บทที่ 20
สหายของท่านแม่
7 วันให้หลังโดยประมาณ หน้าร้านตกแต่งเรียบร้อย โกดักเก็บสินค้าก็สร้างเสร็จแล้วเช่นกัน เหลือก็แต่บ้านหลังใหม่กับขนย้ายวัตถุดิบเข้าโกดังกับร้าน
ลู่ซินฟางไม่กลัวว่าต้องทำงานหนัก แต่กำลังคิดหนักว่าจะพาคนจากมิติออกมาอย่างไรให้แนบเนียนที่สุด
แม้ว่ายุคโบราณนี้ผู้คนยังไม่มีบัตรและเลขประจำตัว แต่ถ้าพูดถึงหลักฐานการมีตัวตน คงเป็นชื่อในทะเบียนราษฎร์ ทว่าตรงนี้ไม่ใช่ปัญหา ได้ยินมาว่าหมู่บ้านชนบทบางแห่งอยู่ลึกเข้าไปในป่า บางคนก็ไม่ได้แจ้งชื่อขึ้นในทะเบียนราษฎร์ ปัญหาสำคัญกว่านั้นจึงเป็นเรื่องจะให้พวกเขาแวบไปแวบมาระหว่างมิติอย่างไรเพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตา
ลู่ซินฟางมาปรึกษากับหลางไป๋ ทางนั้นแนะนำว่าควรหาสถานที่ที่เป็นส่วนตัว เงียบสงบ และไม่มีคนพลุกพล่าน
เดิมที ลู่ซินฟางตั้งใจจะรอจนกว่าบ้านใหม่ในไร่สร้างเสร็จก่อน แล้วค่อยพาทุกคนออกมา แต่หลางไป๋แย้งว่า แบบนั้นธุรกิจของนางจะล่าช้าเกินไป ท้ายที่สุด นางจึงเช่าบ้านหลังเล็กในตรอกแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ค่อยมีผู้คนผ่านไปมามากนัก
พอเรียกทุกคนมารวมตัวกัน ให้พวกเขาเปลี่ยนมาสวมชุดที่เตรียมไว้ให้ ลู่ซินฟางก็เปิดประตูมิติ พาหลางไป๋ หลางชุน ซินหลิน พ่อลูกสยงจวินกับสยงอู๋ มายังเมืองเล่ออัน
เมื่อทุกคนเห็นบ้านไม้หลังเล็กหน้าตาไม่เหมือนบ้านไม้ที่ตนอาศัย ต่างก็เบิกตาโตด้วยความตื่นเต้น
“บ้านนี้เล็กไปหน่อย แต่ว่า ลวดลายที่ตกแต่งตามบานประตูกับหน้าต่างกลับดูประณีตจริงๆ” นอกจากทำงานในไร่ พ่อหมีสยงจวินยังมีความสนใจงานไม้ พอเห็นงานแกะสลักที่ไม่นับว่าประณีตเท่าไรบนกรอบหน้าต่างและประตู เขาจึงมีท่าทีสนใจไม่น้อย
บ้านไม้ในมิติ เป็นบ้านไม้ที่สร้างรูปทรงสไตล์ยุโรปและติดกระจก แตกต่างจากจีนโบราณยุคนี้อย่างสิ้นเชิง
“ท่านพ่อ ข้าเดินดูทั่วแล้ว ที่นี่ไม่มีกระจกสักบาน แปลกจัง”
สยงอู๋ ลูกชายของสยงจวินอยู่ในวัย 16 ปี เดินเข้ามาบอก ถึงเขาจะอายุแค่ 16 แต่เพราะเป็นเผ่าหมีจึงมีร่างกายสูงใหญ่ บวกกับทำงานในไร่มาตั้งแต่เล็ก ร่างกายเลยเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ แข็งแรงเกินวัย
“ในยุคนี้ พวกเขาน่าจะยังไม่รู้ขั้นตอนการทำกระจก แต่ก็เป็นแค่สิ่งที่ข้าคาดเดาเท่านั้น บางทีกระจกอาจมีใช้เฉพาะกลุ่มชนชั้นสูงก็ได้” ลู่ซินฟางบอก “ชาวบ้านอย่างข้า กระจกที่ใช้ส่องหน้าทำมาจากโลหะที่ผสมทองแดงขัดจนเงา พวกเขาเรียกกันว่าคันฉ่องน่ะ”
“แบบนี้เอง” สยงอู๋พยักหน้า ในแววตาส่องประกายวิบวับอย่างสนอกสนใจ ไม่ต่างจากผู้เป็นพ่อ
คราวนี้ลู่ซินฟางหันมาเข้าประเด็นสำคัญ “ขอโทษทีนะทุกคน บ้านสวนยังสร้างไม่เสร็จ ข้าต้องเช่าบ้านเล็กๆ ให้พวกเจ้าไปกลับระหว่างสองมิติกันก่อน อาจจะเสียเวลาเดินทางสักหน่อย”
ระหว่างรอเถี่ยฮ่าวซือสร้างบ้านสวน คงต้องให้พวกเขาเดินทางไปกลับระหว่างเมืองกับหมู่บ้านที่อยู่นอกเมือง ไหนจะเดินทางผ่านสองมิติอีก ยุ่งยากน่าดู
ทว่า...พ่อหมีสยงจวินกลับโพลงถามด้วยความอยากรู้
“สร้างบ้านเหรอ!?”
