บทที่ 11
เจรจาการค้า
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งสวมชุดสีฟ้าอ่อนเดินออกมาจากห้องที่อยู่หลังโต๊ะคิดเงิน
ด้วยความที่มีใบหน้าหล่อเหลา มุมปากประดับยิ้มตลอดเวลา มองผิวเผินเหมือนชายคนนี้เข้าหาได้ง่าย ทว่ารอยยิ้มนั้นหาได้ส่งไปถึงดวงตา
สาวน้อยสาวใหญ่ที่มาอุดหนุน ล้วนจ้องเถ้าแก่หนุ่มตาไม่กะพริบ เหมือนว่าที่กำลัง ‘กิน’ ไม่ใช่อาหาร
ลู่ซินฟางอดคิดไม่ได้ว่า โรงเตี๊ยมตระกูลกงใช้อาหารรสเลิศตกลูกค้า หรือใช้หน้าตาหล่อๆ ของเถ้าแก่ตกกันแน่
“ข้าคือเถ้าแก่กง เจ้าของโรงเตี๊ยมลิ่วซุ่นแห่นี้ แม่นาง...ไม่สิ ฮูหยินมีธุระอะไรจะคุยกับข้าหรือ”
“ข้ามาเพื่อคุยธุรกิจ”
“ธุรกิจ?”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ดวงตาคมเข้มแอบประเมินลู่ซินฟาง
หญิงสาวคนนี้แต่งตัวด้วยผ้าราคาถูกและเก่าซอมซ่อ มวนผมถูกพันด้วยผ้าธรรมดา มองแวบเดียวก็รู้ทันทีว่าเป็นหญิงบ้านนอก แต่ทว่า นางกลับเข้าใจคำว่าธุรกิจ ซึ่งน้อยคนนักจะเขาใจคำนี้
ไม่เพียงเท่านั้น ท่าทางกับน้ำเสียงตอนที่พูดกับหลงจู๊เฉวียน กลับไม่ได้แสดงออกถึงการอ้อนวอนจนทำให้ตัวเองดูต่ำต้อย และไม่ได้หยิ่งผยอง แต่เหมือนกับมาเพื่อคุยธุรกิจจริงๆ และที่มากไปกว่านั้น สีหน้าของนางยังมีความมั่นใจเป็นอย่างมาก
ลางสังหรณ์บอกว่าหากไม่ฟังข้อเสนอของนาง ต้องพลาดสิ่งสำคัญไปแน่ๆ
ครุ่นคิดแล้ว เขาก็ตอบสั้นๆ ว่า “ได้”
หลงจู๊เฉวียนอ้าปากเตรียมแย้ง
เถ้าแก่หนุ่มยกมือขึ้นเป็นห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูดขัด สีหน้าเรียบเฉย มองไม่ออกว่ากำลังคิดอะไร แต่แรงกดดันของเถ้าแก่นั้นกลับทำให้หลงจู๊เฉวียนหุบปากลงทันที
ลู่ซินฟางที่ทำใจมาแล้วว่าเถ้าแก่กงคนนี้อาจจะเป็นคนใหญ่คนโต แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีออร่าน่าเกรงขามขนาดนี้
“ฮูหยิน เชิญด้านใน”
กงเยียนซูวาดมือไปทางหลังร้าน ก่อนจะเดินนำลู่ซินฟางออกมา
หลังโรงเตี๊ยมระกูลกงคือสวนและน้ำตกจำลอง พอเดินผ่านสวนนั้นออกมาจะพบเรือนรับรองขนาดกะทัดรัด ภายในเรือนรับรองตกแต่งเรียบง่าย สะอาดสะอ้านและเงียบสงบ แตกต่างจากอาคารของโรงเตี๊ยมอย่างสิ้นเชิง ทว่า ข้าวของทุกชิ้นกลับมีราคาแพง
จริงๆ แล้ว กงเยียนซูคนนี้เป็นใครกันแน่
พอเดินนำลู่ซินฟางมาถึงระเบียงของเรือน กงเยียนซูนั่งลงบนเบาะรองนั่ง บนโต๊ะคือชุดชงชาที่ทำจากกระเบื้องสีขาวมันวาวเหมือนงาช้าง กาต้มน้ำร้อนที่ตั้งบนเตาเล็กเดือดกำลังได้ที่
“ข้ามีงานอดิเรกชงชาน่ะ เชิญฮูหยิน”
ชายหนุ่มพูดพร้อมผายมือไปทางที่นั่งฝั่งตรงข้าม
ลู่ซินฟางกล่าวขอบคุณ จากนั้นนั่งลงด้วยท่าทางเรียบร้อย
“เข้าเรื่องดีกว่า ธุรกิจที่ฮูหยินพูดถึงคืออะไรหรือ?”
กงเยียนซูถามขณะตักใบชาออกจากโถ สายตาไม่ได้มองนางสักแวบ แต่ไม่รู้ทำไม นางกลับรู้สึกเหมือนกำลังถูกลอบสังเกต
ลู่ซินฟางเปิดกล่องอาหาร หยิบจานขนมทั้งสองใบออกมา ในขณะเดียวกันก็มองชายหนุ่มชงชาไปด้วย
ท่าทางที่เถ้าแก่หนุ่มชงชานั้นให้รู้สึกถึงความสุนทรีย์ แม้ดูลึกลับ หากกลับทำให้ตระหนักว่า ชายคนนี้ต้องเข้าใจอรรถรสของอาหารเป็นแน่
มิน่าเล่า ถ้าขายแค่หน้าตา โรงเตี๊ยมตระกูลกงคงอยู่ได้ไม่นาน แต่คนผู้นี้ใส่ใจอาหารของจริง
ชงชาเสร็จแล้ว ชายหนุ่มเลื่อนถ้วยชามาตรงหน้าลู่ซินฟาง
ขนมจานแรกที่ลู่ซินฟางแนะนำคือเค้กแอปเปิล แป้งนุ่มฟู แต่...ถึงจะเรียกว่าเค้ก หากขั้นตอนตอนทำนางใช้วิธีนึ่งแทนการอบ และเปลี่ยนการผสมแป้ง บนหน้าเค้กตกแต่งด้วยแอปเปิลที่ฝาดบางๆ ประกบกันเป็นรูปดอกไม้ ทั้งยังเอาไปเชื่อมจนได้รสหวานกลมกล่อม หากก็อมเปรี้ยวนิดๆ ขนมจานที่สองเป็นขนมปังโรลสอดไส้แอปเปิลฉ่ำๆ
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “ขนม...หน้าตาแปลกยิ่งนัก”
ในยุคโบราณนี้ ถึงจะใช้ดอกไม้และผลไม้มาทำขนม แต่ส่วนใหญ่จะนำวัตถุดิบที่เป็นดอกไม้ไปผสมกับแป้งแล้วอัดเป็นรูปต่างๆ แป้งขนมที่สมน้ำตาลแม้มีรสหวาน แต่ก็ฝืดคอไม่ต่างจากขนมโก๋
“เถ้าแก่กง ท่านมองออกหรือไม่ว่าขนมสองจานนี้ส่วนผสมหลักๆ ใช้อะไรทำ” ลู่ซินฟางเริ่มต้นด้วยคำถาม
ชายหนุ่มยกมือขึ้นกุมคาง สีหน้าครุ่นคิด
“ถึงจะเปลี่ยนรูปแบบ แต่กลิ่นหวานๆ เปรี้ยวๆ นี้เป็นผลผิงกั่วไม่ผิดแน่”
“เถ้าแก่ช่างตาถึง”
“ไม่ขอปิดบัง พ่อครัวโรงเตี๊ยมข้าพยายามใช้ผลผิงกั่วทดลองทำขนมและอาหารอยู่หลายครั้ง ถึงจะไม่เคยสำเร็จเลย แต่ก็ทำให้ข้าคุ้นเคยกับผลผิงกั่ว เห็นแวบแรกเลยรู้ทันที ถึงอย่างนั้นกลับรู้สึกผิดคาด ฮูหยินใช้ผลผิงกั่วมาประดับบนหน้าขนมได้ขนาดนี้ ช่างพิถีพิถันยิ่งนัก”
ลู่ซินฟางเพียงยิ้มบางๆ ให้กับคำชมนั้น
กงเยียนซูกล่าวต่อ “ข้าขอพูดตรงๆ ขนมของฮูหยินหน้าตาน่าสนใจ แต่วัตถุดิบที่ใช้ค่อนข้างน่าผิดหวัง ต่อให้ยืมชื่อเสียงโรงเตี๊ยมตระกูลกงฝากขาย เกรงว่ายังไงก็ขายไม่ออก”
ชายหนุ่มส่ายหน้าในตอนท้าย
ลู่ซินฟางไม่โกรธ เพราะหากนางเป็นเจ้าของโรงเตี๊ยม ก็คงลังเลเช่นเดียวกับเขา
“เถ้าแก่กงอย่าเพิ่งรีบตัดสินใจ ลองชิมขนมทั้งสองจานนี้ พร้อมกับค่อยๆ จิบชาเขียวที่ท่านชงดูก่อน”
ชายหนุ่มชั่งใจสักครู่ ก่อนจะตักขนมจานแรกส่งเข้าปาก
เขาค่อยๆ ลิ้มลองแป้งนุ่มซึ่งมีรสชาติหวานอมเปรี้ยว หากก็กลมกล่อมอย่างพอดี ซ้ำยังเหมือนละลายในปากทันทีที่กิน
หลังจากกลืนขนมลงท้อง ทันใดนั้น ดวงตาคมเข้มของชายหนุ่มพลันหรี่ลงเล็กน้อย
คราวนี้ กงเยียนซูหยิบจอกชาขึ้นมาจิบ
“รสชาติหวานอมเปรี้ยวนิดๆ ผิวสัมผัสนุ่มลิ้น และยังมีกลิ่นหอมที่แปลก แต่กลับอร่อยลงตัว พอดื่มชาเข้าไป ทำให้ไม่รู้สึกเลี่ยน ซ้ำยัช่วยลดความหวานที่ติดปลายลิ้นได้ด้วย รสชาติอร่อยยิ่งนัก”
“ชาเขียวช่วยลดความหวานของขนมนี้พอดี เป็นจังหวะเหมาะจริงๆ เจ้าค่ะ” นางกล่าวปนขำ ให้อารมณ์เหมือนพูดเล่น
“ฮูหยินก็รู้จักชาเขียวหรือ”
โลกยุคนี้ ชาเขียวถือเป็นหนึ่งในใบชาของชนชั้นสูง สำหรับลู่ซินฟางที่แต่งกายซอมซ่อ ไม่น่าจะรู้จัก จึงทำให้กงเยียนซูอดถามด้วยสีหน้าประหลาดใจไม่ได้
หญิงสาวยิ้มลึกลับ ไม่ได้พูดอะไรต่อ
กงเยียนซูไม่ได้คะยั้นคะยอถามนางอีก เขาชิมขนมจานที่สอง และแน่นอน การตอบสนองไม่ต่างจากจานแรก
“ขนมทั้งสองจานอร่อย ถึงจะใช้ผิงกั่วเป็นส่วนผสม แต่กลับมีจุดเด่นต่างกัน”
“พอจะขายได้หรือไม่” ลู่ซินฟางถามเข้าประเด็น
“ไม่ใช่แค่ ‘พอขายได้’ แต่ขายดีอย่างแน่นอน ฮูหยินจะฝากขายในราคาเท่าไรหรือ”
หญิงสาวส่ายหน้า
เห็นแบบนั้น กงเยียนซูแสดงหน้าไม่เข้าใจ
“ข้ามาเพื่อจะขายสูตรขนมทั้งสองอย่างนี้ให้กับเถ้าแก่เจ้าค่ะ”
“เงื่อนไขเล่า”
“ขนมสองจานนี้จะมีขายเฉพาะโรงเตี๊ยมของท่าน ต่อให้ร้านขนมอื่นทดลองทำเลียนแบบ อย่างไรก็ไม่เหมือน และข้าเองก็จะไม่ทำขาย”
ลู่ซินฟางพูดดักทางในตอนท้าย
ของที่ขายดีย่อมมีคนเลียนแบบ แต่ขนมสูตรของนางนี้ อย่างไรก็เลียนแบบออกมาไม่ได้ ส่วนหนึ่ง ผลผิงกั่วที่นางใช้เป็นของต่างมิติ และที่สำคัญส่วนผสมของแป้งเค้กนางใช้เนยและกลิ่นวนิลลา ต่อให้พ่อครัวในโลกนี้มีความสามารถแค่ไหนก็ไม่สามารถแกะสูตรแล้วเลียนแบบได้
กงเยียนซูมองลู่ซินฟางพร้อมกับชั่งใจไปด้วย นางหาได้หลบสายตาไม่ ทั้งยังนั่งหลังตรงอย่างมั่นใจ นางไม่ได้พูดโกหก
ทันใดนั้น มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“ต่อให้อาศัยชื่อเสียงของโรงเตี๊ยมตระกูลกงวางขายขนมหน้าตาแปลกใหม่นี้ น่าเสียดาย แค่ได้ยินว่าขนมทำมาจากผลผิงกั่ว ลูกค้าก็เบนหน้าหนีแล้ว” กงเยียนซูพูดพร้อมทำหน้าผิดหวังระหว่างพูดหยั่งเชิง
“ตรงข้ามเลย มนุษย์มีความอยากรู้อยากเห็น พวกเขาต้องอยากลิ้มลองขนมที่เถ้าแก่กงตั้งใจนำเสนอแน่นอน” ลู่ซินฟางตอบนิ่งๆ
ชายหนุ่มเงียบพร้อมจ้องมองหญิงสาว สักพักผ่านไป เขาเลิกคิ้วแล้วหัวเราะออกมา
“ฮะๆๆๆ”
“ตอนแรกแค่จะทดสอบว่าฮูหยินมีความมั่นใจในขนมมากน้อยแค่ไหน ไม่คิดเลยว่า เจ้าจะเชื่อมั่นสูตรขนมของตนมากขนาดนี้ เช่นนั้นขอถาม ทำไมเลือกขายสูตรให้โรงเตี๊ยมข้า ทำขายเองไม่รวยกว่าหรือ”
“เพราะโรงเตี๊ยมตระกูลกงมอบผลตอบแทนก้อนใหญ่ให้ข้าได้ทันที อีกอย่าง หลังข้ารับเงินไปแล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกปล้นกลางทาง”
นางตอบออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย และตรงไปตรงมา
ถูกต้อง เมื่อทำการค้าย่อมมีเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง มีพ่อค้าหลายคนถูกปล้นระหว่างทางหลังจากทำการค้าสำเร็จ นับประสาอะไรกับหญิงสาวตัวเล็กๆ อย่างนาง ในขณะเดียวกัน คำพูดของนางยังแฝงไว้ด้วยความเชื่อมั่นในตัวกงเยียนซู
“ว่าแต่ ฮูหยินมั่นใจได้อย่างไรว่าข้าต้องรับซื้อสูตรของเจ้า” เขาถามต่อ
“คนทำการค้าจนประสบความสำเร็จ ยิ่งเป็นคนหนุ่มไฟแรงเช่นท่านด้วยแล้ว ย่อมต้องอยากลองอะไรใหม่ๆ ตอนท่านบอกว่าพ่อครัวของท่านพยายามพัฒนาสูตรขนม ข้าก็รู้แล้วว่าท่านต้องการให้อาหารของโรงเตี๊ยมท่านก้าวหน้ามากกว่านี้”
“อย่างนี้นี่เอง ดูเหมือนพวกเราจะเป็นคนประเภทเดียวกัน”
กงเยียนซูหมายถึงความทะเยอทะยาน
“เจ้าจะขายสูตรเท่าไร”
“ข้าขายสูตรทั้งสองอย่างนี้ 100 ตำลึงทองเจ้าค่ะ”
“ไม่แพงไปหน่อยหรือ”
“ไม่นับว่าแพง สำหรับท่านที่มีเส้นสายมากมาย ทั้งในเมืองหลวงและเมืองใหญ่ๆ อีกหลายแห่ง ท่านสามารถสร้างผลกำไรระยะยาวได้ อีกอย่าง วัตถุดิบที่ใช้ก็ไม่ได้มีราคาแพงด้วย”
เขาพยักหน้าอย่างคล้อยตาม
“เข้าใจแล้ว”
“เอาเถอะ ยังไงผิงกั่วเคลือบน้ำตาลของเจ้าก็น่าสนใจ ข้าตกลง”
คราวนี้ฝ่ายที่แปลกใจคือลู่ซินฟาง
นางเพิ่งทำผิงกั่วเคลือบน้ำตาลขายวันนี้เป็นวันแรก ขายหมดก็ตรงมาหากงเยียนซู ทำไมผู้ชายคนนี้รู้ข่าวเร็วนัก!
