ปิ่นหยกวิ่งไปหาหวงเจียวหลุนแต่ยังคงล้อเลียนหวังเฟิงไม่หยุด หวงเจียวหลุนก็มิได้ว่ากล่าวสิ่งใด ทำเพียงมองสองคนทะเลาะกันอย่างเด็กน้อย
" นี่เจ้า นางสตรีอัปลักษณ์ ของข้ามิได้โตงเตงเสียหน่อย " หวังเฟิงกล่าวแก้ตัว ยิ่งพูดเขายิ่งหน้าแดงสลับเขียว และคำพูดของหวังเฟิงเป็นการเปิดโอกาสให้ปิ่นหยกเสียด้วย
" จริงหรือ? แต่ข้าว่ามันคงจะห้อยโตงไปเตงมาแน่ๆ "
" ไม่ ของข้าครบสมบูรณ์ "
" อย่าโป้ปด เรื่องน้องชายของเจ้ารู้ไปถึงสวรรค์ หากเจ้าไม่ได้โป้ปดแน่จริงถอดให้ดู เพื่อพิสูจน์สิ กล้าหรือเปล่าเล่า? ให้องค์ชายเก้าเป็นพยาน " ปิ่นหยกหันมาตอบ เดินถอยหลัง ใช้สายตาชำเลืองคอยดูทาง หวงเจียวหลุนเดินข้างๆ แล้วเอียงตัวบอกปิ่นหยก
" ระวังทางด้วย " ปิ่นหยกหันหน้ากับมาและไม่สนใจขันทีผู้น่ากลั่นแกล้ง
" องค์ชายสรุปยามอิ๋นนี่มันกี่โมง ดูฟ้าสิมืดอยู่เลย "
" กี่โมง? ข้าหารู้ไม่ แต่ 1 วันมี 12 ชั่วยาม เริ่มจากยามจื่อ ยามโฉ่ว ยามอิ๋น ยามเหมา ยามซื่อ ยามอู่ ยามเว่ย ยามเซิน ยามโหยว่ ยามซวี และยามไฮ่ " เขาอธิบายอย่างใจเย็น
" งั้น 1 วันมี 24 ชั่วโมง 1 ยามก็เท่ากับ 2 ชั่วโมง ตอนนี้ยามอิ๋น ดูจากท้องฟ้าก็ไม่น่าจะตี 5 ตอนนี้น่าจะประมาณตี 3 ตี 4 โอ้แม่เจ้า! ตื่นเช้าขนาดนี้เลยหรอ ยิ่งกว่าเข้าค่ายลูกเสืออีก เปลี่ยนๆ พรุ่งนี้เลื่อนให้ช้ากว่านี้ รอให้ให้พระอาทิตย์ใกล้ขึ้นค่อยมา "
" ทำไมหรือ? เวลานี้ไม่เหมาะฝึกยุทธหรือ? " เขาเอ่ยตอบเพราะการตื่นเวลานี้ย่อมเป็นปกติ โดยเฉพาะสตรีทั่วไป ยิ่งสตรีออกเรือนจำต้องตื่นขึ้นปรนนิบัติสามีมิใช่หรือ? หรือเป็นเขาที่เข้าใจผิดไปเอง
" ใช่ไม่เหมาะอย่างมาก มันเหมาะกับการนอนมากกว่า " ปิ่นหยกเอ่ยตอบอย่างอารมณ์เสีย ร่างกายเริ่มล้าเมื่อรู้ว่าเวลานี้ควรที่จะนอนห่มผ้ากลิ้งไปกลิ้งมา
" ถึงหรือยังเจ้าคะ องค์ชาย " ปิ่นหยกหันมาถาม เพราะล้าขา แขนและลำตัว ที่ต้องลำบากเดินในเวลานี้
" ข้างหน้านี้เอง" เขาเดินนำไป เมื่อถึงลานกว้างไร้ผู้คน มีแต่ต้นไม้ ไร้พุ่มไม้ ดอกไม้ใบหญ้าดังที่ตั้งใจไว้
" ไหนบอกว่าเป็นอุทยาน นี่หรอกหรืออุทยาน ไม่เห็นเหมือนอย่างที่คิดเลย "
" ที่นี่มิใช่อุทยานหรอก หากไปอุทยานแล้วข้าเผลอไผลทำบุปผางาม เสียหายคงยุ่ง หากฝึกตามที่แม่นางบอก ข้าจะพาไป " เขาตอบนางอย่างใจเย็น
" ก็ได้ " ปิ่นหยกตอบ เพราะยิ่งพูดมากเธอก็ยิ่งเหนื่อย คล้ายโดนสูบพลังงาน เธอจึงค่อยๆ สำรวจโดยรอบ สายตาเหลือบเห็นต้นไม้ใหญ่ จึงให้หวงเจียวหลุนอบอุ่นร่างกายก่อนเลย " มาเริ่มกันเลย องค์ชายเห็นต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นหรือไม่เพคะ "
