สองจิต หนึ่งใจ 3

2015 คำ
สองจิต หนึ่งใจ 3 ช่วงเวลาบ่ายฉันหลับอยู่บนเตียงพร้อมกับเด็กน้อยตัวเล็ก ตอนนี้แม่เธอไม่อยู่แล้วจะเป็นอะไรไหมถ้าหากฉันจะแทนตัวเองว่าหม่าม๊าแล้วเรียกเธอว่าลูกเหมือนอย่างเคยที่เธอเรียกตอนอยู่กับแม่เธอ ฝ่ามืออุ่นลูบที่เรือนผมเล็กอย่างรู้สึกผิด เพราะฉันหรือเปล่าที่เข้ามาอยู่ในร่างแม่เธอจนแม่เธอไม่ได้กลับมาอยู่กับเธอเด็กน้อย แม้ฉันและเจ้าของร่างจะมีใบหน้าที่เหมือนกันราวกับแกะกันมา แต่เพราะนี่ไม่ใช่ร่างฉันจริง ๆ เลยรู้สึกผิดที่ตื่นขึ้นมาในร่างนี้แล้วทำให้แม่ลูกไม่ได้อยู่ด้วยกัน “หม่าม๊าขา...” เด็กน้อยที่เพิ่งตื่นเอ่ยเรียกเสียงหวานก่อนจะคลานมานอนหนุนตักฉันไว้ ใบหน้าจิ้มลิ้มถอดผู้เป็นพ่อมาอยู่มากแต่ดวงตาหวานนี่กลับเหมือนกับผู้เป็นแม่ “หนูเทียนหิวข้าวแล้วค่ะหม่าม๊า” หนูเทียน คือชื่อของเด็กตรงหน้า ฉันน่ะเปิดดูหมดแล้วทั้งชื่อนามสกุลของหนูเทียนและข้อมูลของร่างนี้ รวมถึงโทรศัพท์ของเจ้าของร่างที่ฉันถือวิสาสะเปิดดูซึ่งไม่มีอะไรเลยในไลน์มีเพื่อนในนั้นแค่ห้าคน สองคนแรกเธอบันทึกชื่อว่าพี่อาทิตย์และพี่ตะวัน อีกสองไลน์คล้ายกับเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนหนูเทียน และไลน์สุดท้ายคือไลน์ที่บันทึกได้ว่าคุณคิมหันต์ ช่องแชตของไลน์ที่ชื่อคิมหันต์มีเพียงเจ้าของร่างส่งข้อความไปหาเยอะมาก แต่ข้อความที่ส่งกลับมามีแต่คำว่ายุ่ง รำคาญ อย่ามายุ่ง ไม่กลับ มีแค่นี้เลย มองออกเลยว่าชีวิตคู่พวกเขาไม่ได้ราบรื่นมากนัก “หนูเทียนอยากกินอะไรคะ” “หนูเทียนอยากกินไก่ทอดค่ะ” เด็กน้อยแก้มแดงเอ่ยบอก “งั้นหนูเทียนต้องล้างหน้าก่อนนะคะเดี๋ยวหม่าม๊าทำให้ ดีไหม” ขอโทษนะเจ้าของร่างต่อไปขอแทนตัวว่าหม่าม๊านะคะ “เย้!” หนูเทียนร้องดีใจ ขยับลงจากเตียงนอนเพื่อไปเข้าห้องน้ำ ฉันเดินตามเข้าไปช่วยล้างหน้าก่อนจะชวนให้ไปเดินลงไปข้างล่างด้วยกัน เมื่อทำมื้อเย็นกินด้วยกัน ระหว่างที่เตรียมทำไก่ทอด หนูเทียนนั่งเล่นตุ๊กตาผ้าที่เจ้าตัวหยิบติดมือลงมาด้วย ฉันหุงข้าวสำหรับสองคนและเริ่มเปิดตู้เย็นมองหาไก่ ระหว่างที่กำลังทอดไก่ คนที่ไม่คิดว่าจะเจอก็เจอเข้าเสียแล้ว เจ้าของบ้านที่แท้จริงเดินเข้ามาในห้องครัวพร้อมกับมองฉันนิ่ง ๆ เป็นฉันเสียเองที่มองเมินและไม่ได้มองหรือพูดคุยกับเขา “ทำอะไรอยู่ลูก” เสียงคนมาใหม่เอ่ยถามหนูเทียน “...” แต่เด็กน้อยไม่ได้เอ่ยตอบและเล่นตุ๊กตาตัวเองต่อ ไม่สนใจคนที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่นั่นเลย “ทำอะไรกินเหรอ?” คราวนี้เป็นฉันที่เขาเอ่ยถาม ฉันไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าของร่างคนเดิมมีอาการยังไงเมื่อเจอกับผู้ชายคนนี้แต่ตอนนี้ฉันไม่ใช่เธอคนนั้น สิ่งที่ฉันเห็นตลอดมาตั้งแต่ฟื้นเขาดูไม่ได้รักไม่ได้สนใจสองแม่ลูกนี้เลยสักนิดและฉันเองก็ไม่ควรจะมองหรือสนใจเขาเหมือนกัน “หนูเทียนหม่าม๊าทำเสร็จแล้วเราไปกันเถอะค่ะ” เอ่ยชวนเด็กน้อยที่มองไก่ทอดตาเป็นมัน ฉันตักข้าวใส่จานอาหารใบเล็กน่ารักของหนูเทียนก่อนจะตักข้าวให้ตัวเอง จากนั้นก็ยกทั้งจานข้าวและกับข้าวใส่ถาดอาหารขยับอ้อมไปอีกฝั่งเพื่ออุ้มหนูเทียนลงจากโต๊ะ “เราไปตรงนั้นได้ไหมคะหม่าม๊า” นิ้วเล็กชี้ไปยังชุดโต๊ะเก้าอี้ใต้ต้นไม้หลังบ้าน ตอนนี้เริ่มเย็นแล้วทำให้แดดไม่แรง พาไปนั่งกินตรงนั้นคงไม่เป็นอะไร “ได้ค่ะ เดี๋ยวหม่าม๊าเอาน้ำก่อน” “หนูเทียนถือน้ำให้เอง” คนตัวเล็กเอ่ยอาสาอย่างน่ารัก ขวดน้ำเปล่าสองขวดถูกส่งให้คนตัวเล็ก จากนั้นเราทั้งสองคนเดินไปสวมรองเท้าแล้วเดินไปด้านหลังบ้านเพื่อนั่งกินมื้อเย็นด้วยกัน ไม่มีใครสนใจเจ้าของบ้านเลยสักนิด เก่งมากทิวา ทั้งเธอในตอนนั้นหรือฉันในตอนนี้ เธอเก่งมากที่อดทนสู้เพื่อลูกสาวแม้คนอื่นจะมองเธอยังไงก็ช่างแต่ต่อไปฉันจะดูแลและปกป้องรอยยิ้มและความสุขของเธอเอง หนูเทียนฉันจะช่วยดูแลเองอย่าได้ห่วงเลย “หม่าม๊าขา” “ขา ว่ายังไงคะ” ขานรับมือก็ช่วยฉีกไก่ให้เป็นชิ้นเล็ก คนตัวเล็กเคี้ยวข้าวจนแก้มตุ่ยเลย น่ารักมาก “หม่าม๊าหายเจ็บหรือยังคะ” “หม่าม๊าหายเจ็บแล้วค่ะ ไม่เจ็บปวดแล้ว” เอ่ยตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้คนตัวเล็กตรงหน้าได้คลายกังวล มื้อเย็นระหว่างเราทั้งสองคนผ่านไปอย่างเชื่องช้า กินข้าวเสร็จท้องฟ้าก็เริ่มมืดพอดี เราช่วยกันเก็บของแล้วเดินกลับเข้าบ้าน ฉันล้างจานทำความสะอาดหนูเทียนก็นั่งกินแอปเปิลที่ฉันปอกเปลือกและหั่นเป็นชิ้นที่โต๊ะกินข้าว น่าแปลกตรงไหนรู้ไหม ก็ตอนที่พวกเราสองคนกลับเข้ามาในบ้านเจ้าของบ้านอีกคนที่เอาแต่เดินตามและชวนคุย คุยกับหนูเทียนก็ไม่ได้คำตอบ ถามฉันก็ไม่ได้คำตอบ เหมือนเขานั่งคุยคนเดียวเสียมากกว่า “พรุ่งนี้ผมจะให้แม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดบ้านนะ ไม่ต้องทำเองแล้ว” “...” ในความทรงจำที่นึกได้ บ้านหลังนี้หม่าม๊าของหนูเทียนทำความสะอาดเอง รวมถึงเสื้อผ้าและอาหารที่จัดการด้วยตัวเองยกเว้นเพียงแค่ห้องและเสื้อผ้าของใช้ของผู้ชายคนนี้ที่หนูเทียนไม่มีโอกาสได้ทำหรือได้แตะเพราะถูกสั่งห้ามเข้าห้องนอนใหญ่ซึ่งเป็นห้องของผู้ชายคนนั้น หนูเทียนถูกสั่งให้นอนแค่ห้องนอนเล็ก ใช่แล้วห้องนั้นเป็นห้องนอนเล็กที่สุดของบ้านแล้วก็ว่าได้ “หนูเทียนเดี๋ยวพรุ่งนี้ปะป๊าไปส่งหนูเทียนนะคะ” เมื่อฉันไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบโต้เขาก็หันกลับไปคุยกับหนูเทียนแทน แต่เด็กน้อยวัยห้าขวบกลับนั่งกินแอปเปิลเงียบ ๆ ไม่ได้ตอบโต้กลับไป จนคนถามหน้าถอดสี “หม่าม๊าขา” เสียงหวานเอ่ยเรียก “ขาลูก ว่ายังไงคะ” ขานรับมือก็ล้างจานใบสุดท้ายเตรียมยกขึ้นวางตากให้แห้ง “หนูเทียนอยากขึ้นห้องเราแล้วค่ะ” “ได้ค่ะ หม่าม๊าเสร็จแล้วเราไปกันค่ะ” บอกลูกมือก็เช็ดกับผ้าให้แห้งจากนั้นก็จับมือหนูเทียนเดินออกจากห้องครัวโดยมีสายตาหนึ่งคู่ลอบมองมาตลอดการก้าวเดิน เขาคนนั้นไม่อยู่ให้นายรู้สึกผิดแล้ว มันสายไปแล้วล่ะ ฉันอยากจะบอกเขาแบบนั้นจริง ๆ แต่สิ่งที่ทำได้คือเงียบเท่านั้น เช้าวันแรกของการทำหน้าที่หม่าม๊าของหนูเทียน ฉันก็อยากจะตีตัวเองแรง ๆ เหลือเกิน เด็กน้อยตรงหน้าน่ารักเหลือเกินยามอยู่ในชุดนักเรียนอนุบาล เตรียมทุกอย่างใส่กระเป๋าเสร็จเรียบร้อยฉันก็พาลูกออกจากบ้านเมื่อคนตัวเล็กนั่งที่คาร์ซีทฉันก็ปิดประตูรถเตรียมพาลูกไปโรงเรียน หากไม่ติดว่ามีคนตัวสูงเดินเข้ามายืนดักหน้าไว้ก่อนขึ้นรถเสียก่อน “รอก่อนผมจะไปส่งลูกด้วย” “...” “อย่ามาเงียบใส่แบบนี้นะทิวา” “แล้วต้องพูดอะไรคะ?” ฉันทวนถาม ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าคนที่เคยละเลยลูกแท้ ๆ ตัวเองตอนนี้ทำไมถึงทำเหมือนอยากจะกลับเข้ามาดูแลพวกเขาด้วยล่ะ “รอ...” “ทำไมต้องรอ? ถอยด้วยค่ะ” “ทิวา” “ค่ะ นั่นชื่อฉัน รบกวนคุณคิมหันต์ถอยออกไปด้วยค่ะ มันเสียเวลา” “คุณ?” “ค่ะ ทำไมคะฉันเรียกผิดเหรอ หรือมีชื่อเรียกของคนที่คุณเกลียดให้เรียกแยก ถ้ามีก็บอกค่ะจะได้เรียกถูก” ภายในใจฉันตอนนี้อยากจะด่าผู้ชายคนนี้ด้วยถ้อยคำหยาบคายหลาย ๆ ประโยคแต่ก็ทำได้แค่คิดเพราะตัวฉันไม่กล้าที่จะทำแบบนั้นจริง ๆ เมื่อเขายังยืนนิ่งฉันจึงเปิดประตูกระแทกร่างเขาจากนั้นก็รีบแทรกตัวขึ้นมานั่งบนรถ รัดเข็มขัดนิรภัยเสร็จก็รีบถอยรถออกจากบ้านเพื่อไปส่งหนูเทียนทันที “หม่าม๊าจะร้องไห้หรือเปล่า?” เด็กน้อยที่นั่งบนคาร์ซีทเบาะด้านหลังเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกังวลใจ เด็กขนาดนี้ทำไมมีความรู้สึกหลากหลายจังเลยลูก ตั้งแต่จำความได้หนูต้องเจอกับอะไรบ้างนะ “ไม่ค่ะ หม่าม๊าไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ ทำไมหนูถึงถามหม่าม๊าแบบนี้ลูก” ถามกลับไปด้วยความสงสัย แต่เพราะคำตอบของเด็กน้อยทำให้ผู้ใหญ่อย่างฉันถึงกับสะอึกนิ่งไปเช่นเดียวกัน “เพราะทุกครั้งที่ปะป๊าคุยกับหม่าม๊า หม่าม๊าจะร้องไห้หนูเห็นหม่าม๊าร้องไห้ทุกคืนเลย หม่าม๊าแอบแต่หนูก็เห็น” โรงเรียนอนุบาลมีระบบการดูแลอย่างดี ฉันวนรถส่งลูกสาวเสร็จ คนตัวเล็กโบกมือลาบอกว่าเจอกันตอนเย็นนะคะหม่าม๊าแล้วเจ้าตัวเล็กก็วิ่งเข้าเรียนโดยมีคุณครูวิ่งตาม ซนจังเลยนะ ต่างจากตอนที่อยู่บ้านจริง ๆ ส่งหนูเทียนเสร็จฉันไม่รู้เลยว่าควรจะไปไหน จึงตัดสินใจขับไปที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งที่เงียบสงบ มีคนเดินเล่นผ่านไปมาบ้างประปราย ส่วนฉันได้แต่นั่งที่เก้าอี้มองสระน้ำกว้างนี้เงียบ ๆ พลางนั่งคิดอะไรกับตัวเอง เกือบสองชั่วโมงที่นั่งคิดก็สรุปกับตัวเองได้ว่าเจ้าของร่างชื่อทิวาซึ่งทั้งชื่อเล่น ชื่อจริง วันเดือนปีเกิด หน้าตา ทุกอย่างเราเหมือนกันราวกับโคลนนิ่งออกมา ส่วนสาเหตุที่ทำให้ฉันมาอยู่ในร่างของทิวาฉันไม่รู้เลยว่าเป็นเพราะอะไร ส่วนเรื่องทิวากับสามี สิ่งที่เห็นตั้งแต่แรกคือสามีคนนั้นไม่ได้สนใจทิวาและหนูเทียน มีเพียงทิวาที่เข้าหาพูดคุยและพยายามดูแลผู้ชายคนนั้น สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงคำต่อว่าและสีหน้าท่าทางติดจะรำคาญ ส่วนเรื่องที่ทั้งคู่ต้องแต่งงานกันฉันไม่รู้เลย ตอนนี้ฉันต้องมานั่งคิดกับตัวเองว่าต้องทำยังไงต่อไป เพราะดูแล้วทิวาคนก่อนไม่ได้ทำงานเป็นหลักแหล่งมีเพียงรับงานเป็นจ็อบเวลาส่วนมากจะดูแลลูกและใช้เวลาอยู่กับลูกเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับสามีว่าให้เงินใช้หรือเปล่า “แล้วต้องทำยังไงเนี่ย สมัครงานก่อนเลยดีไหม ค่าเทอมหนูเทียนก็น่าจะแพงด้วย” พึมพำถามตัวเอง ระหว่างที่นั่งคิดไม่ตกอยู่นั้นโทรศัพท์ฉันก็มีสายเรียกเข้ามาเป็นเบอร์ที่บันทึกไว้ว่าชื่อ พี่อาทิตย์ คนนี้คือพี่ชายคนโตใช่ไหม “สวัสดีค่ะ” (ทิวา ทิวาใช่ไหม?) “ค่ะ ทิวาเอง เอ่อ คือ...” ฉันจะพูดยังไงดี พูดยังไงให้อีกฝ่ายเข้าใจเรื่องราวพวกนี้ เพราะนี่ถือว่าเป็นคนในครอบครัวเขาไม่กี่คนเท่านั้น (วามาหาพี่ที่ร้านนะ มาหาพี่) “...” (จำได้ใช่ไหม ร้านของครอบครัวเรา) “ค่ะ” ค่ะพี่จำไม่ได้ ทำไมไม่บอกคุณพี่เขาไปตามตรงทิวา! โอ๊ย อยากจะตีตัวเองแรง ๆ อีกแล้วสิ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม