เหนือเมฆเปิดประตูร้านตั้งแต่เช้าตรู่หลังจากที่ธีระออกไปจ่ายตลาดมาตั้งแต่ย่ำรุ่ง น้ำอิงจึงช่วยจัดหน้าร้านและช่วยเหนือเมฆเสิร์ฟอีกแรง
ดูเหมือนพิษเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบไปทุกหย่อมหญ้าเพราะการค้าเริ่มซบเซา แต่โชคดีที่ธีระยังพอมีลูกค้าประจำเหลืออยู่บ้าง แม้น้ำอิงจะไม่ได้ทำงานก็พอมีกำไรเลี้ยงชีพได้ไปสักระยะ
“วันนี้หักลบ ได้ตั้งพันสามร้อยยี่สิบแน่ะ” บิดาเอ่ยขึ้นหลังจากที่นั่งนับเงินในกระเป๋าผ้ากันเปื้อน แยกอีกส่วนเอาไว้จ่ายค่าของในวันพรุ่งนี้ก็ยังพอมีเหลืออยู่บ้าง
“พันสามก็ถือว่าเยอะแล้วนะพ่อ” เหนือเมฆยิ้มดีใจ จ้องเงินตรงหน้าดวงตาเปล่งประกาย
“ยังไงมันก็ไม่พอหรอกนะเมฆ”
น้ำอิงส่ายหน้าเล็กน้อย รีบเก็บร้านก่อนจะขึ้นไปบนบ้านเพื่อตรวจดูอีเมลจากบริษัทที่เธอเคยส่งไปสมัครงาน ยังดีที่พอมีโชคเพราะมีหนึ่งบริษัทตอบรับอีเมลของเธอกลับมา
“เงินเดือนเริ่มต้นหมื่นห้า...” หญิงสาวอ่านรายละเอียดที่ขึ้นอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าที่เจื่อนลงเล็กน้อย “เอาวะ กำขี้ยังดีกว่ากำตด ทำไปนาน ๆ เดี๋ยวมันคงขึ้นเองแหละ”
น้ำอิงพยายามปลอบใจตัวเอง หลังจากตรวจดูรายละเอียดการสอบสัมภาษณ์ เธอก็เตรียมตัว จัดแจงเสื้อผ้าไว้ตั้งแต่หัววัน พอถึงตอนเช้าของอีกวันก็เร่งรีบออกไปด้วยตื่นเต้นดีใจ
“จะไปไหนแต่เช้าน่ะพี่น้ำ ไม่อยู่ช่วยเปิดร้านเหรอวันนี้” เหนือเมฆเอ่ยถามในขณะที่เจ้าตัวกำลังช่วยบิดากวาดถูหน้าร้านตรงชั้นหนึ่งของบ้าน
“พี่จะไปสมัครงาน วันนี้แกช่วยพ่อไปก่อนละกัน”
“ได้งานแล้วเหรอน้ำ” เสียงธีระตะโกนออกมาจากหลังครัว รีบออกมาอวยพรลูกสาวด้วยความดีใจ
“ค่ะพ่อ เป็นบริษัทติวเตอร์อีกที่นึงน่ะค่ะ อยู่ไกลหน่อยแต่ก็โอเค”
“งั้นพ่อขอให้ลูกโชคดีนะ เอาร่มไปด้วย ฝนกำลังตั้งเค้ามาแล้ว” ว่าแล้วจึงหันไปหยิบร่มส่งให้ลูกสาว น้ำอิงรีบรับมาแล้วหมุนตัวออกไปจากบ้านโดยไม่ได้สนใจจะหาอะไรลงท้อง
สองเท้ารีบขยับวิ่งไปยังปากซอยเพื่อจะให้ทันรถเมล์เที่ยวแรกแต่เธอก็ดันช้าไปแค่เสี้ยววินาทีมาถึงรถก็ขับออกไปก่อนแล้ว
“บ้าจริง ไม่ทันจนได้ ขนาดมาเร็วแล้วนะเนี่ย” หญิงสาวโอดครวญ เหลือบมองเวลาและนับเงินในกระเป๋าดู หลังจากคำนวณดูคร่าว ๆ เธอจึงตัดสินใจโบกแท็กซี่ไปยังจุดหมายปลายทางทันที
“รถติดขนาดนี้ ลุงคงเข้าไปจอดหน้าตึกไม่ได้แล้วล่ะนังหนู” คนขับหันมาบอกพลางจ้องมองถนนอีกฟากซึ่งมีรถต่อแถวกันยาวเหยียด
น้ำอิงมีสีหน้าร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นว่าไม่มีหนทางไปต่อได้ เธอจึงตัดสินใจลงมันซะกลางทางเพราะกลัวว่าจะไปไม่ทันเวลานัดสัมภาษณ์
มือเรียวส่งเงินให้กับคนขับจากนั้นจึงนับดูอีกรอบ ยังเหลืออีกหกสิบพอเป็นค่ารถขากลับได้ ดวงตาคู่สวยเหลือมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง เหลือเวลาอีกประมาณยี่สิบนาที จึงรีบลงจากรถคิดว่าจะเข้าไปเตรียมตัวลดความตื่นเต้นก่อนสอบสัมภาษณ์
ร่างบางระหงสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกระโปรงทรงเอยาวเสมอเข่า ผมที่ยาวสลวยถูกมัดรวบตึงไว้อย่างเป็นระเบียบก้าวลงจากรถมองซ้ายมองขวาให้แน่ใจอีกครั้ง
แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จ้องมองตึกสูงตระหง่านเบื้องหน้าแล้วกระชับแว่นตาให้เข้าที่ ก่อนจะข้ามถนนเข้าไปในตึก พยายามหลบเลี่ยงรถราที่สัญจรไปมาด้วยความรีบเร่ง พอมาถึงเกาะกลางถนน ฝนห่าใหญ่ก็สาดเทลงมาอีกระลอกจนเธอต้องนำร่มที่บิดาให้บังฝนไว้
“บางหมดเลย...” น้ำอิงลอบถอนหายใจเมื่อเหลือบไปเห็นเงาสะท้อนของตัวเองบนกระจกรถ เสื้อเชิ้ตสีขาวมันเปียกฝนจนเห็นไปถึงไหนต่อไหน ความร้อนใจทำให้เธอรีบสาวเท้าข้ามถนนไปให้ถึงตึกข้างหน้า
ดวงตาคู่สวยภายใต้กรอบแว่นก้มมองเสื้อผ้าของตัวเองด้วยความเป็นกังวลจนไปชนเข้ากับคนที่เดินสวนมาทำให้กระเป๋าเอกสารร่วงหล่นลงพื้น ปลิวว่อนไปทั่ว
“ตายแล้ว ขอโทษด้วยนะหนู” ชายวัยกลางคนแค่หันมาขอโทษแบบผ่าน ๆ ก่อนจะเดินจากไป ทำให้น้ำอิงต้องใช้ใบหน้าหนีบด้ามร่มไว้กับไหล่ก้มเก็บเอกสารของตัวเองอย่างทุลักทุเล
ใบหน้านั้นฉายแววกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัดเพราะเอกสารที่เธอเตรียมมามันเปียกน้ำจนขาดวิ่น มิหนำซ้ำเอกสารบางฉบับก็ถูกสายลมพัดออกไปที่ถนนจนเธอต้องเสี่ยงชีวิตออกไปเอา
ปี๊น! เสียงแตรรถดังขึ้นตอนที่เธอกำลังเอื้อมไปหยิบ เมื่อเหลือบไปมองก็เห็นรถอีกคันขับพุ่งออกมาจากซอยทำให้เธอต้องกระโดดหลบจนศีรษะกระแทกกับพื้นเต็มแรง
“กรี๊ด!”
เอี๊ยด!
เสียงกรีดร้องตามมาด้วยเสียงบดของล้อรถดังขึ้นพร้อมกัน ความเจ็บปวดตรงขมับพุ่งปรี๊ดขึ้นมาทันทีเมื่อเอื้อมมือไปจับก็พบว่ามีเลือดไหลซึมออกมาจนคนที่อยู่ข้าง ๆ ต้องเข้ามาช่วย และตอนนั้นเองที่สายตาเธอเหลือบไปเห็นกระจกรถของคู่กรณีค่อย ๆ เลื่อนลงพร้อมกับคนขับที่โผล่หน้าออกมาจากรถ
ใบหน้าที่เหมือนจะค่อนไปทางยุโรปแต่ผมกลับมีสีดำเข้ม ดวงตาสีอำพันเหลือบมองมาที่เธอ ริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อเม้มเข้าหากันสนิทในตอนที่คิ้วคู่หนาขมวดเข้าหากันเป็นปม
น้ำอิงแอบมีความหวังลึก ๆ คิดว่าเขาคงจะลงมาช่วยด้วยความรู้สึกผิดที่ทำให้เธอบาดเจ็บ ไม่คิดเลยว่าวินาทีนั้นอีกฝ่ายจะเลื่อนมือออกมาแล้วชูนิ้วกลางใส่พร้อมกับคำสบถด้วยความหงุดหงิด
“อยากตายหรือไงป้า ออกมาไม่ดูตาม้าตาเรือ!” พูดจบแค่นั้นเขาก็เลื่อนปิดกระจกรถแล้วขับบึ่งออกไป
หญิงสาวได้อ้าปากค้างกลางอากาศด้วยความตกใจ รู้สึกช็อกจนพูดอะไรไม่ออก ดวงตาคู่สวยเหลือบมองตามหลังรถจนมันหายลับไปบนท้องถนน
“ไปหาหมอก่อนเถอะหนู” เสียงพลเมืองดีที่เข้ามาช่วยเอ่ยขึ้น แต่น้ำอิงก็ยังตั้งใจจะไปสอบสัมภาษณ์ให้ได้
“ไม่เป็นไรค่ะ...” หญิงสาวพยายามประคองตัวเองให้ลุกขึ้น มือเรียวกำเอกสารไว้ในมือแน่น รู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างไหลลงมาเสื้อ พอก้มลงดูก็พบว่าเสื้อสีขาวที่ใส่มาตอนเช้ามันกลายเป็นสีแดงเกือบทั้งตัว
“เลือด...” สิ้นเสียงนั้น น้ำอิงก็หมดสติไปทันที ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง รู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
พยาบาลที่เฝ้าดูแลอยู่ใกล้ ๆ เข้ามาช่วยประคองให้ลุกขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
“ยังเจ็บแผลอยู่ไหมคะ”
“ยังปวดนิดหน่อยค่ะ” เธอหันไปตอบพลางเหลือบมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง พอเห็นว่าเวลามันล่วงเลยมาจนถึงตอนเที่ยง หญิงสาวก็รีบเด้งตัวลุกจากเตียงด้วยความร้อนใจ “กระเป๋าหนูอยู่ไหนคะ หนูต้องไปสอบสัมภาษณ์”
“แต่คนไข้ยังเจ็บแผลอยู่นะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูยังไหว”
“เอ่อ...แต่ว่า...” พยาบาลต่างพากันงุนงงเมื่ออยู่ ๆ น้ำอิงก็ลุกพรวดทำท่าจะเดินออกไป
“ให้หนูไปเถอะค่ะ นะคะ”
“เอ่อ...ค่ะ งั้นคนไข้รอรับยาสักครู่นะคะ” อีกฝ่ายไม่มีทางเลือกจึงต้องรีบจัดเอกสารแล้วให้น้ำอิงไปรอรับยา “เบื้องต้นหมอตรวจแล้วไม่พบบาดแผลตรงอื่นนะคะนอกจากแผลที่ศีรษะ แต่ที่คนไข้เป็นลมน่าจะเป็นเพราะเลือดที่ออก...”
“ขอบคุณค่ะ” น้ำอิงรีบตัดบททั้งที่พยาบาลยังพูดไม่ทันจบ หญิงสาวรีบออกไปรอรับยาและจ่ายเงินก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปที่บริษัทติวเตอร์อีกครั้ง
“เขาสัมภาษณ์เสร็จไปตั้งแต่เช้าแล้ว มาตอนนี้คงจะได้งานอยู่หรอก” เสียงพนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าประตูบอกทำให้น้ำอิงเข่าอ่อนจนต้องหอบร่างกายไปนั่งที่ป้ายรถเมล์หน้าบริษัทเพราะทุกอย่างที่คิดไว้พังไม่เป็นท่า
“บ้าที่สุดเลย ไอ้บ้า!” น้ำอิงตะโกนออกมาสุดเสียง ทำให้คนที่อยู่ข้าง ๆ หันมามองกันเป็นทิวแถว แต่ใช่ว่าเธอจะสนใจ หญิงสาวก้มลงนับเศษเงินที่เหลือในกระเป๋าอีกครั้งเพราะเธอจ่ายค่าแท็กซี่จากโรงพยาบาลมาลงที่บริษัทอีกครั้งตอนนี้จึงไม่มีแม้แต่เงินนั่งรถเมล์กลับบ้าน
มือเรียวหยิบมือถือขึ้นมากดดูจำนวนเงินในแอปพลิเคชันธนาคาร เห็นว่าเป็นตัวเลขกลม ๆ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่เธอเก็บเอาไว้ผ่าตัดเหนือเมฆจึงไม่กล้าจะถอนมาใช้ ตัดสินใจเดินเท้ากลับบ้านแม้ว่าอาการบาดเจ็บตรงศีรษะจะทวีความเจ็บปวดขึ้นก็ตาม