“อย่าหาเรื่องใส่ตัวนะคุลิกา!” เคลล์ตักเตือน “ผมพยายามทำอารมณ์ให้เย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็งขั้วโลกอยู่ ถ้าคุณยังทำตัวแบบนี้ละก็ผมอาจจะกลายเป็นไฟที่พร้อมละลายน้ำแข็งภายในชั่วพริบตาแน่”
“คุณจะทำอะไรกับฉันก็สุดแท้แต่คุณเถอะ เพราะฉันไม่มีแรงพอจะต่อต้าน อีกอย่างฉันก็คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากยอมให้คุณทำร้ายจนร่างกายกับหัวใจย่อยยับไปนั่นแหละ”
“คุลิกา”
“ถ้าคุณอยากได้คำตอบจริงๆ ฉันบอกก็ได้ค่ะ ฉันไม่ได้เป็นอะไรเลย พอใจแล้วใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เชิญคุณกลับไปเถอะ วันนี้ฉันขอเวลาสักวัน เอาไว้พรุ่งนี้จะไปทำงานเพื่อหาเงินชดใช้หนี้สินก็แล้วกัน”
“คุลิกา” เคลล์เรียกอีกครั้งอย่างท้อใจ
“ฉันเหนื่อยเกินกว่าจะสู้รบตบมือกับคุณจริงๆ นะคะเคลล์”
คุลิกาหมายความตามนั้นจริงๆ หัวใจเธออ่อนล้าจนเกินจะหยัดยืนลับฝีปากกับเขาแล้ว
“ผมไม่อยากทะเลาะกับคุณหรอก ผมก็แค่อยากรู้ว่าคุณเป็นอะไร มันเกิดอะไรขึ้น ผมจะได้แก้ปัญหาให้คุณได้ไง”
คราวนี้เธอมองเขาด้วยความขบขัน
“คุณกำลังหัวเราะเยาะเย้ยผมอยู่นะ” ดวงตาสีเทาเข้มนั้นเริ่มเต็มไปด้วยการคาดโทษ
“คุณอยากรู้จริงๆ ใช่ไหม ก็ได้ฉันจะบอกคุณ ว่าที่ฉันต้องร้องไห้มันก็เป็นเพราะคุณนั่นแหละ ถ้าใครจะผิดสักคนก็คือคุณคนเดียวเท่านั้น และถ้าคุณอยากรู้ว่าทำไมฉันถึงต้องร้องไห้ คุณก็เอาเวลาที่ตั้งคำถามอยู่ ณ ตอนนี้ ไปตีลังกาคิดใคร่ครวญให้ดีๆ เถอะ ว่าคุณทำผิดพลาดตรงไหน ฉันถึงได้ร้องไห้จะเป็นจะตาย” คุลิกาเชิดหน้าขึ้น หวังเหลือเกินว่าเขาจะเข้าใจ แต่แววตาคู่นั้นกลับว่างเปล่าจนทำเอาเธอได้แต่หลุบตาลง
“ผม...”