“อืม ข้าจ้างคนรู้จักสร้างบ้านเอาไว้ให้ข้าและพวกเจ้าไว้พัก แต่...”
ลู่ซินฟางยังพูดไม่จบดี สยงจวินก็แสดงสีหน้าแน่วแน่ออกมา
“ข้าอยากสร้างบ้านด้วยขอรับ”
“เอาจริงเหรอ?” ลู่ซินฟางถามซ้ำ “ให้มาบุกเบิกช่วยงานในไร่ ยังต้องมาสร้างที่อยู่กันเองอีก แบบนั้นเหนื่อยแย่เลย”
“จริงอยู่ที่บ้านหลังนี้อาจล้าหลังกว่าบ้านที่พวกเราอาศัย แต่ดูแล้วประณีตมาก ท่านซินฟาง ข้าอยากเรียนรู้วิธีสร้างบ้านของที่นี่ขอรับ” สยงจวินยืนยันความตั้งใจของตน
“ถ้าเจ้าพูดแบบนั้น ตอนไปดูงานที่ไร่ ข้าจะฝากเจ้ากับคนรู้จักแล้วกันนะ”
“ขอบคุณ ท่านซินฟาง!”
“อะแฮ่ม...” หลางไป๋ปิดปากกระแอมราวกับตั้งใจขัดจังหวะการสนทนาของพวกเขา
ทุกคนจึงหันไปทางชายหนุ่มเผ่าหมาป่าเงินเป็นตาเดียว
ว่าไปแล้ว หลางไป๋เข้ากับชุดจีนโบราณไม่น้อยเลยนะ หลางไป๋ไม่ได้สวมชุดเข้ารูปแบบชาวไร่ชาวนาเหมือนกับพวกสยงจวิน ด้วยรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว ใบหน้าหล่อเหลา ลู่ซินฟางคิดว่าหลางไป๋น่าจะเหมาะกับลุคบัณฑิต ดังนั้นจึงซื้อเสื้อคลุมตัวยาวสีฟ้าอ่อนแบบพอดีตัวให้ หลางไป๋ไม่ทำให้ผิดหวัง เขาเหมือนนายแบบที่สวมใส่อะไรก็ขึ้น ตอนนี้หลางไป๋เหมือนคุณชายมากชาวสวนเสียอีก
“หลางไป๋ มีอะไรติดคอเจ้ารึ!?” เพราะเป็นคนตรงๆ สยงจวินถามแบบไม่อ้อมค้อม แถมยังติดตลกหน่อยๆ
หลางไป๋ถลึงตาใส่พ่อหมีร่างยักษ์แวบหนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “ตามที่ตกลงกัน มาอยู่ที่นี่ พวกเราต้องเรียกท่านซินฟางว่า ‘นายหญิง’ ไม่ใช่หรือ”
“มีเรื่องแบบนั้นด้วยหรือ” ลู่ซินฟางถามอย่างแปลกใจ
จริงๆ แล้ว พวกเขาจะเรียกนางแบบไหนก็ได้ ท่านซินฟางก็ดี นายหญิงก็ไม่เลว หรือจะเรียกซินฟางเฉยๆ นางก็ไม่ติด
“ในเมื่อท่านซินฟางจะทำธุรกิจ ท่านที่เป็นเจ้านายของทุกคน ควรถูกเรียกว่านายหญิงขอรับ” หลางไป๋ย้ำ
คนคนนี้ บทจะเข้มงวดก็เข้มงวดจริงๆ
“นั่นสิ ข้าลืมไป” สยงจวินเกาหัวพลางหัวเราะแห้งๆ
“เอาเถอะ พวกเจ้าจะเรียกข้ายังไงก็ได้ ตอนนี้ไปดูที่ดินที่จะทำไร่กันดีหรือไม่” ลู่ซินฟางตัดบท
ทุกคนตอบพร้อมกัน
“ดีขอรับ/ดีเจ้าค่ะ”
ทว่า ก่อนจะพาทุกคนไปดูงานที่ไร่ ลู่ซินฟางย้อนกลับมาที่เรือนหลังใหม่เพื่อรับเจ้าแฝดทั้งสองไปด้วยกัน
พอเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์เห็นท่านแม่กลับบ้านมาพร้อมกับคนที่ไม่คุ้นหน้า แทนที่จะหวาดกลัว วิ่งมาหลบหลังท่านแม่เหมือนเมื่อก่อน เด็กทั้งสองกลับมองคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยดวงตาใสแป๋ว
ชุนโค้งเอวก้มมองเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ สักครู่ ดวงตาเรียวรีของนางก็เบิกโตเล็กน้อย ดูท่าทางจะตื่นเต้นไม่ต่างจากเด็กทั้งสอง
“เด็กสองคนนี้คือลูกๆ ของนายหญิงหรือ น่ารักจัง!”
