หากเราเพียงหลับแล้วฝันถึงเรื่องราวแสนแปลกประหลาด เราจะเชื่อเป็นตุเป็นตะเลยหรือไม่ว่านั่นเป็นเรื่องจริงที่สามารถเกิดขึ้นได้ แน่นอนว่าย่อมไม่เชื่อ คงคิดไปว่ามันเป็นเรื่องเพ้อเจ้ออันไร้ที่มา กับโจวถิงถิงเองก็เช่นนั้น ในคราแรกที่จมดิ่งสู่ห้วงแห่งความฝัน ในคราแรกที่จมดิ่งสู่ห้วงแห่งความฝัน นางไม่ได้ปักใจเชื่อทุกอย่างว่านั่นคือการเห็นนิมิตถึงเนื้อหาในอนาคต เพียงแต่ถ้าเป็นคนซึ่งไร้หนทางให้ก้าวเดินล่ะ ความคิดจะเปลี่ยนไปรึไม่
สถานะบุตรนอกสมรสนั้นย่ำแย่เป็นอย่างมาก แทบมองไม่เห็นอนาคตที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ทรัพย์สมบัติติดกายก็ไม่มีสักอย่างจะตั้งตัวเช่นไรยังมิอาจรู้ เมื่อทางเดินข้างหน้ามันช่างมืดมนขนาดนั้นแล้วทำไมจะเชื่อเพียงความฝันไร้สาระมิได้เล่า ไม่เสียหายตรงไหนหากจะลองหลอกตนเองว่าเนื้อหาในหนังสือนั่นเป็นเรื่องในอนาคตจริงๆ แม้ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับนางและน้องชายแต่ก็นำมาใช้ประโยชน์ได้ นั่นคือสิ่งที่ถิงถิงคิดในตอนนั้น…
“เชิญคุณชายเฉินกลับไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ” เสียงหวานกล่าวอย่างเฉยชาต่อหน้าบุรุษที่ยังยืนอยู่หน้าห้องคนป่วยไม่ไปไหน
“นางเป็นคู่หมั้นของข้า” ดวงตาคมนิ่งเรียบตวัดมองคู่สนทนาที่เอาแต่ไล่เขากลับ เขามิใช่คนใจจืดใจดำที่คู่หมั้นตนเจ็บป่วยแล้วไม่มาดูดำดูดี ถึงแม้จะเป็นเพียงการหมั้นตามคำสัญญาของผู้ใหญ่ก็ตาม
“ข้าลืมไปเลยว่าถิงเอ๋อร์มีคู่หมั้น ตั้งแต่เข้าเรียนมาไม่เคยเห็นนางได้รับการปกป้องสักครั้งจึงลืมไปเสียสนิท” ร่างบางตอกกลับไม่ยอมแพ้ คุณหนูตระกูลฟ่านกอดอกด้วยความไม่พอใจ
“พวกเจ้าเลิกเสียงดังได้แล้ว ถ้าถิงเอ๋อร์พักผ่อนไม่เต็มที่จนทรุดหนักกว่าเดิมจะทำเช่นไร” คำเรียกขานอันสนิทสนมของคุณหนูเหรินทำเอาคนบนเตียงถึงกับงุนงง
“นางควรได้รับการรักษาจากตระกูลเฉิน” เสียงทุ้มยังคงกล่าวต่อพร้อมกับกายแกร่งที่เดินเข้ามาในห้อง
“แต่ถิงเอ๋อร์เป็นสหายของข้า เช่นนั้นควรไปพักฟื้นที่ตระกูลฟ่านจะดีที่สุด” ฟ่านซุนลี่ไม่ยินยอม ก้าวเท้าไปขวางทางอีกฝ่ายเอาไว้
“นางต้องเจ็บตัวเพราะข้า ตระกูลเหรินควรเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะไม่ว่าเช่นไรก็คงดีกว่าปล่อยให้กลับตระกูลโจว…” เหรินหยางอิ่งกล่าวไม่ดังนัก แต่กระนั้นทุกคนในห้องล้วนได้ยินเต็มสองหู ฐานะของคนป่วยเป็นเช่นไรมีใครบ้างไม่ทราบ ดังนั้นหากปล่อยให้กลับไปก็เหมือนทิ้งขว้างให้ทรุดโทรมลงมากกว่าเดิม
