หลังจากที่ได้รักษาอาการบาดเจ็บให้มารดาจน ไม่มีอันใดน่าเป็นห่วงแล้ว หูจูนหลิงจึงได้มีเวลาหันมาสำรวจร่างกายของตนเองเสียที นางได้พบว่าร่างกายนี้ ก็ได้รับบาดเจ็บพอสมควร แต่สำหรับนางแล้ว แผลเพียงเท่านี้นับว่าไม่เป็นปัญหาใด เพียงแค่แผลถูกแทงที่ช่องท้องซึ่งไม่ได้ถูกอวัยวะสำคัญใด หากเป็นร่างกายเก่าของนาง นาง คงจะสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างปกติ แต่ในเมื่อได้มาอาศัยอยู่ในร่างของสตรีผู้นี้ กลับทำให้ความแข็งแรงของนางหายไป นางไม่สามารถขยับร่างกายได้อย่างที่ใจคิด
หูจูนหลิงจึงไม่รอช้ารีบรักษาอาการบาดเจ็บให้กับตนเองอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ร่างนี้จะหมดสติ เนื่องจากเสียเลือดเป็นจำนวนมากไปเสียก่อน
"อ่อนแอชะมัดเลย บาดเจ็บเท่านี้ ก็รู้สึกจะเป็นลมไปเสียแล้ว"
ร่างกายที่ไม่เคยได้รับความลำบากของเจ้าของร่างบวกกับอาการบาดเจ็บสาหัสทำให้หูจูนหลิง เผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนข้างมารดา
แสงอาทิตย์ได้สาดส่องเข้ามา ทำให้สตรีที่กำลังนอนหลับไหลอยู่บนเตียงทั้งสองคน ตื่นลืมตาขึ้นมา เมื่อสายตาสามารถปรับให้คุ้นชิน กับภาพเบื้องหน้าได้แล้ว หูเย่เหยาจึงค่อยๆ สำรวจไปทั่วทั้งห้อง และเมื่อนางกวาดมองไปโดยรอบ ก็พบเข้ากับสายตาของบุตรสาวที่กำลังจ้องมองมาที่นางอยู่
"หลิงเอ๋อร์ ลูกเป็นเช่นไรบ้าง ยังบาดเจ็บที่ตรงไหนอยู่หรือไม่ แม่จำได้ว่าล่าสุดเจ้าถูกแทงไม่ไช่หรือ"
"ท่านแม่อย่าได้กังวลไปเลย อาการของลูกดีขึ้นมากแล้ว แผลเหล่านี้เกรงว่าอีกไม่กี่วัน ก็คงหายเป็นปกติแล้ว ท่านแม่เล่าเป็นเช่นไรบ้าง"
"ดีจริง!!! ถือว่าสวรรค์ยังให้ความเมตตากับเราสองแม่ลูกอยู่ แม่ก็ไม่เป็นอันใดมากเช่นกัน แปลกนักแม่คิดว่าจะต้องตายตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว แต่มิคาดคิดเลยว่า เจ้าจะสามารถทำเรื่องเช่นนั้นได้"
"เรื่องนั้นเป็นเพราะจนตรอก จึงทำให้ลูกต้องลงมือแต่หากว่าคนพวกนั้นไม่พลั้งเผลอ เกรงว่าลูกคงจะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ถึงอย่างไรลูกก็เป็นบุตรีของพรรคมังกรทะยานฟ้า ลูกจึงได้เคยร่ำเรียนวิชาเกี่ยวกับการป้องกันตัวมาบ้าง ซึ่งลูกก็เพิ่งมารู้วันนี้เอง ว่ามันมีประโยชน์มากเพียงใดในการเอาชีวิตรอดในครั้งนี้ ต้องขอขอบคุณท่านพ่อ ที่ได้สอนวิชาเหล่านี้ให้กับลูกลับหลังท่านแม่"
เมื่อกล่าวถึงบิดาใบหน้าของหูเย่เหยา ก็พลันมืดครึ้มขึ้นหลายส่วน นางให้คิดไปถึงสามีคู่ทุกข์คู่ยากของนาง อย่างไม่ตั้งใจ พลันภาพเหตุการณ์ต่างๆ ก็ได้ปรากฎขึ้นมาในความทรงจำของนางอีกครั้ง
ภาพของสามี ที่ได้ร่วมผูกผม นอนร่างกายเปลือยเปล่า อยู่บนเตียงกับน้องบุญธรรมของนางในวันนั้น นางยังคงจำมันได้ดี เพราะนั่นถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความบาดหมางทั้งหมดของเขาและนาง
"นี่พวกเจ้ากำลังทำบ้าอะไรกัน" เสียงกรีดร้อง ของผู้เป็นฮูหยินเพียงคนเดียวของหูจ่านอี้ ดังขึ้นมาภายในห้อง ปลุกให้บุรุษที่มีร่างกายเปลือยเปล่า ตื่นลืมตาขึ้นมารับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น
ใบหน้าของประมุขพรรคผู้ยิ่งใหญ่ซีดเผือด เมื่อได้เห็นว่าข้างกายของเขานั้น มีสตรี ที่ไร้ซึ่งอาภรณ์นอนอยู่บนตัว และใบหน้าของสตรีนางนั้น ก็มิใช่ผู้ใด เป็นน้องสาวบุญธรรมของภรรยาที่พึ่งมาอาศัยอยู่ด้วยไม่นาน
เพียงแค่เห็นสภาพของเขาทั้งคู่ เขาก็สามารถเข้าใจได้ในทันที ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น หูจ่านอี้จ้องมองไปยังผู้ที่เป็นฮูหยินของตนที่กำลังยืนสั่นเทาอยู่ในตอนนี้อย่างขอโทษ
"เหยาเอ๋อร์ คือข้า…"
เมื่อได้รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวบนเตียงซ่งเจียเชิน จึงได้ตื่นลืมตาขึ้นมา ดวงตาของนางเบิกโพลงเมื่อได้เห็นสภาพร่างกายอันเปลือยเปล่าของพี่เขยและนาง
"น...นี่มันเกิดอันใดขึ้น"
"นั่นเป็นประโยคที่ข้าควรจะถามเจ้าเสียมากกว่าว่าเจ้าทำอันใดกัน" เสียงเยียบเย็นของหูเย่เหยาดังขึ้นมา สายตาของนางแข็งกร้าวไร้ซึ่งความอาทรเช่นในยามปกติ ในขณะที่จ้องมองไปยังน้องสาวบุญธรรมผู้นี้
"พี่ใหญ่ ข...ข้าไม่รู้จริงๆ ว่ามันเกิดเรื่องเช่นได้เช่นไร" ดวงตาของซ่งเจียเชินเต็มไปด้วยน้ำตา และยังน้ำเสียงที่สั่นเครือ ซึ่งแสดงออกมาว่านางไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้จริงๆ ทำให้หูเย่เหยา เบนสายตาของนางจ้องมองไปยังผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีอย่างผิดหวัง
"เหยาเอ๋อร์ ข้าจำอันใดไม่ได้จริงๆ ข้าไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้เช่นไร" ใบหน้าของหูจ่านอี้ เต็มไปด้วยความสับสน เพราะเขาจำได้ว่าล่าสุด เขาเพียงแค่ ดื่มสุรากับเหล่าผู้นำในพรรค ไม่กี่จอก และทั้งคืนเขาก็ไม่ได้พบเจอกับซ่งเจียเชินเลย เมื่อมารู้ตัวอีกที ก็ในตอนที่นางมาพบเขาเข้าในตอนเช้านี้เสียแล้ว
และที่สำคัญห้องที่เขาอยู่ในตอนนี้ ก็เป็นห้องของซ่งเจียเชินอีกด้วย ถึงไม่ได้เอ่ยคำใดออกไป ผู้ใดก็สามารถเข้าใจได้ว่าคงเป็นเขาเองที่ปีนขึ้นเตียงของน้องบุญธรรมภรรยา อย่างไม่ต้องสงสัย แล้วเช่นนี้ต่อให้เขาแก้ตัวไปเช่นไร ก็คงจะไม่เป็นผล แต่เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่ามันเกิดเรื่องราวเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร
"เหยาเอ๋อร์ ในเมื่อเรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นข้าคงต้องรับผิดชอบในตัวนางเสียแล้ว"
ถึงแม้นเขาจะรู้ว่าเมื่อกล่าวออกไปเช่นนั้น จะทำให้ฮูหยินเพียงคนเดียวของเขารู้สึกโกรธเคือง แต่ในตอนนี้เขาจะสามารถทำสิ่งใดได้อีกในเมื่อเขาเป็นบุรุษ ก็ควรที่จะมีความรับผิดชอบ ในสิ่งที่ตนเองได้กระทำลงไป
"หึ!!! หูจ่านอี้ ในเมื่อท่านเลือกทำเช่นนี้ ก็ควรที่จะหย่ากับข้าเสีย ข้าเคยบอกกับท่านไปแล้ว หากในวันใดที่ท่านทำผิดต่อข้า วันนั้นข้าก็จะไม่เสียใจแม้แต่น้อย ที่จะเดินออกมาจากชีวิตของท่าน ในเมื่อท่านตัดสินใจเช่นนี้ ก็ขอให้เรื่องราวของเราจบลงแต่เพียงเท่านี้ ข้าไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับบุรุษเช่นท่านได้อีกต่อไป"
