สามวันเต็ม ๆ กว่ารถม้าคันเล็กจะมาถึงเมืองหยางแต่พวกเขากลับเบนหน้ารถม้าไปเส้นทางอื่นไม่เข้าสู่ตัวเมืองอย่างที่หลินหลานคิดเอาไว้ ทว่านางก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่ในรถม้าอย่างสงบเพราะความไว้เนื้อเชื่อใจที่ให้กับอี้สงชายหนุ่มที่ช่วยเหลือนางมาตั้งแต่ต้น
“พวกเขาคงไม่ได้พาเราไปหาท่านอ๋องหรอกนะเจ้าคะคุณหนู” ไม่ใช่แค่หลินหลานคิดไปคนเดียวแม้แต่เสี่ยวจูก็ยังอดสงสัยไม่ได้หากพวกนางไม่เข้าไปอยู่ในตัวเมืองหยาง และที่นอกเมืองนั่นก็มีแค่ค่ายบูรพาเท่านั้นที่นางพอจะคิดออก
“อย่าตีโพยตีพายไปเลยเสี่ยวจู ต่อให้พาไปหาท่านอ๋องแล้วอย่างไรอย่างน้อยข้าก็มั่นใจว่าลูกจะปลอดภัย” หลินหลานก็แค่พูดเพื่อให้ตัวเองสบายใจทั้งที่จริงแล้วหัวใจของนางเต้นโครมครามดั่งกลองศึก หากต้องเผชิญหน้ากับคนผู้นั้นนางก็ยังคิดไม่ออกว่าจะต้องแสดงสีหน้าเช่นไร
เป็นเวลาครึ่งชั่วยามเห็นจะได้รถม้าก็หยุดนิ่งหลินหลานได้แต่หลับตาและนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นเพราะยามนี้นางไม่อยากจะเจอหน้าของท่านอ๋องเลยจริง ๆ
“ถึงแล้วขอรับคุณหนูลงมาเถอะ”
เสียงของอี้สงและความเงียบรอบตัวทำให้หลินหลานรวบรวมความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความจริง แต่พอก้าวขาออกมาจากรถม้าเท่านั้นสองสาวถึงได้ยิ้มออก ที่นี่คือที่ไหนก็ไม่รู้แต่ที่แน่ ๆ ไม่มีคนผู้นั้นและที่นี่ก็ไม่ใช่ค่ายทหารอีกทั้งยังร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่และงดงามไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์มันทำให้พวกนางโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
“บ้านของใครหรือหัวหน้าอี้ ช่างงดงามนัก” นางอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา
“ทรงเชื่อใจกระหม่อมแล้วหรือไม่”
อื่อ~ หลินหลานยิ้มให้พร้อมผงกหัวรับ
“ถ้าเชื่อใจกระหม่อมแล้วก็ไปพบกับเจ้าของบ้านกันเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หลินหลานและเสี่ยวจูเดินตามอี้สงไปอย่างว่าง่ายแต่พออี้สงเปิดประตูเท่านั้นก็มีสตรีร่างบางโถมตัวเข้าหาชายหนุ่มอย่างรวดเร็วจนเขาตั้งตัวไม่ทันรวมทั้งหลินหลานและเสี่ยวจูด้วย
“ซูเจินข้ามี...”
อุ๊บ~ ยังพูดทันไม่จบปากบางเจ้าของนามซูเจินก็ประกบเข้ากับปากหนาอย่างแนบแน่นและเกิดเสียงจ๊วบจ๊าบน่าอายเมื่อนางดูดปากของชายหนุ่มอย่างแรง แต่อี้สงก็ไม่ได้ว่าอะไรเขาก็แค่ปล่อยให้นางกระทำจนกว่านางจะพอใจโน่นแหละปากหนาถึงจะได้รับอิสระ แต่แล้วเขาก็ถูกนางผลักออกอย่างแรง
“พวกนางสองคนนั่นเป็นใคร” ซูเจินเพิ่งจะเห็นว่าคนรักไม่ได้มาเพียงลำพังแต่ยังพกพาสตรีมาด้วยตั้งสองนาง
“ก็พี่สะใภ้ของเจ้า..ไม่ใช่เอ้อสงบอกแล้วหรือว่าข้าจะพาใครมาด้วย”
“เอ้อสงเจ้าเด็กบ้าเขาบอกแค่ว่าท่านจะมาหาข้า” เมื่อคิดถึงหน้ากวน ๆ ของเอ้อสงเจ้าน้องชายของคนรักซูเจินก็ได้แต่ปลงเพราะหวังจะเอาสาระกับเด็กน้อยคนนี้เห็นทีจะยาก
“ซูเจินไปล้างหน้าก่อนดีหรือไม่ เจ้าคงจะไม่ต้อนรับพี่สะใภ้ด้วยใบหน้าบวม ๆ เช่นนี้หรอกใช่ไหม”
“อ้อ..คิก ๆ ข้าขอตัวก่อนนะพี่สะใภ้ อี้สงท่านพาพี่สะใภ้เข้าบ้านก่อนสิ” สตรีร่างบางแต่หน้าบวมฉึ่งเพิ่งจะรู้ตัวว่าใบหน้าของนางไม่ได้อยู่ในรูปลักษณ์ที่ปกติ
ทุกอย่างรวดเร็วมากจนหลินหลานและเสี่ยวจูจับต้นชนปลายไม่ถูก อี้สงกับสตรีร่างบางผู้นี้ดูอย่างไรก็คือคู่รักอย่างไม่ต้องสงสัยแต่ที่บอกว่านางเป็นพี่สะใภ้นั้นเล่ามันคืออะไรกัน
“เชิญเข้าข้างในบ้านก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะเดี๋ยวกระหม่อมจะอธิบายให้กระจ่างเอง”
เมื่อทั้งหมดเข้ามานั่งอยู่ในห้องโถงของตัวบ้านไม่นานนักก็มีสตรีร่างบางที่มีใบหน้างดงามหมดจดเดินเข้ามาพร้อมกับถาดน้ำชาในมือ อี้สงเห็นอย่างนั้นก็กุลีกุจอเข้าไปรับอย่างไว
“พี่สะใภ้ข้าขอพูดแบบธรรมดานะ ข้าไม่ได้อยู่ในรั้วในวังมานานจนลืมไปหมดแล้วว่าต้องทำตัวเช่นไร คิก ๆ” ซูเจินพูดกับผู้มาเยือนอย่างเป็นกันเอง
“อ้อ ตามสบายเลยข้าก็ไม่ชอบพิธีรีตองเช่นกัน” หลินหลานตอบรับ
“พี่สะใภ้ยื่นมือมาสิ ไม่ต้องคิดมากหรอกข้าเป็นหมอนะ”
ถึงจะยังงง ๆ อยู่แต่หลินหลานก็ยื่นมือให้หญิงสาวอยู่ดี
“อืม..” ซูเจินจับชีพจรของพี่สะใภ้อยู่พักหนึ่งนางก็ถอนหายใจน้อย ๆ อย่างโล่งอก
“เจ้าก้อนแป้งยังอยู่ดี โชคดีจริงที่เขาไม่เป็นอะไร มาอยู่กับข้ารับรองจะปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูก พี่สะใภ้ไม่ต้องกลัวอะไรและไม่ต้องกลัวใครทั้งสิ้น”
“เอ่อ..ให้ข้าถามหน่อยทำไมท่านถึงได้เรียกข้าว่าพี่สะใภ้เล่า”
“ทายสิ”
“ไม่ข้าทายไม่ถูกหรอก” หลินหลานแค่ไม่อยากจะทายเพราะกลัวสิ่งที่นางคิดไว้มันจะถูก ลางสังหรณ์ของนางมักจะเป็นแบบนั้นเสมอ
“ข้าจ้าวซูเจินพี่ชายของข้าคือองค์จักรพรรดิแคว้นจ้าว”
“และอีกคนคือชินอ๋องสินะเจ้าคะ”
“ถูกต้องแล้ว”
“ท่านก็คือองศ์หญิงที่หายสาปสูญ”
“จิ ๆ ๆ พวกเขาพูดถึงข้าเช่นนั้นหรือ ใครหายสาปสูญกันเดือนที่แล้วเสด็จแม่ไทเฮายังมาเยี่ยมข้าอยู่เลย” องค์หญิงซูเจินเหลือบตามองบนนางสุดแสนจะระอากับคำนินทาของผู้คน
“แล้วทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะเจ้าคะ”
“ข้าเบื่อเมืองหลวง ข้าเบื่อคน ข้าอยากเป็นหมอ ข้าไม่อยากแต่งงานกับคนที่ไม่รัก พี่ชายของข้าเขารังแกพี่สะใภ้ใช่ไหมถึงได้มีเจ้าตัวน้อยนี่ พูดมาเถอะนินทาเขาให้ข้าฟังบ้างก็ได้”
“ซูเจินนางเพิ่งเดินทางมาเหนื่อย ๆ และคนท้องก็ต้องการพักผ่อน”
“ก็ได้ ๆ แต่คืนนี้พี่อี้ต้องเล่าเรื่องของคนเมืองหลวงให้ข้าฟังทั้งหมดเข้าใจไหม ไปกันเถอะพี่สะใภ้ข้าจะพาท่านไปล้างตัวแล้วก็พักผ่อนตื่นขึ้นมาข้าจะทำของอร่อยให้กิน”
“เอ่อ..ข้าควรต้องเรียกท่านว่าองค์หญิงดีไหมเพคะ” พอรู้สถานะขององค์หญิงซูเจินหลินหลานก็ไม่อยากจะตีตนเสมอท่านถึงนางจะแต่งกับท่านอ๋องแต่ก็แต่งเป็นแค่ชายารองที่ไม่มีใครให้ความสำคัญเลยและคงจะเป็นได้แค่นั้น
“พี่สะใภ้ข้าบอกแล้วว่าให้พูดธรรมดา”
“แล้วจะให้ข้าเรียกท่านว่าอย่างไรดีล่ะในเมื่อท่านก็อายุมากกว่าข้า” หลินหลานรู้สึกสับสนเมื่ออีกคนก็เรียกนางว่าพี่สะใภ้ทั้งที่อายุมากกว่านางหลายปีจะเหลือก็แต่ให้นางเรียกพี่หญิงนั่นแล้ว
“เรียกท่านหมอหรือหมอซูก็ได้ อ้ออีกนามหนึ่งคือหมออัปลักษณ์ผู้คนมักเรียกข้าแบบนี้”
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอเรียกท่านว่าหมอซู หากจะให้เรียกหมออัปลักษณ์ข้าว่ามันจะไม่เหมาะกับใบหน้างาม ๆ ของท่านเอาเสียเลย”
“คิก ๆ รอให้เห็นตอนข้าแปลงโฉมบ่อย ๆ ก่อนเถอะแล้วพี่สะใภ้จะคิดชื่อแช่ของข้าไม่ออกเลยทีเดียว”
สตรีสองนางที่เพิ่งจะพานพบและพวกนางก็ได้สนทนากันอยู่นานดั่งกับเป็นสหายรักเก่าแก่เสียงหัวเราะดังออกมาเป็นระยะ ๆจากเรือนหนึ่งไปสู่เรือนหนึ่ง
‘ท่านอ๋องท่านเคยได้ยินเสียงหัวเราะขององค์หญิงหรือไม่ ซูเจินไม่ได้เอาแต่ใจหรอกนะเพียงแต่นางรู้จักเลือกคบคนเท่านั้นเอง’ ความในใจขององครักษ์หนุ่มที่อยากจะฝากไปให้ถึงนายของตน