โจวถิงถิงฟังทุกคำด้วยความสับสน นี่มันเกิดอันใดขึ้น ไฉนคู่ที่ควรตกหลุมรักกันจึงเอาแต่โต้เถียงไม่มีใครยอมใคร แม้จะเป็นเรื่องดีที่สหายของนางมิต้องกลายเป็นสตรีร้ายกาจก็ตาม ส่วนคุณหนูเหรินมิได้มีทีท่าให้ความสนใจบุรุษผู้นี้เลยแม้แต่น้อย หรือเพราะคนที่ให้ความช่วยเหลือคือนางหาใช่คุณชายเฉินมันจึงวุ่นวายเช่นนี้
“ตื่นแล้วอย่างนั้นหรือ” กว่าดรุณีน้อยจะรู้ตัวรอบห้องก็เงียบสนิทจนกระทั่งชายหนุ่มหนึ่งเดียวส่งเสียงทัก
“เอ่อ…เจ้าค่ะ” ดวงตาคู่สวยค่อยๆ เปิดมองแขกทั้งสาม ถ้านับตามฐานะทางสังคมนางอยู่ระดับล่างสุดจึงไม่แปลกหากต้องสุภาพกับพวกเขาเอาไว้
“ถิงเอ๋อร์เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง!/ถิงเอ๋อร์เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง!” สตรีสองนางในห้องถลาเข้ามาหาจนคนถูกเรียกผงะไปเล็กน้อย
“ยังเจ็บอยู่บ้างแต่น่าจะไม่เป็นอันใดมากเจ้าค่ะ” ความจริงแล้วมันเจ็บมากเลยต่างหาก แต่นางไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่
“มันคงไม่บ้างหรอกถิงเอ๋อร์ เจ้าต้องพักฟื้นอีกหลายวันและต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง อาการบาดเจ็บภายในของเจ้าค่อนข้างหนักหนาอยู่บ้าง หากรักษาไม่ดีมันจะทำให้ร่างกายของเจ้าแย่ลงเรื่อยๆ” ใบหน้าหวานล้ำของคุณหนูจากจวนเจ้ากรมโยธาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ยังดีที่คนตรงหน้าไม่มีกระดูกส่วนไหนหัก
“หลายวันอย่างนั้นหรือ” คราวที่แล้วก็สลบไปเสียหลายวัน มาคราวนี้ต้องพักอีกสักระยะ แล้วแบบนี้การเรียนของนางจะเป็นเช่นไร
“เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องเข้าเรียน ข้าแจ้งเหมิงเซียนเซิง (อาจารย์แซ่เหมิง) เอาไว้แล้ว ดังนั้นขอเพียงแค่เจ้าทำคะแนนสอบได้ดีก็ไม่มีปัญหา” ชายหนุ่มบอกกล่าวเมื่อเห็นว่าคู่หมั้นมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ดังนั้นเจ้าไปพักที่ตระกูลของข้าเถอะนะ หากอยู่ที่นั่นเจ้าจะได้รับการต้อนรับและดูแลอย่างดีแน่นอน” มือขาวผ่องเอื้อมมากุมมือผอมแห้งเอาไว้ ดวงตาคู่สวยทอประกายระยิบระยับจนคนป่วยต้องหลุบตาหนี
“เจ้าควรได้รับการดูแลจากตระกูลเฉิน” คำพูดนั้นทำเอาถิงถิงถึงกับเงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกใจ ไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะออกหน้าเพื่อขอดูแลตนเช่นนี้