“หวังว่าคนฉลาดๆ อย่างคุณ จะเข้าถึงหัวอกของลูกผู้หญิงคนหนึ่งบ้าง โดยเฉพาะคนที่คุณอยู่กับเธอมาตลอดสองปีเต็ม อย่าให้ช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้คุณโง่เง่าไม่เข้าใจเธอเลยนะคะ”
“นี่คุณ” เคลล์ได้แต่เม้มปากแน่น คุลิกาโต้กลับซะเขาหน้าชาดิก
“ถ้ายังคิดไม่ออกก็กลับไปเถอะค่ะ ฉันให้เวลาคุณได้ใคร่ครวญตลอดทั้งชีวิตนั่นแหละ” เธอบอกอย่างคนที่ใกล้จะหมดแรง เมื่อเคลล์ยังคงยืนนิ่ง จึงเลือกเดินเร็วๆ ออกห่าง หนีไปจากห้องนอนได้ก็คว้าเอาบรั่นดีพร้อมกับแก้วเปล่าติดมือ ตรงดิ่งไปยังสวนด้านหลังของเพนท์เฮาส์ ซึ่งมองเห็นทิวทัศน์ครึ่งหนึ่งของเมืองเบอร์มิงแฮม เธอเลือกที่จะเทเหล้าลงคอ ดื่มมันตั้งแต่หัววันนี่แหละ เผื่อบรั่นดีขวดนี้จะทำให้ลืมภาพบาดตาบาดใจไปได้บ้าง ถึงแม้ลึกๆ แล้วจะรู้ดีว่ามันไม่ได้ผลก็ตาม
เคลล์ค่อนข้างจะหัวเสีย เมื่อออกมาจากห้องนอนแล้วได้รับรายงานจากเรเปลว่าคุลิกาหอบเหล้าไปนั่งดื่มบริเวณด้านหลังของเพนท์เฮาส์ ขาแข้งแข็งแรงจึงรีบก้าวอาดๆ ตรงไปหาแล้วคว้าเอาเหล้าในมือของเธอเททิ้ง รวมถึงไอ้ขวดบรั่นดีเจ้าปัญหานั่นด้วย แต่ดูเหมือนเขาจะออกมาช้าไป เพราะตอนนี้คุลิกากำลังแก้มแดงปลั่ง กลิ่นแอลกอฮอล์โชยมาจากลมหายใจจนต้องกลอกตาใส่อย่างนึกฉุน
“คุณไม่ควรดื่มนะ” เคลล์ตักเตือน มันเป็นการเตือนครั้งที่เท่าไรก็ไม่อาจจำได้
“อย่าห้ามฉาน”
เจ้าของร่างบางทำตาเยิ้มบอก หนำซ้ำยังควานหาแก้วเหล้าจากมือของชายหนุ่มอีก แต่เมื่ออีกฝ่ายขว้างทิ้งจนมันแตกกระจัดกระจาย ไหล่เล็กจึงไหวน้อยๆ แล้วคลี่ยิ้มกว้างๆ ว่า “ม่ายห้ายก็ม่ายเป็นราย...ฉานไปเอาแก้วใหม่กับเหล้าอีกขวดก็ด้าย วันนี้ฉานจะดื่มให้เมาเละไปเลยม่ายเชื่อก็คอยดู”
อุ้งมือร้อนผ่าวจึงคว้าปลาบเข้ากับต้นแขนของคนขี้เมา พร้อมกระซิบข่มขู่อย่างกรุ่นโกรธ
“อย่าให้ผมกำจัดเหล้าทุกขวดออกไปจากที่นี่นะ”
“เชิญเลย เดี๋ยวฉานให้เรเปลไปซื้อใหม่ก็ด้าย...”
คุลิกาหัวเราะคิกคัก แถมยังตบแปะบนแผลงอกแกร่งของเคลล์ไปมา จากนั้นก็เอียงหน้าเอียงคอมองตาปริบๆ “เฮ้ๆ อย่าทามหน้ายักษ์แบบนั้นนะ มานจะทำให้คุณแก่ขึ้นมาก เคลล์เป็นตาแก่ต้องม่ายดีแน่ๆ” นิ้วเล็กๆ โบกไปมาต่อหน้าต่อตาเขา แถมยังฉีกยิ้มน่าเอ็นดูอีก
ชายหนุ่มจึงถอนใจใส่ “ผมจะทำอย่างไรกับคุณดี”
ว่าแล้วก็กัดฟันกรอดๆ อยากจะตีก้นของคนถูกเปลี่ยนนิสัยด้วยน้ำเมายิ่งนัก แต่ให้ตายเถอะ บางทีเขาก็กำลังคิดว่าคุลิกาในคราบเมรีขี้เมาแบบนี้ก็น่ารักไม่เลว ดังนั้นท่อนแขนแข็งแรงจึงเกี่ยวเอาเอวคอดกิ่วของคนยืนโงนเงนมาชิดใกล้ ปากหยักอุ่นจัดขบเม้มเบาๆ ไปตามหลังใบหู
