บทที่ 5
รองเท้าเชือกฟาง
ในที่สุดก็ถักรองเท้าเชือกฟางเสร็จ!
ลู่ซินฟางให้เด็กๆ เปลี่ยนมาสวมรองเท้าฟางคู่ใหม่ เชือกที่ได้จากมิติทั้งเหนียวทั้งนุ่ม มีความยืดหยุ่นกำลังดี เด็กทั้งสองชอบมาก กระโดดโลดเต้นไปมา
ยังเหลือชุดเก่ามอซอที่ให้รู้สึกขัดหูขัดตา หากเป็นไปได้ก็อยากเอาชุดใหม่มาให้ลูกๆ เปลี่ยนเดี๋ยวนี้เลย
แต่ก็นั่นละ เพราะทำไม่ได้ทันที นางเลยต้องกัดฟันอดทนไว้ก่อน
ช่วงบ่ายลู่ซินฟางผ่าฟืน งานตรงนี้เด็กๆ ช่วยไม่ไหวจึงให้พวกเขาออกไปเล่นให้สมวัยเด็ก
เฉิงเอ๋อร์จูงมือเป่าเอ๋อร์ออกไปเล่น สักพัก ลู่ซินฟางก็ได้ยินเป่าเอ๋อร์แผดเสียงร้องไห้
“แง้...!!”
หญิงสาววางขวาน รีบวิ่งไปดูลูก
“เป่าเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไร”
ลูกชายลูกสาวของนางล้มก้นจ่ำเบ้าบนพื้น ร้องไห้สะอึกสะอื้น
เฉิงเอ๋อร์ปาดน้ำตา ชี้ไปทางเด็กชายวัย 8 ขวบที่ยืนหน้าสุดในกลุ่มเด็กๆ ข้างหลังของเด็กคนนั้นมีเด็กวัยไล่เลี่ยกันอีก 3 คน
“พวกเราถูกตงตงผลัก”
ลู่ซินฟางอุ้มลูกๆ ขึ้นจากพื้น ช่วยปัดเศษดินตามชุดและหัวเข่า ก่อนหันไปมองเด็กที่ชื่อตงตง
ภาพของ ‘ตงตง’ จากความทรงจำของลู่ซินฟางคนเก่า หน้าตาค่อนข้างเลือนราง พอมองดูชัดๆ แบบนี้แล้ว เด็กคนนี้หน้าตาเกเรใช้ได้เลยนี่!
“ตงตง ทำไมต้องผลักน้องๆ พวกเขาทำอะไรไม่ถูกใจเจ้าหรือ” ลู่ซินฟางถามเด็กชาย
เจ้าลิงน้อยหัวโจกประจำหมู่บ้านเบะปากใส่ลู่ซินฟาง หน้าตาไม่สำนึกผิดสักนิด “ใครใช้ให้พวกเขาไปขโมยรองเท้าคนอื่นมาล่ะ ข้าก็แค่สั่งสอน”
“ขโมย? เจ้าคิดดีแล้วหรือที่พูดออกมาแบบนั้น”
“แล้วคนจนๆ อย่างพวกเจ้ามีเงินซื้อรองเท้าใหม่หรือ ดูรองเท้าข้าสิ ยังไม่ดีเหมือนของพวกเขาเลย”
ตรรกะอะไรของเด็กคนนี้เนี่ย
“ท่านแม่ถักให้พวกเราเองกับมือ ข้าเห็นกับตา ท่านแม่ไม่มีทางขโมยมาแน่” เป่าเอ๋อร์เถียงกลับ
“ท่านแม่ไม่ขโมยของของใคร” เฉิงเอ๋อร์ยืนยันอีกเสียง
“ชิว์! พวกเจ้าคนบ้านเดียวกันก็ต้องช่วยกันปิดบังความผิดน่ะสิ” ตงตงยังคงใส่ความอย่างไม่ยอมแพ้
ลู่ซินฟางส่ายหน้า นางจะเอ็ดใส่แรงๆ แล้วสั่งให้ตงตงหุบปากก็ได้ แต่เด็กเกเรแบบนี้คงไม่มีทางฟังกันง่ายๆ
หญิงสาวกอดอกมองหน้าเจ้าลิงน้อยตงตงอย่างเยือกเย็น “หนุ่มน้อยตงตง ข้าถามหน่อย เจ้ามีหลักฐานหรือว่าข้าขโมยรองเท้าของคนอื่นมา”
“ขะ ข้าไม่มี”
“รู้บ้างหรือไม่ การกล่าวหาผู้อื่นโดยไม่มีหลักฐานมีความผิดเหมือนกัน”
“แต่ข้าเป็นเด็ก”
เฮอะ ลู่ซินฟางแค่นเสียงเยาะหยัน
ไอ้เด็กนี่ ฉลาดไม่เบา อาศัยความเป็นเด็กทำร้ายผู้อื่นหรือ
หากพูดถึงหลักความเป็นจริง เด็ก 8 ขวบย่อมคิดเรื่องนี้เองไม่เป็น ถ้าไม่ใช่พ่อก็คงเป็นแม่ที่สอนให้เด็กคนนี้โตมาแบบฉลาดแกมโกง
“เจ้าคงไม่รู้ เมื่อลูกทำผิด พ่อแม่ต้องรับผิดชอบ”
“พูดอะไรไม่เห็นเข้าใจ แบร่!”
ในตอนท้าย ตงตงแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ลู่ซินฟาง พรรคพวกที่ยืนข้างหลังถึงกับหัวเราะชอบใจไปด้วย
“อ๋อ ที่แท้ตงตงก็โง่กว่าเฉิงเอ๋อร์ เพราะเฉิงเอ๋อร์ฟังเข้าใจ”
ตงตงร้อง “ห๊ะ!!” พร้อมกับทำหน้าโกรธแค้น
เขาอายุมากกว่าเฉิงเอ๋อร์ตั้งเยอะ จะโง่กว่าได้อย่างไร
“ผู้ใหญ่รังแกเด็ก!”
ลู่ซินฟางสังเกตท่าทีของเด็กชาย แต่ดูแล้วท่าทางของไอ้เจ้าหนูนี่จะไม่มีความสำนึกเลยแม้แต่น้อย
เฮ้อ...
นางถอนหายใจทีหนึ่ง ก่อนจะแสยะยิ้ม
“เฉิงเอ๋อร์ เป่าเอ๋อร์ เมื่อเช้าแม่ทำอะไรให้พวกเจ้ากิน”
“หมั่นโถกับน้ำแกงไก่”
ดวงตาของตงตงเบิกกว้าง ในแววตาของเด็กชายมีความอิจฉาและไม่อยากเชื่อ “โกหก คนจนอย่างพวกเจ้าได้กินเนื้อไก่ด้วยหรือ!”
“ใช่ๆ พวกเขาต้องโกหกอยู่แล้ว”
“คนโกหก”
“คนโกหก!”
พรรคพวกที่อยู่ข้างหลังตงตงร่วมแรงร่วมใจช่วยตะโกนตอกย้ำ ทว่า...ไหนเลย ผู้ใหญ่ใจกว้างอย่างลู่ซินฟางจะโกรธ นางถามลูกๆ ต่อ
“แล้วมื้อเที่ยงเล่า”
เป่าเอ๋อร์เป็นฝ่ายตอบ “ซาลาเปาไส้เนื้อไก่สับ”
“กะ...โกหกใช่ไหม” ตงตงยังคงมีท่าทีไม่ยอมรับ
นางเลิกคิ้วถามเด็กชาย “หนุ่มน้อยตงตง เจ้ามีอะไรไม่พอใจหรือ หือ?”
ตงตงนิสัยเหมือนกับเจียงลิ่วผู้เป็นแม่ ขี้อิจฉา รู้สึกเหนือเวลาเห็นคนต่ำกว่าตัวเอง และไม่พอใจเมื่อคนต่ำกว่าได้ดี
เด็กแบบนี้ต้องรีบสั่งสอนให้กลับมาในเส้นทางที่ถูกต้อง
“ตงตง ถ้าเจ้าเลิกรังแกคนอื่น ข้าจะแบ่งซาลาเปาไส้เนื้อไก่สับให้กินก็ได้ แล้วก็จะยอมให้เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์เล่นกับเจ้าด้วย...ว่าอย่างไร”
“ข้าจะ...” ตงตงก้มหน้า กำหมัดจนไหล่สั่นเทา
ลู่ซินฟางเลิกคิ้วมองเด็กชาย
จังหวะนั้น ตงตงเงยหน้าพรวด ตะโกนขึ้นว่า “ข้าจะฟ้องท่านแม่!” จากนั้นก็ร้องไห้ขี้มูกโป่งวิ่งออกไป
“เฮ้อ...”
นางส่ายหน้าถอนหายใจเฮือก
บ้านของลู่ซินฟางกับบ้านของเด็กที่ชื่อตงตงอยู่คนละเส้นทาง การที่ตงตงมาถึงถนนสายนี้ คงมาเพื่อรังแกเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์เหมือนอย่างเคย พอเห็นเด็กทั้งสองสวมรองเท้าฟางคู่ใหม่ก็เลยอิจฉา พูดจาดูถูกและยังผลักเด็กๆ จนล้ม สั่งสอนไปแค่นี้ถือว่ายังน้อย