ก่อนมายังโลกนี้ หลางไป๋ย้ำนักย้ำหนาเกี่ยวกับหน้าที่ของชุน นั่นคือช่วยนายหญิงเลี้ยงดูเด็กๆ
ว่าตามจริง หากเป็นนายหญิงคนเดิม ชุนหมายถึงลู่ซินฟางร่างเดิม... เด็กทั้งสองไม่ใช่สายเลือดแท้ๆ ด้วยซ้ำ ทว่าตั้งแต่พูดเรื่องเด็กๆ กับนายหญิง ชุนสัมผัสได้ว่านายหญิงใส่ใจเด็กทั้งสองราวกับลูกในไส้เลย
ซึ่งแน่นอน พอได้มาเจอเด็กๆ แล้ว พวกเขาน่ารักน่าเอ็นดู พอคิดว่าเด็กที่น่ารักขนาดนี้ ที่ผ่านมาพบเจอเรื่องอะไรมาบ้าง ในใจของชุนก็เดือดดาลขึ้นมา นางไม่ได้โกรธเด็กๆ แต่โกรธคนที่ทำร้ายเด็กบริสุทธิ์แบบพวกเขาต่างหาก
“พวกเจ้าคือเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์สินะ พี่สาวชื่อหลางชุน พวกคุณหนูเรียกว่า ชุน เฉยๆ ก็ได้นะ”
เด็กทั้งสองมองชุนด้วยตาปริบๆ จากนั้นก็หันมามองหน้ากัน ก่อนจะพวกเขาพยักหน้าราวกับตัดสินใจบางอย่าง จากนั้นก็...
“พี่ชุน!”
เจ้าแฝดน้อยเรียกชุนเช่นนั้น
“ว้าว น่ารัก” ชุนทำตาเป็นประกาย
“เท่าที่เห็น พวกเขาฉลาดด้วยนะ” หลางไป๋กล่าวเสริม
“ว่าแต่ หลางไป๋พอจะสอนหนังสือให้พวกเขาได้ไหม”
ลู่ซินฟางถามหลางไป๋ ฝ่ายหลังพอได้ยินแบบนั้นก็รีบถามกลับ
“ให้ข้าสอนได้หรือขอรับ!”
“ข้ากำลังหาอาจารย์สอนหนังสือให้ลูกอยู่พอดี แต่ด้วยฐานะของข้าในตอนนี้ หากส่งลูกๆ เข้าเรียนสถานศึกษา พวกเขาอาจถูกรังแกได้ แต่ถ้าเป็นเจ้าละก็ คงไม่มีปัญหาแน่นอน”
ลู่ซินฟางเพิ่งจะสร้างตัว ช่วงที่ผ่านมามีข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับนาง ถ้าส่งลูกๆ เข้าเรียนตอนนี้เกรงว่าพวกเขาจะถูกอาจารย์และเพื่อนๆ กลั่นแกล้งเอาได้ ไม่ใช่ว่าปกป้องเด็กๆ มากเกินไป แต่อย่างน้อย ขอให้นางสร้างตัวได้อย่างมั่นคงก่อน เมื่อถึงเวลานั้น นางจะปล่อยพวกเขาเผชิญสังคมความเป็นจริง
หลังตัดสินใจแล้ว หลางไป๋ยกมือทาบอก ก้มศีรษะ “ขอรับนายหญิง ข้าอยากทำงานนี้”
ลู่ซินฟางยิ้มอย่างโล่งใจ
ระหว่างทางนี้คุยกัน เด็กทั้งสองเดินไปหาหนุ่มน้อยชุดขาวที่ยืนนิ่งๆ
“พี่ชาย พี่ชายชื่อว่าอะไร” เป่าเอ๋อร์แหงนหน้าเอ่ยถาม
“ซินหลิน”
เด็กชายวัย 10 ขวบตอบหน้านิ่ง
เฉิงเอ๋อร์เป็นเด็กฉลาด ช่างสังเกต เขามองซินหลินสลับกับมองท่านแม่
ลู่ซินฟางเห็นดังนั้นก็เดาความคิดของลูกชายออกเลยรีบแก้ต่างว่า “จริงๆ ถ้านับญาติกันคงยาว สรุปคือซินหลินคือลูกพี่ลูกน้องของลูกน่ะ”
“รวบรัดเกินไปแล้วขอรับ” หลางไป๋บอก
ลู่ซินฟางยิ้มแห้งๆ “เอาน่า เอาน่า”
ไม่ว่าจะให้เหตุผลอะไร สิ่งสำคัญคือเด็กๆ ไม่ถามมากจนนางต้องลำบากใจก็พอ
และเป็นเช่นนั้น เฉิงเอ๋อร์ไม่ได้ถามอะไรต่อ
“จริงสิ ซินหลินก็มาเรียนเป็นเพื่อนเด็กๆ ด้วยเลยสิ” ลู่ซินฟางพูดขึ้นแบบปุบปับ
ซินหลินทำเบื่อหน่าย “ยังต้องเรียนด้วยหรือ หน้าที่ข้าก็แค่พา…อุบ!”
เห็นสยงอู๋ตัวใหญ่ แต่ทำอะไรคล่องแคล่ว ก่อนหน้านี้กำลังมองลวดลายหน้าต่างกับประตูเพลินๆ พอรู้สึกคลับคล้ายว่าซินหลินกำลังจะหลุดปากพูดเรื่องไม่สมควร เขาก็รีบวิ่งเข้ามาปิดปากซินหลิน ทั้งยังหัวไว แนะนำตัวเองกับเจ้าตัวเล็กทั้งสอง
“ส่วนพี่ชายชื่อสยงอู๋ เรียกพี่อู๋ก็ได้”
ศีรษะเล็กๆ ของเฉิงเอ๋อร์ขยับขึ้นลง “พี่อู๋”
เป่าเอ๋อร์พูดพร้อมกางสองมือออก “พี่อู๋ตัวเบิ้ม”
“ฮะๆ”
ทุกคนได้ยินอย่างนั้นต่างหัวเราะชอบใจ
ลู่ซินฟางรีบเปลี่ยนเรื่องด้วยการแนะนำคนที่เหลือ “เอาละ ต่อไปท่านนี้ก็คือท่านลุงสยงจวิน แล้วก็ท่านน้าหลางไป๋”
เจ้าแฝดน้อยทั้งสองยิ้มให้พวกเขา “ลุงจวิน น้าไป๋”
ลู่ซินฟางมองลูกๆ ที่เข้ากับทุกคนได้เป็นอย่างดี ก่อนจะตัดบทว่า ไปที่ไร่กันเถอะ
สยงจวินเป็นพ่อหมีรักเด็ก อุ้มเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ด้วยมือซ้ายและขวา
ถูกอุ้มสูงๆ เป่าเอ๋อร์ชอบใจแทนที่จะกลัว หัวเราะเอิ้กอ้ากพลางบอกว่า “ลุงจวินสูงจัง!”
“พวกเจ้ากลัวความสูงกันหรือไม่”
“ไม่กลัว!”
“ฮะๆ ดีแล้ว”
ลู่ซินฟางยิ้มให้กับความมีชีวิตชีวาของทุกคน ก่อนจะออกไปเช่ารถเทียมวัวมาหนึ่งคัน
เมื่อมาถึงทางเข้าหมู่บ้าน ทุกคนลงจากรถเทียมวัว ชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาละแวกนั้น คนที่กำลังก้มหน้าทำงานในไร่ พอหันมาเห็นกลุ่มของลู่ซินฟาง พวกเขาต่างก็มองมาด้วยความตะลึงระคนสงสัย หากกลับมีสายตาคู่หนึ่งที่พุ่งตรงมาอย่างเคืองแค้น