กล่าวจบหูเย่เหยา ก็สะบัดกายจากไป โดยไม่หันหลังกลับมามองบุรุษและสตรี คู่นั้นอีก
"เหยาเอ๋อร์อย่าได้ทำเช่นนี้" เสียงตะโกนตามหลัง เพื่อร้องเรียกให้นางหยุด ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของนาง แต่นั่นก็ไม่สามารถ หยุดฝีเท้าของนางให้ชะงักลง
เมื่อหูจ่านอี้ เห็นเช่นนั้น ก็รีบลุกขึ้นมาจากเตียงพร้อมกับสวมใส่อาภรณ์ที่ถูกถอดกระจัดกระจายไว้ที่พื้นเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว
หูเย่เหยานั่งลงที่ในศาลาริมน้ำ ภายในจวนอย่างเหม่อลอย นางครุ่นคิดไปถึงเรื่องราวเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา พร้อมกับถามคำถามกับตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ซ่งเจียเซินมาอาศัยอยู่กับนางได้ 1 ปี ตั้งแต่ถูกสามีทอดทิ้ง เพราะนางไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายให้กับสามีของนางได้ จึงได้ถูกครอบครัวของสามีเกลียดชัง ด้วยความที่มีชีวิตอยู่อย่างอัปยศอดสู หูเย่เหยา จึงได้รับนางมาดูแล นางก็ให้การเลี้ยงดูน้องบุญธรรมผู้นี้เป็นอย่างดี โดยไม่ได้คิดว่าในวันหนึ่ง จะเกิดเรื่องราว เช่นนี้ขึ้นได้
"นี่ข้าทำสิ่งใดพลาดไปเช่นนั้นหรือ"
เมื่อหูจ่านอี้ตามมา ก็ได้พบเข้ากับใบหน้าอันซีดเผือดของภรรยา นางไม่ได้ร่ำร้องออกมา เพียงแค่นางนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ แต่หากให้เขาเลือก เขาต้องการให้นางร้องไห้โวยวายออกมายังจะดีเสียกว่า เก็บงำความรู้สึกเสียใจนี้เอาไว้
เพราะการที่อยู่ด้วยกันมานาน เขาจึงรับรู้ได้ทันทีว่าการแสดงออกของนางเช่นนี้ หมายถึงนางกำลังเศร้าเสียใจปานใด นางคงกำลังผิดหวังกับการกระทำของเขาอยู่เป็นแน่
มือหนาของเขาค่อยๆ สวมกอดนางไว้จากทางด้านหลังเอาไว้แน่น เขากระซิบไปที่ข้างใบหูของนางอย่างอ่อนโยน "เหยาเอ๋อร์ ให้อภัยกับการกระทำครั้งนี้ของข้าได้หรือไม่ ข้าไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ข้าสัญญาว่าจะมิแตะต้องนางอีก เพียงแต่เรื่องราวมันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว หากจะไม่ตกแต่งนางเข้ามา เกรงว่าตลอดชีวิตนี้ของนาง คงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เป็นแน่ แต่ข้าขอสัญญากับเจ้าเอาไว้เลยว่า ข้าไม่ได้มีใจให้กับนางจริงๆ "
ยังไม่ทันที่หูจ่านอี้ จะทันได้กล่าวความรู้สึกของเขาออกมาจนจบ เสียงเยียบเย็นของผู้เป็นภรรยาก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
"อย่าได้เอามือสกปรกของท่านมาแตะต้องเนื้อตัวของข้า ร่างกายของท่านในตอนนี้ มันทำให้ข้ารู้สึกสะอิดสะเอียนแค่เพียงสัมผัส ปล่อย!!! " สายตาของหูเย่หยาในขณะะจ้องมองมาที่ผู้ที่เป็นสามี เต็มไปด้วยความเกลียดชังและขยะแขยง
"เหยาเอ๋อร์" หูจ่านอี้ รู้สึกตัวชาไปชั่วขณะ เมื่อได้เห็นสายตาและคำพูดนั้นของนาง
ตั้งแต่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับนางมาจนมีลูกด้วยกัน 2 บุตรชายคนแรกอายุได้ 17 หนาว ส่วนบุตรสาวอีกคนอายุได้ 14 หนาว นี่คงถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้รับสายตาเช่นนี้จากนาง ความรู้สึกเจ็บแปล๊บเข้ามาในหัวใจของเขาอย่างรุนแรง มือหนาค่อยๆ คลายอ้อมกอดนั้นออก อย่างเชื่องช้า
หูเย่เหยาลุกขึ้นจากไปโดยที่ไม่ได้กล่าวคำใดอีกเลย
หลังจากวันนั้น ก็ผ่านมาได้ร่วมเดือน ความเงียบงันและความบาดหมาง ก็เข้าปกคลุมความสัมพันธ์ของเขาทั้งสอง ไม่ว่าหูจ่านอี้จะใช้ความพยายามมากมายเพียงใดเพื่องอนง้อหูเย่เหยา ผู้เป็นภรรยา ก็ไม่เคยใจอ่อนและพูดคุยกับเขาอีกเลย
ส่วนซ่งเจียชิน ก็ไม่ได้ลุกขึ้นมาเรียกร้องอันใด หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ในวันนั้น นางยังคงใช้ชีวิตเงียบๆ อยู่ในจวน โดยไม่แม้แต่จะก้าวออกมาแม้แต่เพียงครึ่งก้าว
การกระทำของนางชวนให้ผู้คนในพรรค รู้สึกสงสารนางจับใจ และการกระทำเช่นนี้ของนางสามารถเรียกร้องความเห็นใจจากผู้คนในพรรคได้อย่างล้นหลาม แตกต่างกันกับการแสดงออกมาอย่างเห็นแก่ตัวของผู้เป็นฮูหยินและเป็นพี่สาวของนางอย่างเสียไม่ได้ ที่บ่งบอกถึงความใจแคบ ไม่ยอมรับความจริงในข้อนี้ เพราะอย่างไรเรื่องราวก็ได้เกิดขึ้นมาแล้ว
แต่แล้วในวันหนึ่ง ในขณะที่หูเย่หยารู้สึกใจเย็นขึ้น และเดินออกมาจากภายในห้องของตนเอง นางต้องการที่จะมาพูดคุยกับซ่งเจียเชินให้รู้เรื่อง แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อนางเดินมาถึงหน้าห้องของผู้เป็นน้องสาว ก็ได้ยินถึงเสียงครวญครางของบุรุษและสตรีดังขึ้นมา ซึ่งไม่ต้องบอกนางก็สามารถจดจำเสียงครวญครางนั้นได้เป็นอย่างดี ว่ามันเป็นเสียงของผู้ใด
มือทั้งสองข้างของนางถูกกำเอาไว้แน่น เมื่อเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นครั้งแรก ก็ยังพอจะให้อภัยไหว แต่หากยังมีครั้งที่ 2 เกรงว่ามันจะเป็นความตั้งใจเสียมากกว่ากระมัง
หูเย่เหยาค่อยๆ เปิดประตูบานนั้นออกอย่างช้าๆ ภาพที่เห็น ช่างแตกต่างกันกับครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง เมื่อในครั้งนี้พวกเขากำลัง เริงสวาทกันอย่างถึงพริกถึงขิง ซึ่งโดย ความสามารถของประมุขพรรค อันดับ 1 ในยุทธภพ ของหูจ่านอี้ ควรจะรับรู้การมาของนางแล้ว แต่แปลกที่ในตอนนี้ เขากลับไม่รับรู้สิ่งใดเลย ซึ่งหูเย่หยาก็โกรธจน ไม่สามารถประมวลถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ได้เช่นกัน นางไม่สามารถทนมองกับภาพเบื้องหน้าได้ จึงได้หมุนกายจากไปอย่างเจ็บปวด แต่เสียงครวญครางของพวกเขา ยังคงดังต่อเนื่อง ไล่หลังของนางมา ยิ่งชวนให้นางรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง
"หูจ่านอี้เห็นทีว่า 20 กว่าปีของเรา คงไม่มีความหมายสำหรับท่านอีกต่อไปแล้ว" นางหลับตาลงพร้อมกับใจที่แตกร้าว