“ผมถามจริงๆ เถอะ ทำไมคุณต้องดื่มเหล้าด้วย มีเรื่องกลุ้มใจทำไมไม่คุยกับผมดีๆ ฮึ”
“ฉานไม่คุยกับคนจายร้ายหรอก”
เธอส่ายหน้า จนผมเผ้าปลิวสยายระดวงแก้ม ถึงแม้ตอนนี้แทบจะถูกเขารัดจนหายใจไม่ออก แต่ก็ยังพยายามฝืนกายออกห่างจากอ้อมกอดของเขา “ปล่อยได้แล้ว...ฉันจะไปอาวเหล้า” ริมฝีปากเล็กพูดด้วยเสียงเนิบช้า ใบหน้าแดงก่ำนั้นลอยไปลอยมาอยู่เฉียดปลายจมูกโด่งเป็นสันอย่างยั่วอยู่ในที มือไม้ของเธอก็เริ่มเคลื่อนมายุ่มย่ามอยู่แถวๆ ไรครางสีจางก่อนจะบีบบี้ปลายคางของเคลล์เล่นอย่างนึกสนุกมือ
“หนวดขึ้น” เธอกระซิบ หูตาช่างแพรวพราวยิ่ง
“ไม่ชอบหรือ” เมื่อคนเมาเปลี่ยนเรื่อง ชายหนุ่มก็คล้อยตามบ้าง
“ไม่ชอบให้คุณคุยกับคนอื่นมากกว่า” แม้ใบหน้าจะมีรอยยิ้มยั่วและแดงจัดจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ แต่นัยน์ตากลมโตทั้งสองข้างของคุลิกาก็ฉายแววเศร้าสร้อยอยู่ดี
“แบบนี้ก็ดี ไม่ต้องโกนหนวดหรอก”
“ที่ไม่อยากให้ผมคุยกับคนอื่นหมายความว่ายังไง”
เคลล์ได้แต่หรี่ตามองอย่างค้นคว้า แต่เมื่ออีกฝ่ายซบดวงหน้าเข้ากับอกกว้างจึงจุมพิตบนกลุ่มผมนุ่มสลวยเบาๆ เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุลิกาในช่วงเวลาที่ผ่านมากันแน่
“คุณอยากบอกอะไรผมไหม ผมอยากรู้จริงๆ นะ”
“อยากรู้หรือ” เปลือกตาเยิ้มๆ นั้นเหลือบมองเขา
“ครับ”
“ก็ได้” เธอกระซิบตาปรือหวาน “วันนี้ฉันเห็นคุณคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งด้วยแหละ เธอสวยดีนะ ดูเหมาะสมกับคุณมากๆ ฉาน...คิดว่าฉานไม่น่าอยู่ตรงนี้ ฉันจะไปจากคุณดีไหม”
“คุลิกา” เคลล์ใจหายเหลือเกินที่ได้ยินหญิงสาวพูดออกมาแบบนั้น
“ฉานทนไม่ได้จริงๆ นะ ถ้าคุณจะมีคนอื่นน่ะ”
“นี่คุณ” คราวนี้หัวใจแกร่งคล้ายจะพองโตแปลกๆ
“ฉันหึงคุณแหละ รู้ยัง?”
“จริงหรือ” เคลล์ครางถามอย่างรอคอยคำตอบ
แต่คราวนี้คุลิกากลับหัวเราะลั่น พร้อมส่ายหน้ารุนแรง จากนั้นแขนเล็กก็ขยับขึ้นคล้องคอชายหนุ่ม ดวงตากลมโตแหงนเงยสบกับดวงตาสีเทามีเสน่ห์ของเขา ราวกับว่าเธอไม่ได้เมามายอีกแล้ว “ฉันโกหกน่ะ ชาตินี้ฉันไม่มีวันหึงหวงคุณหรอก คุณจะคบกับใครก็ตามใจคุณเถอะ ฉันจะอยู่ในที่ของฉัน จะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายสร้างความลำบากใจให้กับคุณหรอก”
“คุลิกา”
“ฉันสัญญาค่ะ” หญิงสาวยิ้มแย้มบอกด้วยท่าทีน่ารัก แต่กลับทำให้สีหน้าของเคลล์ ลัมเบอร์ ควีนแมคก์เปลี่ยนจากหน้าเป็นหลังมือ!