ลู่ซินฟางมองรอยยิ้มลึกลับของชายหนุ่ม ถึงถามออกไปก็คงไม่ยอมตอบสินะ
นางกระแอม แล้วยื่นสูตรขนมให้กับกงเยียนซู
ระหว่างที่เขากวาดตาอ่านสูตรขนมทีละอักษร นางบอกเพิ่มเติมว่า “ท่านไม่เข้าใจตรงไหนถามข้าได้ตลอด อีกอย่าง ข้าช่วยสอนพ่อครัวท่านทำขนมตัวต่อตัวด้วย และจะนำวัตถุดิบชุดแรกมาส่งให้”
“บอกตรงๆ ว่ามีหลายอย่างที่ไม่เข้าใจ แต่ถ้าเจ้าบอกว่าจะมาสอนด้วยตัวเอง ข้าค่อยสบายใจหน่อย”
“ทำการค้าร่วมกันแล้ว ข้าไม่มีทางทิ้งคู่ค้าคนสำคัญไว้กลางทางหรอกเจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ สักครู่ก็ยิ้มออกมา
“เช่นนั้นข้าจะเขียนสัญญาซื้อขาย ชักอยากทำการค้ากับเจ้าเร็วๆ แล้วสิ”
กงเยียนซูพูดจบก็สั่งให้คนนำสัญญาออกมา ในสัญญาระบุว่าโรงเตี๊ยมตระกูลกงมีสิทธิ์ขาดในการทำขนมทั้งสองอย่างขายเท่านั้น วัตถุดิบอย่างเนยกับผลผิงกั่ว ทางลู่ซินฟางจะเป็นผู้จัดส่ง ฝ่ายซื้อห้ามถามถึงที่มา
หลังเซ็นสัญญาเสร็จเรียบร้อย กงเยียนซูถามนางว่า “ดูๆ แล้ว ไหวพริบด้านการค้าของเจ้าไม่เลวเลย ไม่คิดจะเปิดโรงเตี๊ยมหรือ ที่ถามไม่ใช่อะไร ข้ากลัวว่าจะมีคู่แข่งเพิ่มน่ะ”
ลู่ซินฟางฟังแล้วถึงกับหัวเราะ “เถ้าแก่กงสบายใจได้เจ้าค่ะ ข้าไม่คิดจะเปิดโรงเตี๊ยมแข่งกับท่านแน่นอน บอกตามตรง ข้าไม่ได้มีความสามารถในการบริหารธุรกิจร้านอาหาร”
ชายหนุ่มส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ฮูหยินถ่อมตัวมากเกินไปแล้ว แต่เอาเถอะ ฮูหยินคงไม่คิดจะหยุดหาเงินแค่ขายสูตรขนมใช่หรือไม่ อนาคตตั้งใจจะทำการค้าใดหรือ หากเป็นสิ่งที่สร้างผลกำไรด้วยกันทั้งคู่ ข้าเองก็พร้อมสนับสนุน”
ลู่ซินฟางคลี่ยิ้ม
ดูท่า ผู้ชายคนนี้จะมีสายตาเฉียบแหลมไม่น้อยเลยทีเดียว
ถูกต้อง นางไม่คิดจะตะเวนขายสูตรอาหารเพื่อเงินก้อนเดียว สิ่งที่ต้องการคือการหาเงินให้ได้ในระยะยาวและยั่งยืน กงเยียนซูก็คือบ่อเงินบ่อทองแรกของนางนั่นเอง
“ข้าตั้งใจจะเปิดร้านขายวัตถุดิบ เถ้าแก่กง อย่าลืมมาอุดหนุนวัตถุดิบที่ร้านของข้าให้ได้นะเจ้าคะ” ลู่ซินฟางยิ้มๆ ขณะตอบเช่นนั้น
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ก่อนตอบกลับว่า แน่นอนอยู่แล้ว