“หากเจ้ารู้สึกไม่ดีที่ต้องไปอยู่ในบ้านของผู้ชายไร้หัวใจ เจ้ากลับไปพักฟื้นที่ตระกูลฟ่านของข้าก็ได้นะ” สายตาดุดันตวัดมองผู้ชายคนที่ตนกล่าวถึงอย่างเปิดเผย คิ้วคมเข้มกระตุกเหมือนถูกเจ้าแมวตัวน้อยขู่ฟ่อ มันมีเหตุผลมากมายที่ฟ่านซุนลี่จะรู้สึกไม่พอใจ แต่กระนั้นก็เข้าใจถึงการกระทำทั้งหมดของฝ่ายชายดี หากเขาให้ความสนใจสหายของนางแม้เพียงนิด ตระกูลโจวจะหาทางขูดรีดจนตระกูลเฉินพาลรังเกียจโจวถิงถิงไปด้วยเป็นแน่
“ข้าขอบคุณพวกท่านมาก แต่เกรงว่าจะไม่สามารถรับน้ำใจได้ ข้าขอพักรักษาตัวอยู่ที่สำนักศึกษาเผื่อว่าหากลุกไหวจะได้เข้าเรียนตามปกติคงดีกว่าเจ้าค่ะ” ใบหน้าซีดเซียวยิ้มแห้งพลางปฏิเสธคนทั้งหมด ถ้าตระกูลโจวรู้ว่านางมีสายสัมพันธ์อันดีกับตระกูลใหญ่คงถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหาผลประโยชน์เข้าตระกูล
“หากเจ้าต้องการเช่นนั้น ข้าก็ไม่ขัดข้อง” แต่ไหนแต่ไรอีกฝ่ายยืนกรานความตั้งใจของตนเสมอและเขาไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายการตัดสินใจนั้น
“ก็ได้ แต่…ถิงเอ๋อร์ ข้าอยากให้เจ้าคุยแบบเป็นกันเองเหมือนที่เจ้าทำกับคุณหนูฟ่านจะได้รึไม่” สองแก้มนวลซับสีระเรื่อจางๆ ถ้าไม่สังเกตก็ไม่เห็น
“ฐานะของท่านกับข้าห่างกันมาก การทำเช่นนั้นคุณหนูเหรินจะถูกครหาได้นะเจ้าคะ” คบค้ากับบุตรนอกสมรสก็เหมือนเกลือกกลั้วกับสามัญชน บรรดาผู้ถือยศศักดิ์ย่อมไม่พอใจ
“เจ้าไม่ต้องสนใจคนอื่น สนใจเพียงข้าก็พอแล้ว…ได้รึไม่” คิ้วเรียวของโจวถิงถิงขมวดเล็กน้อย ทำไมประโยคมันฟังดูแปร่งแปลกนัก ก่อนที่จะส่ายหัวไล่ความคิดวุ่นวายออกไป
“ถ้าท่านกล่าวเช่นนั้น…ข้าจะเรียกเจ้าว่าอาอิ่ง ก็แล้วกัน” การสานสัมพันธ์เป็นสหายกับคุณหนูเหรินถือเป็นหนึ่งในความตั้งใจของนางอยู่แล้ว อย่างน้อยในเรื่องร้ายก็ยังมีเรื่องดีรวมอยู่ด้วย
“อาอิ่ง…” ริมฝีปากสีสวยพึมพำนามตนที่ถูกอีกฝ่ายเรียกขานแผ่วเบาด้วยหัวใจที่เต้นผิดจังหวะต่างจากยามคุยกับคุณหนูบ้านอื่นลิบลับ
“พี่หญิง!/น้องหญิงใหญ่!” เสียงทุ้มสองเสียงดังขึ้นหน้าประตูทางเข้า ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มและร่างเล็กของเด็กชายหยุดเดินพลางกวาดสายตามองหาจนกระทั่งพบเป้าหมาย
“ท่านเป็นเช่นไรบ้างขอรับ!” เด็กน้อยถิงฟงรีบมาทันทีที่ได้รับการแจ้งข่าว เขาห่างจากพี่สาวเพียงครู่เดียวอีกฝ่ายก็บาดเจ็บอีกแล้ว
