ตอนที่ 3 พอกันทีกับการโหยหาสิ่งที่ไม่มีจริง

1468 คำ
ถึงจะไม่ค่อยรู้ความหมายเท่าไหร่แต่ดูเหมือนว่านางเอกย่อมคู่กับบุรุษที่ถูกเรียกว่า ‘พระเอก’ ซึ่งมีหลายเหตุการณ์ที่จะนำพาความรักของทั้งสองให้โบยบินไปดั่งที่สวรรค์ขีดเขียนไว้และนางก็วาดหวังว่าจะได้เป็นคนเฝ้ามองความรักนั้นโดยมีโอกาสขอแบ่งประโยชน์จากมันมาช่วยเหลือตนเองบ้างสักเล็กน้อย สวรรค์คงไม่ลงโทษหรอกใช่รึไม่ ในเมื่อเบื้องบนยอมให้นางได้ความทรงจำส่วนนี้มา… “ในเมื่อเห็นด้วยตาว่าคุณหนูใหญ่หายดีแล้วคงไม่อยู่รบกวนเวลาพักผ่อน เช่นนั้นไว้พบกันที่สำนักศึกษา ข้าคงต้องขอตัวก่อนขอรับ” ร่างสมส่วนลุกขึ้นเต็มความสูง ดวงตาคมเหลือบพิจารณาสีหน้าซูบผอมนั่นอีกครั้งโดยไม่ให้ผู้ใดสังเกตเห็น จากนั้นจึงออกจากห้องไป “เหอะ ไร้มารยาทนัก!” เมื่อเห็นว่าแขกสูงศักดิ์ไม่อยู่แล้วนายท่านของจวนจึงตวาดออกมาอย่างมีโทสะ แต่อีกฝ่ายเป็นคนจากตระกูลใหญ่จึงหมางเมินคำเยินยอของเขาที่อาวุโสมากกว่าแค่คิดก็แทบจะเก็บอารมณ์ไม่อยู่แล้ว “อย่าโมโหไปเลยเจ้าค่ะท่านพี่ ข่าวลือเรื่องความเย็นชาของคุณชายใหญ่ตระกูลเฉินทุกคนล้วนรู้เห็นทั้งสิ้น” โจวฮูหยินรีบเอาน้ำเย็นเข้าลูบไม่อยากรองรับความโมโหร้ายจากสามี “ใช่เจ้าค่ะ ว่ากันว่าต่อให้เป็นตระกูลใหญ่เหมือนกันคุณชายเฉินจ้าวเหว่ยก็ไม่เคยไว้หน้าใคร คงเพราะครอบครัวอบรมมาไม่ดีกระมัง ดูอย่างคุณชายใหญ่ของเราสิเจ้าคะ หน้าตายิ้มแย้มอ่อนโยน มารยาทรึก็เพรียบพร้อม แถมยังฉลาดเฉลียวอีกต่างหาก ในอนาคตย่อมต้องนำพาความรุ่งเรืองมาสู่ตระกูลโจวแน่นอนเลยเจ้าค่ะ” ฮูหยินรองรีบยกยอปอปั้นหวังเอาหน้า เพราะตนไร้วาสนามีเพียงบุตรสาวจำใจต้องพึ่งพาบุตรชายของคนอื่น “คอยดูเถิด ถ้าอาเถิงเรียนจบจนสอบติดเป็นขุนนางระดับสูงเมื่อไหร่ ข้าจะเอาคืนพวกมันให้หมด” ความมักใหญ่ใฝ่สูงฉายชัดในดวงตาของโจวป๋อเหวิน “พรุ่งนี้ข้าต้องกลับเข้าสำนักศึกษาแล้ว ขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะเจ้าคะ” ถิงถิงมองภาพตรงหน้าอย่างเบื่อหน่าย ทำไมบิดาของนางถึงได้เป็นคนไร้หัวคิดขนาดนี้ ตระกูลใหญ่มากอำนาจมิใช่สร้างในเวลาปีสองปี การหยั่งรากลึกเพื่อเป็นต้นไม้ใหญ่ต่อให้ใช้เวลาสิบยี่สิบปียังไม่รู้เลยว่าจะสำเร็จรึไม่ ไฉนเลยจึงเอาแต่ผลักภาระไปให้พี่ใหญ่ทั้งที่ตนเองก็ไม่สามารถสร้างรากฐานอะไรให้ลูกหลานได้เลย “ท่านพ่อ ท่านแม่ใหญ่ ท่านแม่เจ้าคะ พรุ่งนี้หลินเอ๋อร์ต้องกลับสำนักศึกษาแล้ว ขอค่าขนมเพิ่มจะได้รึไม่เจ้าคะ” ร่างเล็กวิ่งเข้าไปออดอ้อนบิดาอย่างน่ารัก “ได้สิ เจ้าต้องการเท่าไหร่ก็ให้แม่ใหญ่จัดการแล้วกัน” ฝ่ามือหนาลูบศีรษะทุยไปมาอย่างเอ็นดู “ช่วงนี้หลินเอ๋อร์ได้รับคำชมจากเซียนเซิงหลายครั้ง ท่านพี่ก็ชมลูกสักนิดสิเจ้าคะ” เสียงหวานของฮูหยินรองรีบชมบุตรสาวเรียกความสนใจจากสามี “ทำได้ดีมาก เอาไว้ครั้งหน้าพ่อจะมีรางวัลให้” ไม่ว่าบุตรชายจากภรรยาเอกหรือบุตรสาวจากภรรยารองผู้นำตระกูลโจวล้วนดูแลอย่างดี เว้นเสียแต่… สองขาสั่นเทาก้าวเดินออกมาจากโถงหลักด้วยใจที่บอบช้ำ หยาดน้ำใสถูกกลั้นไว้มิให้รินไหลเพราะไม่ต้องการเผยด้านอ่อนแอให้ใครได้เห็น ก้อนสะอื้นซึ่งจุกอยู่ในลำคอโดนกลืนลงท้องพร้อมความขมขื่นของเด็กน้อยที่อยากได้รับความรักบ้าง ยามนี้ดรุณีน้อยตั้งมั่นแล้วว่าจะพอกันทีกับการโหยหาสิ่งที่ไม่มีจริง หากนางทุกข์ระทมจมอยู่กับความเศร้าของตนแล้วจะมอบความรักให้กับน้องชายได้อย่างไรกัน “พี่หญิง กลับมาแล้วหรือขอรับ” เสียงทุ้มเล็กๆ ร่าเริงเป็นหนึ่งในแรงผลักดันให้ถิงถิงมีกำลังใจใช้ชีวิตต่อ เด็กชายกำลังปัดกวาดที่นอนเพื่อให้พี่สาวกลับมาพักผ่อนได้ในทันทีโดยด้านข้างเป็นแม่นมจางและสตรีไม่คุ้นหน้าอีกหนึ่งคน “คุณหนู แม่นมตามหมอมาแล้วเจ้าค่ะ รีบมานั่งลงก่อนเถิดนะเจ้าคะ” จางเจี๋ยเข้าไปประคองเจ้านายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มทั้งที่ดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง เรือนนี้เป็นเรือนเล็กท้ายจวนไร้ของมีค่า เบี้ยหวัดแต่ละเดือนแทบไม่พอซื้อขนมราคาถูกด้วยซ้ำ การจะตามหมอถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากฮูหยินหรือนายท่านย่อมเป็นเรื่องยาก ที่น่าเสียใจคือคุณหนูของนางหมดสติไปหลายวันแต่กลับไม่มีใครเหลียวแลเลยสักคน “ขออนุญาตเจ้าค่ะ” หมอหญิงยื่นมือไปจับชีพจรเจ้าของเรือนพลางสอบถามอาการ เมื่อได้คำตอบก็ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเขียนเทียบยาให้ “น่าจะมีอาการบาดเจ็บภายในเล็กน้อยจากการตกบันได แต่โดยรวมไม่มีบาดแผลน่าเป็นห่วงเจ้าค่ะ ทานยาสักสองเทียบก็น่าจะดีขึ้น” แม้จะน่าสงสัยจากการที่บาดเจ็บไม่มากแต่กลับสลบยาวนานถึง 5 วันก็ตาม แต่เมื่อตรวจอย่างถี่ถ้วนก็ไม่พบต้นตอของปัญหา “ขอบคุณท่านหมอมากเจ้าค่ะ” ถิงถิงยิ้มรับผลการตรวจ อย่างน้อยก็สามารถกลับไปเรียนได้แล้ว “เชิญท่านหมอทางนี้เลยเจ้าค่ะ” แม่นมจางดีใจเป็นอย่างมากที่เจ้านายตัวน้อยไม่ได้บาดเจ็บสาหัสอย่างที่กังวล “จะกลับสำนักศึกษาในวันพรุ่งนี้เลยหรือขอรับ พี่หญิงน่าจะพักอีกสักหน่อย” ร่างสมส่วนของเด็กชายนั่งลงใกล้ๆ พี่สาว “หากขาดเรียนอีกเกรงว่าจะไม่ดี พี่รู้สึกแข็งแรงขึ้นแล้ว ขอบใจเจ้าที่เป็นห่วง” ชีวิตเราสองพี่น้องมันก็เท่านี้ ไร้คนดูแลปกป้อง การเรียนให้จบเป็นบันไดก้าวแรกที่จะนำพาพวกเราให้ตั้งตัวได้แม้ไม่ได้รับมรดกจากผู้เป็นพ่อ “ข้าจะแวะไปหาท่านบ่อยๆ” การเรียนของสำนักศึกษาแยกไปตามชั้นปีเพื่อแบ่งช่วงอายุของเด็กๆ ชั้นปีที่ 1 สำหรับเด็กอายุ 10-12 หนาว เป็นการเริ่มเรียนรู้พื้นฐานเพื่อปรับตัว อีกทั้งยังเป็นการทำความรู้จักเหล่าคุณชายคุณหนูจากตระกูลอื่นด้วย ชั้นปีที่ 2 สำหรับเด็กอายุ 13-14 หนาว การเรียนการสอนจะเข้มงวดมากขึ้น นักเรียนจะแบ่งฝั่งแบ่งฝ่ายตามกลุ่มที่สนิทกัน บางครั้งอาจเป็นไปตามสายสัมพันธ์ของแต่ละตระกูลที่มีมานาน ชั้นปีที่ 3 เป็นชั้นปีสุดท้ายสำหรับการเรียนรู้ศาสตร์แขนงต่างๆ ในชั้นปีนี้จะอยู่ในช่วงอายุ 15-17 หนาว เหมาะแก่การจับคู่ดูตัวเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตระกูล เมื่อเรียนจบถือว่าได้รับการรับรองฐานะทางสังคมในระดับหนึ่ง สำหรับสตรีเรียกได้ว่าเพรียบพร้อมแก่การเป็นเจ้าสาว ตระกูลใหญ่จะให้ค่าเด็กผู้หญิงที่เรียนจบมากกว่าบุตรหลานที่เรียนเองที่บ้าน ส่วนชายหนุ่มที่เรียนจบจะเริ่มเตรียมตัวสอบเป็นขุนนาง บางคนอาจกลับไปสืบทอดกิจการครอบครัว แต่อย่างไรเสียการเข้าเรียนที่นี่ก็มีผลในอนาคตอย่างมาก “ได้สิ อาฟงตัวน้อยของพี่” คุณหนูใหญ่ตระกูลโจวบีบแก้มของน้องชายอย่างเอ็นดู ตอนนี้นางมีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากเฝ้าหวังว่าบิดาจะหันมาสนใจพวกเราบ้าง ขอเพียงแค่คุณชายตระกูลเฉินได้แต่งงานกับคุณหนูตระกูลเหริน ทั้งคู่ย่อมต้องให้ความช่วยเหลือนางในฐานะสหายที่นำพาทั้งสองมาบรรจบกันแน่นอน “เช่นนั้นข้าจะรีบเตรียมของให้นะขอรับ พี่หญิงนอนพักผ่อนอยู่เฉยๆ ห้ามลุกขึ้นมาเด็ดขาดเลย” โจวถิงฟงหน้าแดงระเรื่อเมื่อโดนอีกฝ่ายเย้าหยอกประหนึ่งตนยังเป็นเพียงเด็กสามหนาว ทั้งที่เขาโตเป็นหนุ่มแล้ว! “จ้า จ้า” ร่างบางนอนราบบนที่นอนมองน้องน้อยตระเตรียมสัมภาระซึ่งก็ไม่มีอะไรมากนอกเสียจากชุดกลางเก่ากลางใหม่แค่ไม่กี่ชุด เครื่องประทินโฉมใดก็ไม่มีสักชิ้น ไม่ต้องถามหาเครื่องประดับที่ไม่เคยได้จับมาก่อน แต่ไม่เป็นไร…เพราะนอกจากการได้อ่านหนังสือเล่มนั้นแล้วนางยังได้รับความรู้บางอย่างมาจากเด็กผู้มีใบหน้าเหมือนตนในห้วงแห่งฝันอีกด้วย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม