอนหายใจยาวอย่างจนใจ องค์ชายแม้ดูภายนอกจะเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย แต่แท้จริงแล้วตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ถ้วยโจ๊กวางที่ข้างเตียงส่งกลิ่นหอมฟุ้ง เยว่เอ๋อร์ยกยิ้มมุมปากเดินไปนั่งข้างเตียงตักโจ๊กในชามกินในทันที “บังอาจ! เจ้ากล้ากินอาหารขององค์ชายได้อย่างไร” เสียงนางกำนัลที่ยกเครื่องเสวยตวาดใส่เยว่เอ๋อร์ ใบหน้ากลมพอโดนดุก็น้ำตาคลอส่งสายตาสำนึกผิดไปที่เฉินมี่ถง “ท่านอา... ข้าหิวมากเลยเจ้าค่ะ ในเมื่อองค์ชายไม่เสวยเช่นนั้นสู้มิให้ข้ากินเสียดีกว่าหรือเจ้าคะ” เฉินมี่ถงถอนหายใจยาวหากแต่นางกำนัลคนเดิมกลับมิยอมเลิกรา นางจับแขนกลมป้อมยกร่างเล็กจนลอยออกมาที่กลางห้อง “ถึงหิวเพียงใดก็ต้องอดทน ทำตัวเยี่ยงขอทานไร้มารยาท” เฉินมี่ถงได้ยินนางกำนัลตวาดเด็กน้อย ดวงตาคมก็วาววาบขึ้นมาจดจ้องไปที่นางกำนัลผู้นั้น คล้ายมีพลังปราณบางอย่างแผ่ออกมาจากตัวเขา นางกำนัลที่เดิมทีกำลังเกรี้ยวกราดเด็กน้อยกลับรู้สึกคล้ายหายใจไม่สะดวก ยิ่งหันมาสบตากับราชองครักษ์ยิ่งทำให้นางคล้ายโดนเข็มเล็กนับพันพุ่งมาทิ่มแทง “แค่โจ๊กชามเดียวเหตุใดต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่” ร่างเล็กในม่านเอ่ยเสียงแหบ ทั้งที่ยังคงอยู่ใต้ผ้าห่ม หากแต่กลับหนักแน่น ทุกคนในห้องหันมายืนนิ่งสงบ “นางอยากกินก็ยกให้นางไป แล้วพวกเจ้าก็ออกไปให้หมดข้าจะพักผ่อน” คล้ายเป็นคำประกาศิต ทุกคนในห้องแม้แต่องครักษ์เฉินเองก็เดินออกไปจนหมด ร่างป้อมน้อยตรงไปหาชามโจ๊กที่หัวเตียงไม่สนใจสายตาดุของเหล่านางกำนัล กลับทิ้งตัวลงตั้งหน้าตั้งตากินโจ๊กอย่างเอร็ดอร่อย เฉินมี่ถงได้แต่ถอนหายใจยาวแล้วเดินออกไป “เร่งกินแล้วตามออกมา” ใบหน้ากลมมีโจ๊กในปากจนแก้มยุ้ยพยักหน้ารับ มือเล็กตักโจ๊กคำต่อไปใส่ปากอีกคำ เมื่อในห้องเหลือเพียงนางกับองค์ชายน้อย เยว่เอ๋อร์จึงวางชามโจ๊กในมือลงขยับไปประชิดเตียงมือบางเอื้อมไปที่ผ้าห่มสีทองแต่ยังมิทันได้สัมผัสผ้าห่มเสียงแหบแห้งก็ดังขึ้น “หากยังอยากมีชีวิตจงออกไปห่างๆ ข้า” เยว่เอ๋อร์แม้แปลกใจที่เขาคล้ายมีตาทิพย์มองเห็นการกระทำของนางหากแต่ก็มิได้เก็บมาใส่ใจอะไร ใบหน้ากลมวางลงบนเตียงทับม่านสีแดงบางๆ “แต่หากพระองค์อยากมีชีวิตก็ต้องให้หม่อมฉันอยู่ใกล้ๆ” น้ำเสียงยอกย้อนสดใสแตกต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง องค์ชายน้อยพลิกตัวหันมาสบตากลมใสกระจ่างผ่านม่านเตียง สายลมอ่อนพัดเข้ามาทางหน้าต่างทำให้เกิดภาพเด็กน้อยหลังม่านที่ตรึงใจมิน้อย เยว่เอ๋อร์ยกยิ้มอ่อนโยนนิ้วป้อมๆ หยิบบางอย่างออกมาจากมวยผมกลมๆ คล้ายซาลาเปาของนางส่งให้เขา “วิหคขาวฝากให้หม่อมฉันนำมาถวายเพคะ” ดวงตาคมจดจ้องร่างเล็กตรงหน้าอย่างประหลาดใจ วิหคขาวคือหนึ่งในฉายาของทหารราชองครักษ์ของเขา นางเป็นเพียงเด็กน้อยวัยไม่น่าจะเกินห้าปี เหตุใดจึงรู้จักกับวิหคขาวได้ หรือนี่จะเป็นแผนการของชุ่ยฮองเฮา ดวงตาคมหลังม่านมีแววลังเลและหวาดระแวงอย่างเห็นได้ชัด จนเยว่เอ๋อร์กลัวว่านางกำนัลด้านนอกจะบุกเข้ามาตวาดนางอีกครั้ง และแผนการครั้งนี้คงพังไม่เป็นท่าแน่นอน “หม่อมฉันใช้เวลาในการกินโจ๊กชามเดียวได้ไม่นานหนัก หากยังทรงลังเลหม่อมฉันก็จนใจจะหาสิ่งใดมายืนยัน” สายตาคมเหลือบไปมองโจ๊กบนโต๊ะที่หัวเตียงก่อนตัดสินใจหยิบยาเม็ดสีดำในมือป้อมของนางใส่ปากกลืนในพริบตา เยว่เอ๋อร์ยกยิ้มสดใสหันไปกินโจ๊กต่อจนหมดอย่างรวดเร็ว แล้วเดินออกจากห้องบรรทมไป ทิ้งสายตาสงสัยและหวาดระแวงของคนในห้องไว้เบื้องหลังโดยมิแม้แต่จะหันมามอง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม