มีน้องชายหัวดื้อ รั้นจะเอาชนะ

1267 คำ
ตัดสินใจรอรถสองแถว เพื่อไปลงที่ปากทางถนนใหญ่ เพื่อนั่งรถเมล์ ไปหาเพื่อนสนิท ซึ่งเขาตัดสินใจจะไปซ้อมกีต้าร์ ที่บ้านของฐานะยศ หรือไอ้ฐา เพื่อนรัก ซึ่งเพิ่งโทร.ไป และเพื่อนก็ตอบรับคำ “ฉันไม่รู้จะไปที่ไหน” เอ่ยบอกเพื่อนสนิทที่คบหาเรียนด้วยกันตั้งแต่ชั้นอนุบาลรวมทั้งชั้นประถมในละแวกบ้านพัก แยกย้ายจากกันเมื่อเรียนมหาวิทยาลัย ที่อยู่กันคนละคณะและมหาวิทยาลัย น้ำเสียงเศร้าทำให้อีกฝ่ายคาดเดาว่า “ทะเลาะกับพี่จอมอีกแล้วสิ”จึงพยักหน้า “ฉันพอเข้าใจว่ะ เรามันวัยรุ่น พี่แกก็อายุมากโขแล้ว อารมณ์มันต่างกัน”ก็ได้แต่เพียงพยักหน้ากับเพื่อน “วันนี้ฉันอยู่บ้านทั้งวัน ก็เพิ่งจะจบ สัปดาห์หน้าน้าของฉันจะฝากงานให้ทำอยู่แถว ถนนพระรามสี่” พูดถึงงานก็ดีใจที่เพื่อนอย่างฐานะยศซึ่งเพิ่งจบคณะนิติศาสตร์ เจ้าตัวคิดจะเรียนต่อเนติอีก เพื่อสอบเข้าเป็นผู้พิพากษา ตอนนี้กำลังสอบตั๋วเป็นทนายความ แต่ว่าน้าชายดันมาชวนให้เป็นพนักงานในบริษัท ฐานะยศอยู่ในระหว่างตกปากรับคำ แต่เมื่อน้าแท้ๆชวนอย่างนี้ เห็นจะปฏิเสธยาก เพราะคำของน้าก็เอ่ยว่า “จบแล้วก็จริง แต่งานทนายความมันก็หายาก ถ้าไม่มีเส้นสายหรือคนรู้จัก งานมันต้องทำงานอยู่ในสำนักงานกฎหมายไม่ใช่หรือ” ฐานะยศถอนหายใจ เขาจดจำคำพูดของน้าได้ “น้าเองก็ไม่มีเพื่อนทางนี้ เอ็งต้องหาสมัครเอาเองล่ะหรือจะสอบเข้าราชการพวกเจ้าหน้าที่กรมบังคับคดี หรือพนักงานเทศกิจเงินเดือนตามวุฒิปริญญาตรี เลือกเอา แกจะตามใจน้า หรือไม่ตาม” นี่แหละก็เหมือนกับเป็นความประสงค์ของน้าด้วย ภูวพลดีใจกับเพื่อนที่ เขาสามารถหางานทำได้ “ส่วนเรายังเลย จะลองไปสมัครทิ้งดูอีกวัน ที่สมัครไว้อาทิตย์ก่อน ยังไม่เรียกตัวเลย” ทั้งสองมีหัวใจเป็นดนตรีเช่นกันศิลปะความงามที่ประดิษฐ์คิดค้นในใจเพื่อคลายเครียด ผ่อนคลายจากความเครียดเหนื่อยล้า เสียงเพลงก่อให้เกิดความสุขสุขสรร เพราะกล่อมขับออกมาจากพลังภายในปอด ทั้งสองชอบเสียงเพลง ชอบร้องและแต่งเพลงเล่น จึงเข้าขากันเป็นอย่างมาก “ยัยมิ้ง น้องสาวของนายอยู่บ้านด้วยหรือเปล่า” ไม่รู้เป็นไงเอ่ยถึงเรื่องนี้ ทั้งๆที่ทราบอยู่ว่า ภูวพลมีแฟนสาวแล้ว เรียนอยู่ด้วยกัน จบพร้อมกันด้วย เพราะภูวพลมักคุยเอ่ยอวดโอ่กับเพื่อนฝูงถึงหญิงสาวหน้าหวานที่งดงาม คนนั้น เวลาพากันออกไปเที่ยวข้างนอก ที่ผับหรือ ช่วงวันสุดสัปดาห์ในโรงหนัง ก็ได้เห็นหน้าค่าตาแล้ว ฐานะยศมีคนรักเหมือนกันเรียกเป็นแฟนชื่อ กอฝ้าย “ถามทำไมถึงน้องสาวฉัน นายก็มีแฟนนี่หว่ามีอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า” “เปล่าที่ฉันถามก็เห็นว่าน้องสาวนายดูท่าจะไม่ชอบฉันสักเท่าไหร่” “คิดมากไปได้” “แต่ฉันคิดอย่างนั้น” “อ้าว งั้นเอาอย่างนี้ เลี่ยงนายไม่ให้เจอยัยมิ้งจอมจุ้นอย่างน้องสาวของฉัน เออมีที่หนึ่งว่ะที่เหมาะกับซ้อมดนตรีมากที่สุด” “ตรงไหนวะ” “สุดซอยบ้านของฉันไง มันมีลานโล่งวะเอาเสื่อไปปูด้วย ตรงนั้นเป็นบ้านร้าง ติดคลอง ดีซะอีกไม่มีคนรบกวน” ภูวพลเห็นว่าเข้าท่าเหมือนกัน เลยตกลง เลือกเอาสถานที่ซึ่งเป็นท้ายซอยติดคลองมีดงโสนกับกอผักบุ้ง และกระท่อมร้างที่เหมาะเจาะสำหรับนั่งเล่นกีร์ต้าร้องเพลง ใจของฐานะยศคิดโลดแล่นไปไกลเพราะเขาอยากจะเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงได้บันทึกเสียง วันนี้ภูวพลจึงขอทำใจสงบสักวัน แล้วเขาต้องแบกตัวเองไปพบกับปัญหาทางบ้าน ปัญหาการกีดกันทางรักที่แก้ไขไม่ได้ซักที เมื่ออยู่ในโลกส่วนตัวเช่นนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองสงบ ปล่อยใจไปกับการจินตนาการผ่านอารมณ์เสียงที่เปล่งเป็นธรรมชาติจากกระบังลมผ่านลำคอ เขาพยายามที่จะฝึกออกเสียงร้องเพลงที่ถูกต้อง ตามการร่ำเรียนจากรุ่นพี่ที่พอจะทราบบ้างว่า การร้องเพลงที่ถูกต้องนั้นร้องแบบไหนรวมทั้งการฝึกวอร์มเสียง ทำให้เสียงเกิดพลัง สำหรับภูวพลหรือพลก็คิดถึงเช่นกันมณีรัชดาไง แม้ว่าจะฮัมเพลงในขณะนี้จิตใจยังไพล่ไปนึกถึงแฟนสาวแสนสวยนั่นจนได้ ฐานะยศก็มองออกและเขาไม่ได้ว่าเพื่อนหรือเย้าแต่อย่างใด อาจจะเป็นเพราะว่าเขารู้ว่าเพื่อนคนนี้เจอแรงกระทบรอบด้านมามากเพียงพอแล้ว เลยมองด้วยความรู้สึกสงสารและเห็นใจมากกว่า จากนั้นจึงชะงักวางมือทิ้งที่สายกีต้าร์ “คิดถึงแฟน” ฐานะยศหลุดพูดออกมาคำหนึ่งมองเห็นอารมณ์เหงาๆกับใจที่ว้างๆ เหมือนคนยังเหม่อลอยอยู่ อีกฝ่ายแม้ไม่หันมาตอบทีเดียวแต่ก็พยักหน้า “แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง เห็นบอกว่าจบแล้วนี่” “ใช่ จบแล้ว พร้อมกันกำลังหางานทำนี่ล่ะ” หันมาพูดกับเพื่อนแล้วก็ยังทำสีหน้าเซ็งพร้อมหนักใจตอบ “มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้นหรอกนะเท่าที่ลองสมัครดูแล้วหลายที่ มันเงียบไปหมด ทำให้ฉันรู้ว่างานนี่มันหายากเหมือนกัน ที่เขาบอกว่าจบๆกันมาแล้ว หางานทำไม่ได้ ตกงานก็เพิ่งมาเจอกับตัวเอง” ฟังเพื่อนอธิบายเล่าให้ฟังฐานะยศรู้สึกเห็นด้วย แต่เขาก็ไม่รู้ที่จะช่วยยังไง เพราะตัวเองยังไม่ได้ทำงานเช่นกัน มัวแต่ฝึกซ้อมร้องเพลง เพราะความฝันที่ถูกแปลนอยู่ในหัวสมอง หากหล่อนนั้น มณีรัชดาไม่รู้จะออกไปไหน เพราะกรุงเทพไม่เหมาะสำหรับเธอเดินเที่ยวหรอก อีกทั้งมันกว้างขวาง ลำพังแค่เดินย่ำหางานจนรองเท้าแทบจะสึกไปหลายคู่ หนำซ้ำมาเจอแดดจัดจ้าอย่างนี้ด้วย ไม่รู้จะอ้าวอบไปถึงไหน ผิวของหล่อนถูกแผดเผาจนแทบว่าจะไหม้เกรียมด้วยซ้ำ แต่ไม่อยากบ่นมาก บ่นไปก็เท่านั้น นั่งในรถเมล์นานแสนนานรู้สึกอึดอัด พอลงจากรถได้รู้สึกโล่งไปหมด มณีรัชดานึกถึงงานในหัวสมอง ทำไมมันช่างหาได้ยากเย็นนัก เรียนจบมาแทบตาย ยังจะต้องเดินหางานหัวหกก้นขวิด กระทั่งรองเท้าสึกไปแล้วคู่หนึ่ง ถอนใจอีกครั้ง พรุ่งนี้คงเป็นเช่นเดิม แต่ในยามที่เธอนึกเบื่อมากเข้า มณีรัชดามักจะชอบแวะมาที่เดิม คือสถานที่หล่อนนัดพบกับภูวพล สถานที่กลางแจ้งซึ่งมีผู้คนมากมายหลากหลายอาชีพมาทำกิจกรรม สวมลุมพินีแห่งนี้ เห็นต้นไม้ใหญ่ทอดเงาร่มครื้ม น่าเดินเล่นพักผ่อน ใบสีเขียวทำให้สดใสและสดชื่นสายตา หล่อนชอบที่จะเดินเล่นเรื่อยเปื่อยรอบสระน้ำ มณีรัชดาเหมือนกับไม่มีที่ไป หญิงสาวเห็นว่าปอดใหญ่กลางกรุงแห่งนี้เป็นสถานที่น่าแวะมา ทั้งๆที่ฝั่งธนใกล้บ้านก็มีสวยธนบุรีรื่นรมย์แต่หล่อนก็ยังอยากลำบากนั่งรถเมล์มาที่สวนลุม
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม