การเล่นเกมสาดเทอารมณ์สวาทใส่กันครั้งแล้วครั้งเล่า มันกำลังทำให้เธอและเขาต้องเพลี่ยงพล้ำ ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นจากความพึงพอใจทั้งสอง ที่จะทำให้ห้องน้ำห้องนี้ร้อนระอุด้วยไฟพิศวาสรุนแรง ผ่านมานาทีแล้วนาทีเล่า เคลล์ก็ยังขยันบดขยี้ด้วยเอวสอบที่มีพละกำลังสมชายชาตรี และตัวเธอเองก็ตะบี้ตะบันเล่นกับร่างกายแข็งแรงอย่างไม่อาจจะรอมชอมได้เช่นกัน
เมื่อแสงตะวันของวันใหม่สาดลอดช่องผ้าม่านเข้ามาแยงตา คุลิกาก็บิดตัวอย่างเกียจคร้าน เธอหยัดกายขึ้นนั่งด้วยความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและร้าวระบมไปตลอดทั้งตัว แต่เพียงลืมตาขึ้นมองไปรอบๆ ก็ต้องปั้นหน้าเฉยชาทันทีที่ดวงตากลมโตสบกับนัยน์ตาสีเทานิ่งงัน จึงเลือกจะเบือนหนีเจ้าของรูปร่างหล่อเหลาในชุดสูทอาร์มานีสีดำ เนกไทสีน้ำตาลเข้ม ซึ่งเธอยอมรับว่าเขาดูดีและหล่อมากทีเดียว ทรงผมก็ถูกจัดให้ดูยุ่งเล็กน้อย ทว่าเธอมองออกว่ามันช่างเซ็กซี่และเร่าร้อนได้ใจ แต่เพราะเขาเป็นแบบนี้นั่นแหละ ถึงต้องรีบเดินออกห่างให้ไกลที่สุด
ทว่าเมื่อเห็นเขายังจ้องนิ่งจึงรีบปีนลงจากเตียงอย่างเร็วๆ ไม่สนใจหรอกว่าตอนนี้กำลังเปลือยร่างต่อหน้าต่อตาของเขาอยู่ เขาจะมองหรือไม่มองเธอก็จะคิดเสียว่าเขาเป็นเพียงอากาศธาตุที่ไร้ตัวตนและไร้ความรู้สึกใดๆ
“ผมจะรอที่ห้องอาหาร”
คำพูดทุ้มต่ำเย้ายวนดังขึ้น ทำให้คุลิกาต้องหันไปมอง เธอไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ นอกเสียจากก้มหยิบชุดคลุมอาบน้ำที่ตัวเธอเองก็ยังนึกไม่ออกว่ามันมาตกอยู่บนปลายเตียงตั้งแต่เมื่อไรขึ้นมาสวมใส่ มัดปมผ้าไว้หลวมๆ ได้ ก็เดินหายเข้าไปในห้องน้ำหน้าตาเฉย ไม่สนใจหรอกว่าใครบางคนจะทำเสียงขึ้นจมูกไล่หลัง
เธอใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวร่วมครึ่งชั่วโมง ก็กลับมาอยู่ในชุดเสื้อคอเต่าสีฟ้าอ่อนแขนยาวกับกระโปรงยาวคลุมข้อเท้าสีน้ำตาลเข้ม ซึ่งทั้งเสื้อและกระโปรงเป็นข้าวของที่หิ้วมาจากตลาดโรงเกลือของเมืองไทย เธอเลือกที่จะไม่สวมใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนมซึ่งใครบางคนซื้อให้จนเต็มสองตู้เสื้อผ้า เพราะไม่อยากจะมีบุญคุณความแค้นอะไรกับเขาไปมากกว่านี้ แต่งกายเรียบร้อยก็ประทินผิวหน้าด้วยแป้งเด็กนิดหน่อย จากนั้นก็ปิดดวงตากลมโตด้วยแว่นตาขอบสีเงิน ความจริงไม่ได้สายตาสั้นหรือยาวหรอก ก็แค่จะแต่งตัวให้ตนเองดูเชยและไม่น่าดูสุดๆ เท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อป้องกันพวกจระเข้กลัดมันทั้งหลายไม่ให้มาข้องเกี่ยว แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเคลล์ ลัมเบอร์ ควีนแมคก์เขาเห็นอะไรในตัวเธอ ถึงได้ยอมให้มาอยู่ในฐานะนางบำเรอเขา หรือบางทีเขาอาจไม่ได้นึกพิศวาสอะไรก็เป็นได้ เขาก็แค่หลับหูหลับตามีอะไรกับเธอให้ผ่านๆ ไปในแต่ละค่ำคืนก็เท่านั้นเอง และอีกหนึ่งเหตุผลอาจเป็นเพราะเขาต้องการให้ชดใช้กับตัวเลขบัญชีที่มันมีส่วนต่างจากความเป็นจริงร่วมห้าล้านปอนด์กระมัง นึกถึงจุดนี้แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเหน็ดเหนื่อย ไม่รู้ว่าต้องนอนบำเรอเขาไปอีกนานแค่ไหนกว่าจะมีเงินก้อนนั้นคืนให้กับเขา
คุลิกาคว้ากระเป๋าผ้าซึ่งหิ้วมาจากที่เดียวกันกับชุดคล้องไหล่ มีทุกอย่างพรั่งพร้อมอยู่ในนั้น วันใดที่เขาไล่ตะเพิด ก็แค่หิ้วกระเป๋าใบนี้และเดินจากไปเงียบๆ เท่านั้นเอง ก้าวมาถึงห้องอาหารก็ถอนใจเล็กน้อย เมื่อดวงตาสีเทาเข้มเหลือบมองด้วยความหมายบางอย่าง แต่ก็ไม่สนใจจะพูดอะไรกับเขา นอกจากเดินไปหยิบขนมปังปิ้งหนึ่งแผ่นซึ่งเรเปลอุตส่าห์ทำไว้ให้ ยัดเข้าปากได้ก็เคี้ยวตุ้ยๆ แล้วเดินไปคว้าเอารองเท้าไม่มีส้นสีดำมาสวม เรียบร้อยก็ก้าวออกไปหน้าตาเฉย
“คุลิกา” เคลล์คว้าตัวไว้ก่อนที่จะข้ามพ้นประตู
“ปล่อย!” เธอกล้าออกคำสั่งกับเขาอีกแล้ว เก่งกาจมากใช่ไหมล่ะ!
“เราจะไปบริษัทพร้อมกัน”
คราวนี้ไหล่เล็กไหวเบาๆ เรียวปากอิ่มบิดขึ้นเป็นรอยยิ้มขบขัน ก่อนจะสะบัดแขนแรงๆ ให้หลุดออกจากพันธนาการแข็งแรง
“คงไม่เหมาะหรอกค่ะ ถ้าหากฉันจะนั่งรถคันเดียวกับผู้ผูกขาดชีวิต สองปีมานี้ฉันก็ไปทำงานด้วยรถประจำทางได้ วันนี้ก็คงไม่มีความจำเป็นใดๆ ต้องใช้บริการรถของท่านประธานหรอก ฉันว่าถ้าคนอื่นเห็นเข้า คุณคงไม่ชอบใจแน่ถ้าต้องตกเป็นขี้ปากใครต่อใคร แต่สำหรับฉันต่อให้โดนนินทาว่าร้ายแค่ไหนก็ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ฉันเก่งและหน้าด้านพอจะทนได้”
“ผมก็แค่อยากคุยด้วยระหว่างทาง”
“เอาไว้คืนที่คุณนึกอยาก ค่อยคุยก็แล้วกัน”
คุลิกาเบือนหน้าหนีเป็นการยุติการสนทนาของเช้านี้ เดินเร็วๆ ออกจากเพนท์เฮาส์ ตรงไปยังถนนสายหลักที่เธอมักจะยืนโบกรถประจำทางเป็นประจำ วันนี้เพื่อนร่วมทางไม่มีเลยสักคน รถที่แล่นมาจอดตรงเวลาก็คล้ายจะหายไปแล้ว คงเป็นเธอออกมาช้ากระมัง นั่นก็เป็นเพราะเขานั่นแหละ ที่ชวนคุยเรื่องงี่เง่าแต่เช้า!
ถอนใจเล็กน้อย ขณะกระชับกระเป๋าสะพายไหล่ เดินออกไปเรื่อยๆ หวังว่าจะมีแท็กซี่สักคันผ่านมาทางนี้ อยากไปถึงควีนแมคก์เอนเตอร์ไพรส์ก่อนแปดโมงครึ่ง จะได้มีเวลามากพอที่จะใช้ออฟฟิศในส่วนของพนักงานบัญชีโดยลำพัง ถ้าเลยเวลาไปถึงเก้าโมง คงไม่มีเวลาจะนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย หนำซ้ำยังต้องตีหน้าด้านหน้าทนให้กับสายตาของเหล่าเพื่อนร่วมงาน ซึ่งทุกคนก็คงจะรู้ว่าหน้าติ๋มๆ อย่างเธอ มีอีกตำแหน่งครอบหัว น่าภูมิใจชะมัด!
คิดอย่างนึกเซ็งชีวิต ก่อนจะเดินออกสู่ถนนใหญ่อย่างใจเลื่อนลอย แต่ยังไม่ทันได้ย่างครบสามก้าวด้วยซ้ำ เสียงรถของใครบางคนก็เคลื่อนมาชะลออยู่ใกล้ๆ กระจกด้านหน้าของคนขับเลื่อนลง ก่อนจะเผยใบหน้าเรียบๆ ของเรเปลเยี่ยมหน้าทักทาย หมอนั่นจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม ทำนิ่งขรึม คงเป็นเพราะอยู่กับเจ้านายผู้มีอำนาจกระมัง ถึงได้ซ่อนความขี้เล่นของตัวเองไว้
“ท่านให้เชิญคุณคุลิกาขึ้นรถครับ”
“ฝากบอกท่านของเรเปลด้วยนะคะว่าฉันขอบคุณมากในความกรุณา แต่ฉันขอปฏิเสธค่ะ”
“ตอบแบบนั้นคงไม่ดีกระมังครับ”
เรเปล ลาร์สคิอัลในวัยสามสิบเจ็ดปี แทบจะชะโงกหน้ามากระซิบให้ได้ยินเพียงสองคน แต่ก็ต้องนั่งตัวแข็งทื่อแทบไม่ทัน เมื่อจู่ๆ ผู้เป็นนายก็ส่งเสียงกระแอมกระไอก่อนจะเปิดประตูรถก้าวลงไปหน้าตาเฉย ตอนนี้เรเปลจึงได้แต่ปิดปากเงียบ พร้อมกับเลื่อนกระจกปิดกั้นตัวเองจากสภาวะภายนอก เขาไม่อยากได้ยินเสียงเหี้ยมๆ ของผู้เป็นนายที่กำลังจะวางอำนาจบาตรใหญ่ใส่สตรีผู้น่าสงสาร
“คุลิกา อิงสุวรรณ” คราวนี้เคลล์จงใจเรียกชื่อเต็มของหญิงสาว นัยน์ตาสีเทาดุเพ่ง
“ฉันไม่ไป” ตอบโดยไม่หันไปมอง
ท่าทางหยิ่งยโสและอวดดี ทำให้เคลล์ต้องก้าวยาวๆ ไปคว้าเอาข้อมือเล็กมากระชับไว้มั่น ครั้นอีกฝ่ายสะบัดกายดิ้นเร่าราวกับมือของเขาพกพาเชื้อโรคร้ายแรงจึงได้แต่รั้งเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม ให้เธอได้เห็นชัดๆ ว่าสีหน้าของเขาในเวลานี้พร้อมจะหักคอมากขนาดไหน
“อย่ามาทำเป็นรังเกียจผมให้มันมากนัก”
“รู้ตัวด้วยหรือว่าฉันรังเกียจน่ะ”
“แน่สิ! ผมมีตา ผมพอจะดูออกว่าคุณคิดและรู้สึกอย่างไร แต่ที่ผมชวนคุณขึ้นรถไปด้วยกัน ไม่ได้เพราะพิศวาสหรือสงสารอะไรหรอก ก็แค่ไม่อยากให้พนักงานคนหนึ่งทำตัวเป็นเยี่ยงอย่างคนอื่นด้วยการเข้าทำงานสาย รู้ไหมว่าคุณไปช้าแค่สิบนาที บริษัทของผมต้องสูญเสียประโยชน์มากมายแค่ไหน ในเมื่อกินเงินเดือนแพงเท่าๆ กับคนอื่น ก็ช่วยทำตัวให้สมราคาที่ผมจ่ายให้ในแต่ละเดือนด้วย”
คุลิกาอดไม่ได้จริงๆ จึงแบะปากใส่ “ฉันน่าจะลาออก แล้วมาแก้ผ้ารอคุณอยู่บนเตียง ทำหน้าที่เดียวก็ไม่เลวนะ คุณว่าไหม?” ท้ายประโยคจงใจประชดประชัน แต่เมื่อเขาไม่เล่นด้วยจึงสะบัดแขนแรงๆ แล้วเดินอ้อมไปนั่งด้านหน้าใกล้ๆ กับเรเปล มีรถนั่งไปถึงบริษัทก็ดีกว่าการต้องเดินเอื่อยเฉื่อยรอรถประจำทาง แต่คงดีกว่านี้ ถ้าเป็นราชรถจริงๆ ไม่ใช่รถของผีห่าซาตาน
การกระทำของหญิงสาว ทำให้พลขับหนุ่มผู้พ่วงตำแหน่งทั้งบอดี้การ์ดและเลขาฯ มือดีอย่างเรเปลได้แต่ลอบกลืนน้ำลายลงคอครั้งแล้วครั้งเล่า ชายหนุ่มไม่กล้ามองหน้าผู้เป็นเจ้านายซึ่งเพิ่งจะก้าวขึ้นมานั่งประจำตำแหน่งหลังจากปิดประตูดังลั่นเลยสักนิด เชื่อเถอะว่า เรเอสคู่หูของเขามันก็ไม่อยากเห็นคุณเคลล์ในอารมณ์บูดอย่างกับน้ำแกงถูกทิ้งข้ามวันแบบนี้แน่ๆ
นั่งรถมาสักพัก คุลิกาก็ค่อยๆ ปรายตามองคนนั่งด้านหลัง ก่อนจะหันมามองหน้าเรเปลแล้วพูดช้าๆ ชัดๆ ให้ใครบางคนได้ยิน “เรเปล ช่วยจอดก่อนจะถึงบริษัทสักร้อยเมตรนะคะ เพราะฉันไม่อยากให้ใครเห็นว่าฉันนั่งรถมากับมหาเศรษฐีหมื่นแสนล้าน ฉันกลัวจะตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน เพราะไอ้เรื่องเก่าๆ พวกเขาก็พูดคุยลับหลังกันจนไม่รู้จบ บอกตรงๆ ฉันไม่พร้อมจะมีข่าวฉาวโฉ่เรื่องใหม่ๆ อีกแล้ว”
“ครับ” การ์ดหนุ่มได้แต่รับปาก
“และก็ฝากบอกเจ้านายของเรเปลด้วยนะคะ ว่าตลอดทั้งสัปดาห์นี้ฉันไม่ต้องการเห็นหน้าเขาอีก พูดตรงๆ ก็คือ ฉันลากิจในอีกหนึ่งคืนที่เหลือเลยก็แล้วกัน บอกเขาว่าเจอกันอีกครั้งสัปดาห์หน้า ตกลงตามนี้นะคะ”
“เอ่อ...” เรเปลได้แต่อ้ำอึ้ง ขณะทอดสายตามองกระจกมองหลัง แล้วต้องสูดหายใจเข้าปอดลึกเมื่อเห็นสีหน้าดุดันของผู้เป็นนาย “ผมว่าคุณคุลิกาเจรจากับท่านด้วยตัวเองจะดีกว่านะครับ”
“ค่ะ ฉันจะทำตามที่คุณบอก ถ้าฉันอยากคุยกับเขา”
พูดไปแล้วก็หันไปมองหน้าท่านประธานแห่งควีนแมคก์เอนเตอร์ไพรส์เล็กน้อย เห็นเขาตีสีหน้าดุๆ ก็เบ้ปากใส่ จากนั้นจึงหันมานั่งนิ่งๆ รอเวลาเข้าสู่เขตตึกสูงยักษ์ของควีนแมคก์ แต่กว่าจะถึงจุดที่ต้องการลงนั้นสันหลังของเธอเสียววาบๆ คงเป็นเพราะถูกใครบางคนเพ่งเล็งอย่างคาดโทษกระมัง แต่ต่อให้เขาตีหน้ายักษ์พร้อมจะฉีกร่างออกเป็นชิ้นๆ มากแค่ไหน ก็ไม่กลัวหรอก ในเมื่อที่นี่ออกจะมีผู้คนพลุกพล่าน มีหน้ามีตาที่เขาต้องรักษาในฐานะท่านประธานผู้ยิ่งใหญ่ ลองเขากล้ามาหาเรื่องในเวลานี้สิ จะเหวี่ยงวีนให้แตกหัก เอาให้บรรดาคู่ค้าของเขาได้รู้แจ้งเห็นจริงกันไปเลยว่าเคลล์ ลัมเบอร์ ควีนแมคก์ไม่ใช่สุภาพบุรุษอย่างที่ใครๆ เห็น เขามันเป็นพวกมารร้ายในคราบนักบุญ เป็นผู้ชายสารเลวคนหนึ่งที่ทำลายชีวิตของคนไม่มีทางต่อสู้จนย่อยยับ! และรู้เอาไว้ด้วยเถอะ ถ้าใช้หนี้หมดเมื่อไร ผู้ชายชื่อเคลล์จะถูกลบออกไปจากมโนสำนึก เธอจะไม่มีวันละเมอเพ้อพกถึงผู้ชายใจร้ายคนนี้เป็นเด็ดขาด!