อมีตี้ คิงส์เบอร์ลานต์ทำหน้าหงิกงอเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำรายงานจากสาวใช้ว่าบอดี้การ์ดหน้าตาหล่อเข้มของพี่ชายมาขอพบ เธอถอนใจอย่างนึกเซ็งพร้อมกับควานหากุญแจรถสปอร์ตของเคลล์ติดมือมาด้วย พอมายืนตรงหน้าของคนตัวโตกว่าจึงส่งกุญแจรถให้ แถมไม่ลืมทำหน้าทำตาเชิดใส่อย่างไม่พอใจอยู่ในที
“พี่เคลล์บอกว่านายจะมารับรถตั้งแต่เมื่อวาน”
“ขอโทษครับถ้าผมทำให้คุณหนูต้องรอ แต่ท่านมีเรื่องด่วนให้ผมทำ ผมจึงมารับรถไม่ได้” อ้อ! จะบอกว่าการต้องมาพบเธอมันไม่สำคัญใช่ไหม! อย่างนี้น่าจะเอาเจ้าลัมโบร์สีดำนั่นไปขายทอดตลาดมืดให้มันรู้แล้วรู้รอด ก็อยากจะรู้นักว่าบอดี้การ์ดอย่างเขาจะยังปากดีได้แบบนี้หรือเปล่า
“ในเมื่องานนายยุ่งนักก็รีบกลับไปเถอะ” อมีตี้ไล่ เธอไม่อยากอยู่ใกล้เรเปลไปมากกว่านี้ ตั้งแต่เคลล์ส่งเขาเข้ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิต เธอก็เห็นเรเปลเปรียบเสมือนยาเบื่อชนิดหนึ่ง
“ผมจะกลับครับ”
ชายหนุ่มยอมรับปากอย่างว่าง่าย แต่ก็ไม่ลืมแสดงบทบาทของความเป็นเรเปลดังเคย “แต่หลังจากที่ผมทำความเข้าใจกับคุณหนูในเรื่องหนึ่งเสียก่อน”
“อะไร?”
“คืนนั้น คุณหนูไปดื่มโดยที่ผมไม่ทราบล่วงหน้าเลยนะครับ”
อมีตี้กลอกตาไปมาเล็กน้อย เธอไม่อยากทะเลาะกับบอดี้การ์ดของพี่ชายในเรื่องนี้ ในเมื่อตัวเธอเองก็มีสิทธิ์จะทำอย่างไรก็ได้ตามความต้องการ พ่อของเธอแท้ๆ ยังไม่คิดจะห้ามปราม มีแต่แม่กระมังที่คอยว่าตักเตือนอย่างโน้นอย่างนี้ จนเธอแทบจะฟังไม่ทัน แล้วทำไมบอดี้การ์ดอย่างเขาต้องมาวุ่นวายกับชีวิตของเธอเกินความจำเป็นด้วยเล่า
“ฉันจะไปดื่มตอนไหน ไปกับใคร เมื่อไรมันก็สิทธิ์ของฉัน”
“แต่ท่านให้ผมดูแลคุณหนู ผมจำเป็นต้องทราบเรื่องของคุณหนูในทุกๆ เรื่อง”
หญิงสาวแบะปากใส่ทันควัน “นายเอาเวลานี้ไปดูแลพี่เคลล์เถอะ ไม่เห็นหรือว่าพี่ชายของฉันเขาแทบจะเอาขามาก่ายหน้าผากได้อยู่แล้ว ส่วนฉันไม่เป็นไร ปลอดภัยดีทั้งร่างกายและจิตใจ อีกอย่างฉันก็เคยบอกนายตั้งหลายหนว่าฉันไม่ชอบให้ใครมาตามติด ฉันอยากเป็นคนธรรมดา ไม่ได้อยากเป็นคุณหนูอมีตี้แห่งควีนแมคก์เสียหน่อย ถ้านายยังไม่เข้าใจละก็ฉันจะคุยเรื่องนี้กับพี่เคลล์”
“เชิญครับ ถ้าคุณหนูอยากให้ท่านมีเรื่องต้องคิดและเป็นกังวลเพิ่มขึ้นไปอีก”
“นี่นาย...”
“ถ้าจะคุยอะไรก็เอาไว้หลังจากเดือนนี้ไปก่อนเถอะครับ ผมไม่อยากให้ท่านต้องถูกความเครียดเล่นงานจนต้องหามส่งโรงพยาบาลในสักวัน เพราะถ้าเป็นแบบนั้นอาณาจักรควีนแมคก์ต้องระส่ำระสายเป็นแน่”
“พี่ชายของฉันกลุ้มเรื่องอะไร?”
อมีตี้เผลอตัวเดินเข้าใกล้เรเปลมากยิ่งขึ้น เมื่ออีกฝ่ายปิดปากเงียบจึงต้องแย่งกุญแจรถมาถือไว้เสียเอง “ฉันจะไม่ให้นายไปไหนทั้งนั้น จนกว่านายจะบอกฉันว่าใครทำให้พี่เคลล์ต้องกลุ้มใจ ได้ยินไหม!”
“ถ้าคุณหนูรู้ไปแล้ว คุณหนูจะทำอะไรได้ล่ะครับ”
“ฉันต้องทำได้สิ ในเมื่อฉันคืออมีตี้ คิงส์เบอร์ลานต์น่ะ”
“คุณหนูคงไม่ลืมใช่ไหมครับ ว่าคุณหนูอยากใช้ชีวิตอย่างปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่ง ถ้าคุณหนูยังต้องการใช้ชีวิตในแบบนั้นละก็ ปล่อยให้ท่านจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองเถอะครับ”
“แต่”
“ท่านคงดีใจถ้าคุณหนูไม่ออกไปก่อเรื่องอะไรอีก ผมขอให้คุณหนูอยู่บ้านอย่างสงบ และถ้ามีความจำเป็นต้องออกไปไหน รบกวนแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ และถ้าผมรู้ว่าคุณหนูออกไปดื่มเหล้าอีกละก็ คราวนี้ผมจะมานั่งเฝ้าคุณหนูที่หน้าบ้านไม่ยอมให้คลาดสายตาอีกเด็ดขาด”
“ฉันไม่ใช่นักโทษ!” ได้แต่โพล่งขึ้นอย่างประท้วง
“ผมเสียใจถ้าทำให้คุณหนูคิดแบบนั้น”
เรเปลก้มหน้าอย่างรู้สึกผิดให้เล็กน้อย จากนั้นก็ขอกุญแจรถคืน เรียบร้อยก็เหยียบลัมโบร์กินีของผู้เป็นนาย กลับเพนท์เฮาส์ เขายังไม่รู้เลยว่าป่านนี้เจ้านายจะออกจากห้องนอนหรือยัง นี่มันก็ผ่านมาจะครบยี่สิบสี่ชั่วโมงเต็มอยู่แล้ว ถ้าคำตอบคือยังละก็ เขาอาจต้องติดต่อหมอประจำตระกูลควีนแมคก์ให้เตรียมพร้อมสำหรับส่งสองหนุ่มสาวเข้าไปพักผ่อนในโรงพยาบาล จะว่าไปท่านประธานของเขาไม่น่าห่วงเท่ากับสาวบัญชีเจ้าของนัยน์ตาเศร้าสร้อยอย่าง คุลิกาหรอก ไม่รู้ว่าหลายชั่วโมงมานี้ เธอจะเอาเรี่ยวเอาแรงที่ไหนสู้รบกับผู้ชายแข็งแรงอย่างท่านประธานได้
เมื่อนึกถึงเรเปลก็ได้แต่ตีหน้าเครียด พร้อมกับภาวนาให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ทว่าพอกลับมาถึงเพนท์เฮาส์สุดหรูของผู้เป็นนาย ชายหนุ่มก็ต้องย่นคิ้วจนแนบติดกันเมื่อเรเอสก้าวพรวดพราดตรงมาหาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ท่านยังไม่ยอมออกมา อีกสองชั่วโมงก็จะครบหนึ่งวันเต็มแล้ว”
เรเอสว่าขณะปรายตามองไปด้านในบ่อยครั้ง
“ท่านมีคำสั่งอะไรทางอีเมลหรือโทรศัพท์บ้างไหม?”