" อืม เห็น "
" องค์ชายวิ่งจากตรงนี้ไปถึงต้นไม้ต้นนั้น แล้วกลับมาถือว่าเป็น 1 รอบ องค์ชายวิ่งทั้งหมด 10 รอบ ไหวหรือไม่? "
" ข้าไม่รับปากแต่จะพยายาม " หวงเจียวหลุนตอบ ทั้งที่ใจหวั่นๆ อยู่บ้าง
" ดี งั้นเริ่มเลย ข้ารอตรงนี้นะ "
" แม่นางไม่วิ่งด้วยกันหรือ? "
" ไม่ได้ ข้าเป็นโค๊ช วิ่งด้วยไม่ได้ " ปิ่นหยกตอบออกไป ด้วยจริงๆ แล้ว เธอขี้เกียจวิ่ง
" โค๊ช? "
" อย่าถามไปได้แล้ว " ปิ่นหยกดันล่างของหวงเจียวหลุนให้วิ่ง โดยมีหวังเฟิงคอยดูแลอยู่ ส่วนตัวเองก็หาที่นั่งกับพื้นหญ้าที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำค้าง ก่อนหน้าตั้งใจจะเอนตัวนอนเสียหน่อย แต่พื้นหญ้าเปียกชื้นเช่นนี้เธอจะนอนได้อย่างไร ปิ่นหยกอยากจะร้องไห้กับชีวิตแสนเหลือเกิน จนได้แต่ทำหน้าเบื่อหน่าย นั่งเท้าคางนึกถึงสมัยที่เรียนอยู่มัธยมศึกษาตอนปลาย ตนเองแอบมองนักเรียนชายที่มาเรียนเป็นนักศึกษาวิชาทหาร หรือที่เราเรียกติดปากกันว่า " รด. " บางคนก็หุ่นดี บางคนก็แห้งเหี่ยว หรือเจอประเภทอ้วนเกินคำว่าสมบูรณ์เหมือนหวงเจียวหลุน ก็มี แค่ฝึกซ้อมอย่างตั้งใจ 1 เดือนเห็นจะได้ หุ่นของคนที่อ้วนท้วมเหมือนตราเด็กสมบูรณ์ก็ดีขึ้นอย่างตาเห็น องค์ชายเก้าผู้นี้หากตั้งใจอย่างไรก็ต้องผอมแน่ ยิ่งยุคนี้ไม่มีอาหารฟาสต์ฟูด หรือที่เรียกว่า อาหารจานด่วน มาเป็นตัวแปรด้วยแล้ว รับรองหุ่นแซ่บ
เมื่อคิดได้ปิ่นหยกมองสภาพร่างกายตัวเอง หากยังคงเอาแต่ขี้เกียจ ไม่วิ่งหรือออกกำลังกายเสียบ้าง คงมีหวังอ้วนเหมือนกัน จึงตัดสินใจลุกขึ้นยืน บิดแขนขาแต่เธอมิวิ่งได้แต่ออกกำลังกายอยู่กับที่ เพราะกระโปรงที่สวมใส่เป็นอุปสรรคกับปิ่นหยกเหลือเกิน
10 รอบ ร่างกายชุ่มเหงื่อก็เดินตรงมาอย่างเหนื่อยหอบ สองขาดูคล้ายจะสั่นๆ ในจังหวะก้าวเข้ามา เขานั่งลงกับพื้นเพื่อพักให้คลายเหนื่อยโดยมีหวังเฟิงช่วยดูแลปรนนิบัติพัดวี ฟ้าเริ่มเปิดแสดงว่าใกล้สว่างแล้ว
" เหนื่อยหรือไม่ องค์ชาย? " เธอเอ่ยถาม
" ข้าทนได้ " เขาตอบกลับไป ทั้งที่คำพูดต่างกับอาการเหลือเกิน แต่ด้วยเลือดขัตติยะ ไฉนเลยต้องเผยท่าทีอ่อนแอให้สตรีเห็น
" เช่นนั้นเริ่มท่าต่อไป ท่านี้จะลดพุงเรียกว่าซิทอัพ อดทนหน่อยนะองค์ชาย ทำบ่อยๆ ก็จะชิน " เธอสาธิตให้ดูเพียงเล็กน้อย มุมปากยกยิ้มอย่างสะใจ ในใจคิดกับคำพูดเมื่อครู่ จึงนึกอยากจะแกล้ง
" หืม? " เขาขมวดคิ้ว
" เอาน่าองค์ชาย ลองดู" ปิ่นหยกสาธิตให้ดูอีกครั้ง ก็ให้หวงเจียวหลุนทำ ส่วนตนเองทำหน้าที่คอยจับขาให้ หวงเจียวหลุนนอนราบอยู่กับพื้น แล้วยกขาสองข้างชันเข่าขึ้น สองแขนไพล่ไปต้นคอด้านหลังแล้วค่อยๆ ยกลำตัวขึ้นเพื่อให้ศีรษะโน้มไปที่เข่าทั้งสองข้าง แต่ทว่าเขาพยายามดันตัวขึ้นก็หาขึ้นไม่ ลำตัวสั่นอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็พยายาม
" ยืนเซ่ออยู่ทำไมเล่า เจ้าขันที ช่วยองค์ชายสิ " ปิ่นหยกตวาดเสียงดังลั่นให้หวังเฟิงมาช่วยดันหลัง หวังเฟิงตกใจแล้ววิ่งอ้อมมาด้านหลัง ใช้มือสองข้างช้อนไปด้านหลังแล้วค่อยๆ ดันหลังองค์ชายของตนขึ้น
" เอ๊า! หนึ่ง ดีมากองค์ชาย ทำให้ครบยี่สิบครั้งนะ ทีนี้นอนลงไป อืม... อย่างนั้นแหละ อึบ! สอง.. สาม..ทนหน่อยองค์ชาย สี่..อ๊ะ! ..ห้า..ดีมาก ... สิบหก.. สิบเจ็ด สิบแปด เร็วอีกสองที สะ..สิบเก้า . ยะ..ยี่..ยี่สิบ.. " ปิ่นหยกยิ้มหวานให้ หวงเจียวหลุนลงไปนอนแผ่อยู่กับพื้น หายใจหอบด้วยความเหนื่อยอ่อน ไร้เรี่ยวแรง อยากที่จะเอ่ยสิ่งใดออกมาได้ ปิ่นหยกย้ายตัวเองไปนั่งข้างๆ เพื่อที่จะได้สนทนากันสะดวกขึ้น
" นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้นองค์ชาย ยังมีอีกหลายท่า หากองค์ชายทำทุกวันก็ไม่เหนื่อยแน่นนอน ข้ารับประกันได้ "
" เช่นนั้น แม่นางคงต้องมาเป็นเพื่อนข้าทุกวัน " กว่าเขาจะหันกลับมาตอบได้ ต้องใช้เวลากอบโกยลมหายใจเข้าปอด มาดบุรุษที่มีตำแหน่งถึงองค์ชายได้หลุดออกไปเสียหมด แต่ปิ่นหยกไหนเลยจะหลุดขำ ยิ่งเธอขำก็เหมือนไม่ให้เกียรติและเย้ยหยันเขาเท่านั้น กำลังใจมากกว่าที่จะต้องส่งผ่านไป
" หืม! " นางทำเสียงสูงเหมือนต้องการคำตอบ
" ไม่ได้หรือ? " เขาหันมามองนาง แล้วตอบถามแทนคำตอบ และคล้ายอาการเหนื่อยหอบได้จางหาย
" ก็ได้ แต่ปัญหาคือ ข้าตื่นเวลานั้นไม่ไหวหรอก มันเช้าเกินไป " ปิ่นตอบไปด้วยความสัตย์จริง
" เช่นนั้นออกสายหน่อยดีหรือหรือไม่? "
" อืม " ปิ่นหยกหันไปยิ้มให้กับหวงเจียวหลุน " องค์ชายต้องอดทนนะ มาเรามาฝึกกันอีกสักหน่อย ท่านี้เรียกว่าวิดพื้น องค์ชายทำ 10 ครั้ง ลงและขึ้นให้นับหนึ่ง เข้าใจนะเพคะ ต่อมาเรียกว่า สควอท คือนั่งยองๆ และนี่คือ จั๊มพ์ เมื่อรวมกันคือ สควอทจั๊มพ์แต่ที่บ้านของข้าเรียกติดปากว่าสก๊อตจัมพ์มั้ง เอาสัก 20 ครั้ง และกระโดดตบสัก 10 ครั้ง สุดท้ายก็บิดตัวไปมาสัก 20 ครั้ง แค่นี้พอก่อน เอาที่ข้าจำได้ " เธอนึกการซ้อมของนักศึกษาวิชาพิเศษ ผนวกกับคลิปของทหารในการฝึก แต่เธอไม่มีเพลงให้เขาร้องระหว่างวิ่งหรอก
" อืม " หวงเจียวหลุน รับคำแต่โดยดี ลุกขึ้นมาทำตามที่ปิ่นหยกสั่ง โดยมีนางคอยกำกับและสอนทำทีละท่าอย่างใกล้ชิด