สองจิต หนึ่งใจ 1
สองจิต หนึ่งใจ 1
“คุณคิม! คุณจะไปไหน!?”
“ผมจะไปไหนก็เรื่องของผม อย่ามายุ่งจะได้ไหม!”
“ไม่นะ คุณหยุดเลยนะ อย่าไปนะ!!”
“หยุดจุ้นจ้านเรื่องของผมสักทีมันน่ารำคาญ! ต่างคนต่างอยู่สิไปวะ!”
ภาพสองชายหญิงทะเลาะกัน พร้อมกับร้องตะโกนใส่กันอย่างไม่มีใครคิดยอมใคร หญิงสาวเข้าไปดึงแขนผู้ชายไว้ก่อนจะถูกสะบัดแขนใส่จนล้มลงบนพื้น ชายหนุ่มปรายตามองนิ่ง ๆ ก่อนจะออกจากบ้านไม่ได้สนใจเสียงร้องไห้เจียนจะขาดใจของหญิงสาวเลย
“เมื่อไหร่แกจะหย่ากับลูกชายฉัน”
“...”
“รีบหย่าสิ ไม่เห็นเหรอว่าลูกชายฉันมีคนรักอยู่แล้ว” หญิงมีอายุเอ่ยบอกกับหญิงสาวที่พยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก ก่อนจะปรายตามองผู้หญิงที่อยู่ไม่ไกลจากตัว
“อย่ามามองหน้าฉันนะ!” ฝ่ามือเหี่ยวตวัดใส่ใบหน้าเล็กพร้อมกับบริภาษหญิงสาว ถ้อยคำหยาบคายถูกเอ่ยขึ้นมาอย่างไร้การตริตรอง
"แกมันก็แค่คนที่ลูกฉันต้องรับผิดชอบ รีบหย่ากับลูกฉันซะ!”
“...”
“เพราะพวกฉันไม่มีทางยอมรับแก ยัยโง่!”
เฮือก!
คล้ายกับแรงผลักให้สะดุ้งตื่น ทันทีที่ลืมตาตื่นก็มักจะพบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน ความฝันที่ฉันฝันติดต่อกันตลอดหกวันและคืนนี้ก็เป็นคืนที่เจ็ดแล้วที่ฉันฝันถึงเรื่องราวแบบเดิม คำพูดเดิม เหตุการณ์เดิม และคนที่ฝันถึงก็ยังคงเป็นคนเดิม
ฉันไม่รู้เลยว่าทำไมตัวเองถึงต้องฝันแบบนี้หลายคืนติดต่อกัน แต่ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาฉันมักจะรู้สึกเจ็บปวดและหน่วงที่หน้าอก บางทีก็ร้องไห้ตามกับเหตุการณ์นั้น ความเจ็บปวดที่ผู้หญิงคนนั้นต้องเจอคล้ายกับฉันเองก็รับรู้ความรู้สึกเหล่านั้นของเธอ
“บ้าจริง! หกโมงครึ่งแล้ว” เหลือบสายตามองไปยังนาฬิกาก็ร้องโวยวายกับตัวเอง รีบวิ่งลงจากเตียงนอนเพื่อเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวออกไปทำงาน
ฉันเป็นเพียงพนักงานบริษัทเล็ก ๆ แต่ก็มีความสุขดี มีเพื่อนที่น่ารักคอยพูดคุยคอยอยู่ข้าง ๆ ส่วนครอบครัวนั้นท่านเสียแล้วล่ะ ฉันเลยต้องอยู่คนเดียวตั้งแต่เริ่มเข้ามหาวิทยาลัย ฉันไม่ได้เศร้าหรือเสียใจแล้วแต่มีบ้างที่คิดถึงพวกท่าน
ใช้เวลาสักพักใหญ่ก็รีบออกจากห้องกลัวว่ารถจะติดแล้วไปทำงานสาย กระทั่งถึงหน้าบริษัทก็พบว่ายังมีเวลาอยู่มากก่อนจะถึงเวลาเริ่มงาน จึงตัดสินใจแวะซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งไม่ลืมซื้อเผื่อเพื่อนสนิทตัวเองด้วยเพื่อที่จะได้นั่งกินด้วยกัน เพื่อนฉันน่ะกินมื้อเช้าไม่ทันหรอกอีกหน่อยมันคงวิ่งหน้าตั้งเข้ามาใกล้พร้อมกับบ่นงึมงำอย่างที่ทำเป็นประจำในวันทำงาน
“วา มาถึงนานแล้วเหรอ?”
“สักพักแล้ว มากินข้าวก่อนซื้อมาให้ด้วย” เอ่ยบอกกับเพื่อนสนิทก่อนจะเลื่อนถุงหมูปิ้งไปให้
“ขอบใจนะ ถ้าไม่มีแกฉันคงไม่ได้กินมื้อเช้าแบบนี้” มิ่งเอ่ยบอกพร้อมกับรอยยิ้มขอบคุณ ฉันกับเพื่อนนั่งกินข้าวเหนียวหมูปิ้งด้วยกันจนอิ่มถึงได้เดินไปล้างมือแล้วกลับมาที่ห้องทำงานเพื่อเริ่มทำงานในเช้าวันนี้ ตลอดทั้งวันที่ทำงานทุกอย่างราบรื่นไม่มีปัญหาอะไร รวมถึงการพักเที่ยงที่ฉันและเพื่อนออกไปกินข้าวขาหมูร้านโปรดของตัวเอง ก่อนจะกลับขึ้นมาทำงานต่อในตอนบ่าย
“วา...” มิ่งเอ่ยเรียกเมื่อถึงเวลาเลิกงาน พี่ ๆ ที่แผนกต่างโบกมือลาขอกลับบ้านไปก่อนแล้วฉันเองก็เร่งมือเพื่อที่จะได้กลับบ้านไปพักแล้วเหมือนกัน
“หา?” ขานรับเสียงเรียกของเพื่อนมือก็พิมพ์งานที่แป้นพิมพ์ ช่วงนี้งานเยอะมากเลยเพราะเป็นช่วงสิ้นเดือนด้วยเลยวุ่นวายอยู่ไม่น้อย แต่สำหรับฉันงานที่ต้องรับผิดชอบก็ใกล้เสร็จแล้วล่ะ
“สุขสันต์วันเกิดนะ”
“...”
“ลืมเหรอ?” มิ่งทวนถามมือก็ยื่นกล่องของขวัญสีหวานมาให้ ฉันรับมาพร้อมกับมองเพื่อนด้วยความตกใจ
“ลืมจริง ก็สี่ปีมีหนึ่งครั้งเองมันเลยจำไม่ค่อยได้” บอกกับเพื่อนพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ ฉันลืมจริง ๆ ว่าวันนี้เป็นวันเกิดตัวเอง
“แก่นี่จริง ๆ เลย งั้นไปกัน ไปกินหมูกระทะกันเถอะเดี๋ยวเลี้ยงเองฉลองวันเกิดให้แก” มิ่งเอ่ยชวน ฉันยิ้มกว้างพยักหน้าให้เพื่อน มือกดบันทึกงานก่อนจะเก็บของเพื่อเตรียมกลับบ้าน ไม่สิ เราจะไปกินหมูกระทะด้วยกัน
เมื่อปิดคอมพิวเตอร์เสร็จก็ออกเดินทางไปยังร้านหมูกระทะพร้อมกับมิ่ง ร้านนี้เป็นร้านโปรดของฉันและเพื่อนเลยก็ว่าได้ เราชอบกินหมูกระทะและชาบูมาก ๆ เลย ทุกโอกาสสำคัญเราก็จะชวนกันมากิน ร้านนี้เรากินตั้งแต่เรียนมหาลัยจนถึงตอนนี้เรียนจบมีงานทำก็ยังมากินอยู่เหมือนเดิม อีกอย่างร้านนี้ไม่ไกลจากบ้านฉันด้วย ไม่ว่าจะมากินตอนไหนก็สะดวก
“มิ่งเอาหมึกกรอบให้ด้วยสิ”
“ได้ ๆ แกไปเอาหมูเลย” เราสองคนจัดแจงหน้าที่เดินไปตักของสดเพื่อกลับไปย่างที่โต๊ะ เมื่อได้ของก็กลับไปนั่งที่โต๊ะและเริ่มย่างหมูกินพร้อมกับเพื่อน
“รู้สึกเร็วมากเลยนะว่าไหม?” ระหว่างกินก็คุยกับเพื่อนส่วนมากจะเป็นเพื่อนฉันมากกว่าที่ชวนคุย
“เร็วนะ”
“อือ ปีนี้แก 25 ปีแล้วอะ ฉันก็จะ25 เหมือนกัน เร็วมาก”
“รู้สึกแก่” ฉันว่าแล้วหัวเราะเบา ๆ แต่คิดแบบนั้นจริง ๆ นะรู้สึกว่าตัวเองแก่มากเลยทั้งที่อายุเพิ่งจะ 25
“บ้า! ไม่แก่ฉันยังไม่อยากแก่” มิ่งส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับมือยื่นไปคีบนั่นตักนี่มาย่างรวมถึงคีบเนื้อที่สุดแล้วมาใส่จานให้ฉันสลับกับกินเอง
“มิ่ง...”
“หือ?”
“ขอบคุณนะสำหรับของขวัญ แกไม่เคยลืมเลยวันเกิดฉันเลยสักครั้ง” เอ่ยบอกเพื่อนอย่างใจจริง และรู้สึกแบบนั้นถึงได้เอ่ยบอกไป
“เล็กน้อยมากเลย แกมีฉันเป็นครอบครัว ฉันเองก็มีแกเป็นครอบครัวเหมือนกัน แกต้องมีความสุขมาก ๆ นะวา ยิ้มเยอะ ๆ ใครที่มันคิดร้ายกับแกขอให้มันแพ้ภัยตัวเอง แล้วก็ฉันน่ะจะคอยเป็นกำลังใจให้แกเองไม่ว่าจะเรื่องอะไร...” มิ่งเอ่ยอวยพรพร้อมกับรอยยิ้ม เพราะเราสนิทกันมากจริง ๆ ความสนิทที่มีแต่ความหวังดีให้กันและกัน
“อื้อ ขอบใจนะ ฉันจะมีความสุขมาก ๆ เลยล่ะ”
“ฉันจะร้องไห้อะ มันบอกไม่ถูกมันหน่วงแล้วก็กลัว...” มิ่งมองฉันนิ่ง ๆ ความกังวลฉายชัดผ่านแววตาที่มองมา
“ซึ้งไงเมื่อกี้แกอวยพรฉันได้ซึ้งมาก ไม่ต้องคิดมากหรอกนะ” เอ่ยบอกเพื่อน หวังจะให้เพื่อนรู้สึกสบายใจมากกว่านี้ กระทั่งมิ่งพยักหน้าและขอไปเข้าห้องน้ำฉันถึงได้ย่างหมูกินต่อ แต่พอนั่งไปสักพักจู่ ๆ ก็มีเงาผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ นึกว่าเจ้าของเงานั้นจะเดินผ่านไปแต่ไม่เลยเงานั้นยังหยุดนิ่งอยู่ข้างฉัน จึงตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเงาด้วยความสงสัย
เป็นผู้หญิงที่สวมชุดสไตล์โบฮีเมียนสีเข้มมือขาวที่กำดอกไม้ดอกเล็กอยู่ค่อย ๆ ยื่นมาทางฉันพร้อมกับรอยยิ้มใจดี ปลายเล็บยาวนั่นเคลือบด้วยสีดำที่ถูกแต่งด้วยกากเพชรสีขาวสะท้อนวิบวับยามต้องแสงไฟ
“...” ฉันไม่กล้ารับดอกไม้ช่อเล็ก ๆ นั่น และคงเป็นเพราะความกลัวฉายชัดผ่านดวงตาหญิงสาวที่มีใบหน้าสละสลวยตรงหน้าถึงได้ส่งยิ้มให้อีกครั้งก่อนจะเอ่ยบอกฉันด้วยน้ำเสียงที่ฟังไพเราะและหวานหู
“สุขสันต์วันเกิดค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ” ที่คนตรงหน้ารู้คงเป็นเพราะอาจจะนั่งอยู่โต๊ะใกล้ ๆ แล้วได้ยินฉันคุยกับเพื่อนก็ได้ ดอกไม้ดอกเล็กถูกส่งมาตรงหน้าเช่นเดิมไม่ได้ลดมือลงกระทั่งฉันยื่นมือไปรับพร้อมกับเอ่ยขอบคุณคนตรงหน้าอีกครั้ง
“มีความสุขมาก ๆ นะเริ่มต้นใหม่ให้มีความสุขนั่นคือครอบครัวจริง ๆ ของเธอ...”
“คะ? ยังไงนะคะ” ทวนถามเมื่อได้ยินประโยคนั้นและไม่เข้าใจเลยสักนิด
“ถึงเวลาแล้วนะ ถึงเวลาที่จะต้องกลับไปในที่ของตัวเอง” หญิงสาวส่งยิ้มให้พร้อมกับไอเย็นที่ลอยวนรอบตัว ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรเพิ่มเติมร่างนั้นก็เดินหายไปแล้ว พร้อมกับเพื่อนฉันที่เดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับเค้ก เป็นเค้กตัดชิ้นหลาย ๆ รสชาติถูกนำมาจัดวางเรียงกันเป็นวงกลมพร้อมกับเทียนที่ปักอยู่ สิ้นเสียงร้องเพลงอวยพรจากเพื่อนฉันก็หลับตาอธิษฐานแล้วเป่าเทียนเหล่านั้นให้ดับลง...
สี่ทุ่มฉันแยกจากเพื่อนเพื่อกลับบ้านพักตัวเอง ระหว่างที่เดินกลับมือก็ถือถุงหอบหิ้วทั้งของขวัญและเค้กจากเพื่อนกลับมาด้วย จะแบ่งให้มิ่งก็บอกว่าไม่เป็นไรตั้งใจซื้อให้เพราะฉันชอบกิน ฉันบอกแล้วว่าเพื่อนฉันน่ารักมากขนาดไหน ฉันน่ะถ้าไม่มีมิ่งก็ไม่รู้เลยว่าจะมีโอกาสมีเพื่อนดี ๆ แบบนี้ไหม
ระหว่างที่เดินกลับก็รู้สึกแปลกประหลาดกับความรู้สึกตัวเอง และไม่รู้เลยว่ามันคือความรู้สึกอะไรกันแน่ กระทั่งถึงหน้าบ้าน ไฟในบ้านยังปิดมืดรอบข้างมีแสงเล็กน้อยจากบ้านหลังข้าง ๆ เมื่อเดินเข้าบ้านก็ล็อกรั้วบ้านเดินมุ่งตรงเข้าไปยังตัวบ้านแต่จังหวะที่เปิดประตูบ้าน ความตกใจก็เกิดขึ้นเมื่อประตูบ้านฉันไม่ได้ล็อกอยู่ แต่เมื่อเช้าฉันมั่นใจว่าฉันล็อกแล้วจริง ๆ นะ
เสียงก๊อกแก๊ก ดังจากภายในบ้านฉันรีบเปิดไฟดูแต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรดวงตาก็เบิกกว้างตกใจกรีดร้องขอความช่วยเหลือ ขาพยายามวิ่งออกจากบ้าน แต่คนร้ายที่กำลังค้นของอยู่กลับวิ่งเข้ามากระชากแขนเต็มแรงจนร่างฉันล้มลงบนพื้น
“กรี๊ด!! ปล่อย ปล่อยฉันนะ ปล่อยฉันไปเถอะ” กรีดร้องขอความเห็นใจ หวังว่าคุณลุงคุณป้าข้างบ้านจะได้ยินแล้วมาช่วยฉัน
“ปล่อยก็โง่สิวะ หุบปาก!” เสียงนั้นตวาดดังลั่นฉันยิ่งร้องไห้ด้วยความกลัว
“มึงตรงนี้มีทองด้วยเว้ย” เสียงคนร้ายอีกคนตะโกนบอกคนร้ายตัวใหญ่ตรงหน้าฉัน
“จริงเหรอวะ ดี ๆ” ยามคนร้ายหันกลับไปคุยกับคนของมันฉันก็รีบลุกขึ้นยืนและตั้งใจจะวิ่งหนีแต่เหมือนจะไม่ทันเมื่อคนร้ายหันกลับมาแล้วกระชากฉันให้ล้มลงบนพื้นอีกครั้ง แรงกระแทกกระทบพื้นทำให้ฉันปวดร้าวไปทั่วทั้งตัว
“อยู่เงียบ ๆ ไม่เป็นใช่ไหม!” เสียงตวาดดังลั่น คนร้ายหยิบแจกันง้างมือสูงขึ้นก่อนจะฟาดลงมาลงมาที่ศีรษะฉันเต็มแรง ฉันร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวยามที่คนร้ายล็อกตัวไว้และตีย้ำ ๆ ลงมาจนทุกอย่างพร่าเลือนและมืดดับไป...
ไร้ความรู้สึก ไร้ความเจ็บความ และเงียบสงบ
เคียงข้างกายไร้วิญญาณมีดอกเดซีวางอยู่