“ไม่มี...จะมีก็แค่เสียงโวยวายของคุณคุลิกาเท่านั้น”
“...”
เรเปลได้แต่อ้าปากค้างแล้วตบเข้ากับไหล่กระด้างของเพื่อนซี้เต็มแรง “บางทีนายก็ต้องหัดทำตัวเป็นคนหูหนวกตาบอดบ้างนะเรเอส ไม่อย่างนั้นเราสองคนอาจต้องเดือดร้อนด้วยกันทั้งคู่ก็เป็นได้”
“แต่”
ยังไม่ทันที่เรเอสจะได้พูดอะไรออกมา ก็ต้องเบิกตากว้างแล้วก้าวดุ่มๆ ไปโค้งตัวให้ท่านประธานหนุ่มแห่งควีนแมคก์ด้วยท่าทีสุภาพ
“ท่านออกมาแล้วหรือครับ”
มุมปากของเคลล์กระตุกยิ้มให้กับคำถาม เขารู้ดีว่าเรเปลคงหาคำพูดที่ดีกว่านี้ไม่ได้ แน่ละในเมื่อเขาขังตัวเองอยู่ในห้องนอนกับคุลิกาจนเกือบครบยี่สิบสี่ชั่วโมง
“ฉันจะไปบริษัทกับเรเอส ส่วนนายอยู่ที่นี่คอยรักษาความเรียบร้อย ห้ามให้อะไรหรือใครก่อเรื่อง”
“ครับท่าน”
ด้วยเพราะทำงานรับใช้เคลล์มานานหลายปี เรเปลจึงเข้าใจคำสั่งเมื่อสักครู่อย่างถ่องแท้ ท่านประธานของเขากำลังออกคำสั่งว่าให้เขาจับตาดูคุลิกา ห้ามให้เธอคลาดสายตาเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นหัวของเขาคงต้องหาที่ยึดเหนี่ยวใหม่ เมื่อนึกถึงจุดนั้นแล้ว เรเปลก็ได้แต่ส่ายหน้าแรงๆ การ์ดหนุ่มก้มหน้าให้กับผู้เป็นนายอย่างนอบน้อมอีกครั้ง เงยหน้าขึ้นมาอีกทีเรเอสก็พาท่านออกจากเพนท์เฮาส์ไปไกลตามากแล้ว
บอดี้การ์ดหนุ่มผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ อย่างกลัดกลุ้ม รีบก้าวเข้าบ้านพักของผู้เป็นนายพร้อมหันรีหันขวางมองหาร่างบางของคุลิกาไปรอบๆ พอเจอเธอก้าวออกจากห้อง พร้อมชุดทำงานแสนคุ้นตา ช่วงขาแข็งแรงของ เรเปลจึงรีบเดินเข้าไปขวางทางอย่างรวดเร็ว
“ท่านต้องการให้คุณคุลิกาพักผ่อนอยู่ที่นี่ครับ”
คุลิกาห้ามตัวเองไม่ให้ถลึงตาใส่เรเปลไว้ไม่ได้จริงๆ การที่เธอถูกกักตัวอยู่บนเตียงร่วมกับเขามาตลอดทั้งวันทั้งคืน มันยังไม่พอใช่ไหม ถึงได้ทำกับเธอไม่ต่างจากนักโทษแบบนี้ จึงเลือกที่จะไม่ใส่ใจกับคำหักห้ามของการ์ดหนุ่ม พร้อมกระชับกระเป๋าในมือไว้แน่น แล้วเบียดไหล่ของ เรเปลเดินออกไปในทันที
“ผมให้คุณคุลิกาไปไม่ได้จริงๆ ครับ”