“ถ้าหากพูดกันดีๆ ฬานาไม่ยอมแต่ง เราก็ต้องหาวิธีอื่นให้ฬานาแต่งงานให้ได้”
“คุณพี่รับจัดการนะคะ ขืนช้ากว่านี้ คุณเมธัสต้องมาทวงเงินคืนแน่ๆ” สรุตาเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“แน่นอน พี่จะรีบจัดการให้เร็วที่สุด”
อมลรับปากภรรยา ในหัวสมองเต็มไปด้วยความคิด ที่จะสรรหาวิธีส่งลูกสาวไปให้กับเมธัสให้ได้ง่ายๆ
พีรดาถอนหายใจลึกด้วยความเสียใจ ร่างบางเอนกายพิงผนังห้องพร้อมกับพึมพำออกอย่างหมดแรง
“โธ่...คุณพ่อ คุณแม่...ไปรับเงินของพวกเขามาทำไม”
พีรดาไม่อยู่ฟังบิดามารดาปรึกษากันต่อ ร่างบางเดินลากเท้าราวกับหนักอึ้งหนักหนาตรงไปยังห้องนอนของตนเอง พอเข้ามาในห้องแล้วก็ทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง มือเล็กยกขึ้นกุมศีรษะ คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดี
“เอายังไงดี ฬานา”
หญิงสาวพึมพำถามตัวเอง แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว
“หนี เราต้องหนี ไม่ยังงั้นต้องถูกคุณพ่อคุณแม่บังคับให้แต่งงาน”
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ร่างบางก็รีบผุดลุกขึ้นยืน คว้ากระเป๋าเป้ใบเล็กออกมาจากตู้เสื้อผ้า จากนั้นก็หยิบฉวยเสื้อผ้าสองสามชุด ของใช้ที่จำเป็นและเอกสารสำคัญต่างๆ ยัดใส่กระเป๋า เสร็จเรียบร้อยแล้วก็อาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ อยู่ในชุดที่ทะมัดทะแมงพร้อมสำหรับการหนีออกจากบ้าน
หลังจากตัดสินใจดีแล้ว พีรดาก็นั่งรอเวลาที่บุพการีทั้งสองหลับสนิท จากนั้นจึงหยิบกระเป๋าเป้สะพายขึ้นบ่า เดินออกจากห้องนอน ตรงไปยังห้องของบิดามารดา มือเล็กจับประตูห้องเปิดเบาๆ ก่อนจะเดินด้วยปลายเท้าไปที่เตียงนอน วางกระดาษแผ่นบางที่ตนเขียนข้อความขอโทษบุพการีทั้งสองไว้ตรงปลายทาง แล้วทรุดตัวลงนั่งกับพื้นก้มลงกราบตรงปลายเตียง พร้อมกับพึมพำเสียงสั่นเครือ
“ฬานาขอโทษที่ตัดสินใจเช่นนี้ หวังว่าคุณพ่อ คุณแม่จะเข้าใจและยกโทษให้กับ
ฬานาค่ะ”
พีรดาทอดสายตามองบุพการีทั้งสอง ท่ามกลางแสงสลัวของหลอดไฟบนหัวเตียงอยู่อีกชั่วขณะ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ตัดใจเดินออกจากห้อง ออกจากบ้านเพื่อไปเผชิญกับโลกใบใหม่ที่รออยู่ข้างหน้า...
สถานีขนส่งหมอชิต...
พีรดาเรียกใช้บริการรถแท็กซี่ให้มาส่งที่สถานีขนส่งหมอชิต เมื่อมาถึงแล้วก็ตั้งใจจะซื้อตั๋วรถบัสเพื่อเดินทางไปยังจังหวัดเชียงใหม่ เพราะที่นั่นมีฟาร์มเลี้ยงสัตว์หลายสิบแห่งด้วยกัน คงมีสักฟาร์มที่ประกาศรับสมัครสัตวแพทย์ประจำฟาร์ม
และขณะกำลังเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์ขายตั๋วรถบัสที่จะไปเชียงใหม่ ก็ได้ยินเสียงคนขายตั๋วตะโกนเรียกลูกค้า
“เพชรบูรณ์ครับ เพชรบูรณ์ ซื้อตั๋วทางนี้เลยครับ รถกำลังจะออกอีกหนึ่งชั่วโมงครับ”
“เพชรบูรณ์...”
เท้าเล็กชะงักอยู่กับที่ ผู้เป็นเจ้าของพึมพำอยู่ในลำคอ พลางนึกถึงคำพูดของเพื่อนที่เป็นสัตวแพทย์ด้วยกัน ซึ่งเคยบอกเธอว่าที่จังหวัดเพชรบูรณ์มีฟาร์มเลี้ยงวัว เลี้ยงม้ามากพอๆ กับจังหวัดทางภาคเหนือ และที่สำคัญฟาร์มเหล่านี้กำลังต้องการสัตวแพทย์เป็นอย่างมาก โอกาสที่เธอจะได้งานเป็นสัตวแพทย์ประจำฟาร์มน่าจะมีมากกว่าการไปหางานในจังหวัดเชียงใหม่
คิดได้เช่นนั้น พีรดาก็เปลี่ยนเป้าหมาย ตัดสินใจซื้อตั๋วเพื่อเดินทางไปจังหวัดเพชรบูรณ์แทน
“ตั๋วไปเพชรบูรณ์หนึ่งที่ค่ะ”
ใช้เวลาไม่กี่นาที ตั๋วรถบัสสำหรับเดินทางไปยังจังหวัดที่ขึ้นชื่อว่ามีมะขามหวานที่อร่อยที่สุดในประเทศไทยก็อยู่ในมือแล้ว
“สู้ๆ ฬานา เธอต้องผ่านเหตุการณ์นี้ไปให้ได้”
พีรดาให้กำลังใจตัวเอง และเมื่อถึงเวลาขึ้นรถบัส ก็ก้าวขึ้นไปนั่งในรถพร้อมกับกำลังใจที่มีอยู่เต็มเปี่ยม
งานวันหมั้นของพี่ชายฝาแฝดคืออัคนีกับธีราดา ได้ผ่านพ้นไปแล้วท่ามกลางความยินดีของทุกคนในไร่ธิปรก
และในวันนี้อัคคีก็เตรียมตัวเข้าไปในตัวเมือง เพื่อซื้อข้าวของเตรียมไว้สำหรับการทำบุญในวันเปิดป้ายฟาร์มของเขา ซึ่งรวมถึงการทำบุญขึ้นบ้านหลังใหม่ด้วย
เนื่องจากต้องซื้อข้าวของหลายรายการ และต้องไปซื้อจากหลายๆ ร้านค้าด้วย
กัน อัคคีจึงอยากได้ลูกมือสักคนไปช่วยถือข้าวของ พอเดินออกมาจากตัวบ้าน ก็กวาดสายตามองหาคนงานกิตติมศักดิ์ประจำฟาร์มของนายไฟ
และก็เห็นคนงานทั้งสอง นั่งอยู่บนเก้าอี้หินอ่อนด้านหน้าบ้านพัก พูดคุยปรึกษากันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทว่าสีหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดจนเขาอดออกปากเอ่ยถามไม่ได้
“ลุงชาญ ลุงสน ทำอะไรอยู่ ทำไมพากันทำหน้ายุ่งยังกับหมากรุกล่ะครับ”
“คุณไฟ!!”
“ลุงชาญ ทำไมต้องตะโกนเรียกซะเสียงดัง อยู่ใกล้กันแท้ๆ พูดเบาๆ ก็ได้ครับ”
อัคคีเอ่ยแซว หลังจากลุงชาญตะโกนเรียกเขาเสียงดัง แถมยังทำท่าตกใจที่เห็นเขาด้วย ชวนให้น่าสงสัยยิ่งนัก
“เอ่อ คุณไฟมายืนอยู่ตรงนี้นานหรือยังครับ” ลุงสนเอ่ยตามอย่างระแวดระวังจนอัคคีจับความรู้สึกได้
“ผมเพิ่งมาเมื่อสักครู่ครับ”
อัคคีตอบ แล้วเอ่ยถามกลับคืนพร้อมกับหรี่ตากวาดมองลุงทั้งสอง ซึ่งมีท่าทีลึก
ลับซะเหลือเกิน
“ทำไมลุงๆ แลดูน่าสงสัย กำลังวางแผนทำอะไรหรือเปล่าครับ”
“เปล๊า...ไม่ได้ทำอะไรเลย” ลุงชาญส่ายหน้าดิกขณะเอ่ยตอบเสียงสูง
“ปฏิเสธเสียงสูงแบบนี้แปลว่าต้องโกหกแน่ๆ”
อัคคีเอ่ยดักคอ และเมื่อเห็นลุงสนขยับกายทำท่าจะลุกขึ้นเดินหนี ก็รีบคว้าดึงตัวเสื้อไว้ซะก่อน
“จะหนีไปไหน ลุงสน...”
“เปล่า ไม่ได้หนี ลุงแค่เอ่อ...จะไปทำงานนะครับ”
ลุงสนปฏิเสธเสียงอึกอัก พยายามขยับกายให้พ้นจากฝ่ามือของอัคคี ซึ่งยังจับยึดเสื้อของเขาไว้แน่น
“รีบหนีแบบนี้ชวนให้น่าสงสัยว่าต้องทำอะไรผิดไว้แน่ๆ”
“ไม่มี” ลุงสนปฏิเสธ ยังคงยืนกรานเป็นกระต่ายขาเดียว
และลุงชาญก็รีบปฏิเสธเสียงสูง เมื่อเห็นสายตาของอัคคีหันมาจ้องมองเขม็งอย่างหาเรื่อง
“ไม่มี๊ ไม่มีเหมือนกันครับ”