“ข้าส่งคนไปแจ้งข่าวให้พวกเขารู้ เรื่องใหญ่แบบนี้ได้ยินจากข้าย่อมดีกว่าได้ยินจากคนอื่น” คุณหนูเหรินกล่าวไปตามตรง มันเป็นความรับผิดชอบที่ต้องส่งข่าวให้ครอบครัวของผู้เสียหายทราบ แต่นางก็แจ้งแค่พี่ชายและน้องชายของสหายคนใหม่เท่านั้นด้วยรู้ดีว่าคนอื่นในตระกูลโจวเป็นเช่นไร
“ข้าไม่เป็นอะไรมากหรอก อย่ากังวลไปเลย…ขอบคุณเจ้ามากนะ อาอิ่ง” หลังจากตอบคำถามให้พี่ชายน้องชายสบายใจขึ้นแล้วนางจึงหันไปมองร่างอรชรที่แย้มยิ้มหวานมาให้ไม่จางหาย เป็นจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด หากปล่อยให้พวกเขาทราบเรื่องจากข่าวลือเกรงว่าคงตกใจมากกว่านี้
“เจ้าจะกลับจวนรึไม่” โจวจิ้งเถิงถามด้วยความเป็นห่วง ถ้าน้องสาวต้องการกลับไปรักษาตัวที่บ้าน เขาย่อมมิอาจปล่อยให้ไปเพียงลำพังได้
“ไม่เจ้าค่ะ ข้าจะพักฟื้นที่สำนักศึกษา เรื่องนี้เพื่อนๆ ของข้าช่วยคุยกับเซียนเซิงให้” แม้ที่จริงจะยังไม่ได้คุยรายละเอียดก็ตามที
“…ถ้าเจ้าว่าเช่นนั้น” คุณชายใหญ่ตระกูลโจวรู้สึกไร้กำลังนัก เขาไม่สามารถปกป้องน้องทั้งสองของตนอย่างออกหน้าออกตาได้ ต้องหวังพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น
“อาหารมาแล้ว เจ้ากินข้าวก่อนจะได้กินยา” สหายคนใหม่รับชามข้าวต้มมาจากสาวใช้ของตน ไอร้อนหอมกรุ่นพัดมาจนท้องน้อยๆ ของคนป่วยเริ่มร้องประท้วง
“เอ่อ อาอิ่ง ข้ากินเองดีกว่า” ถิงถิงมองช้อนที่กำลังถูกริมฝีปากสวยเป่าเบาๆ เพื่อไล่ความร้อน ยังไม่นับสายตาสี่คู่ที่จ้องมองคุณหนูตระกูลเหรินแบบไม่กระพริบ
“เจ้าเป็นคนป่วยจะมีเรี่ยวแรงยกช้อนไหวหรือ ให้ข้าดูแลเจ้าเถอะ” ใบหูเล็กเปลี่ยนเป็นสีแดงจางเพราะเขินอาย แต่กระนั้นก็อยากดูแลผู้มีพระคุณที่ช่วยตนไว้
“แต่ว่า-”
“ให้ข้าเป็นคนดูแลถิงเอ๋อร์เองดีกว่า นางอาจไม่สะดวกใจกับเจ้าเท่าไหร่” ฟ่านซุนลี่กล่าวพลางยื่นมือขอชามข้าวซึ่งถูกเจ้าของกุมไว้แน่น
“ข้าก็เป็นสหายของนางแล้ว มิใช่ว่าเจ้าคิดไปเองหรอกหรือว่าถิงเอ๋อร์กำลังลำบากใจ” เหรินหยางอิ่งแสดงท่าทีไม่ยินยอมออกมาอย่างชัดเจน
“มัวแต่ทะเลาะกันแล้วเมื่อไหร่นางจะได้กินยา” มือหนาคว้าชามข้าวไปโดยไม่ปล่อยให้สตรีสองนางได้ทักท้วง เขายื่นมันให้กับคุณชายใหญ่ตระกูลโจวเพื่อหยุดการโต้แย้งทั้งหมด แม้จะถูกสายตาของคุณหนูฟ่านจ้องมองมาราวกับจะสาปแช่งให้มอดไหม้ก็ตามที
“ขะ ข้าป้อนพี่หญิงเองขอรับ” เด็กชายตัวเล็กรีบกุลีกุจอเสนอตัวดูแลพี่สาวพร้อมยื่นมือไปรับชามจากพี่ชาย สุดท้ายแล้วชามข้าวจึงถูกส่งต่อไปยังผู้ที่เหมาะสม
วันนั้นกว่าคนป่วยได้กินยา นอนพัก ก็แทบหมดแรงไปกับคนเยี่ยมไข้ที่ไม่รู้ทำไมถึงพากันมารุมล้อมไม่ยอมไปไหน