บทที่10 พระเอก

2224 คำ
“มาแล้วหรือท่านอ๋อง” เสียงทักทายจากในห้องดังขึ้น นี่เขาคงมาผิดเวลาน่ะสิ พวกมันคงเริ่มจะเมากันแล้ว สำมะเลเทเมากันแต่หัววันเลยเชียว “มาแล้วสิ พวกเจ้านัดแล้วข้าไม่มา มีด้วยหรือ” คนที่ถูกเรียกว่าอ๋องพูดตอกกลับ พร้อมกับหัวเราะน้อยๆ เขาออกมาสังสรรค์แทบทุกวันก็จริง แต่ก็เหมือนจะมีแต่พวกนี้นั่นล่ะ ที่รู้ยศของเขาจริงๆ ต้องพูดว่า หากเขาไม่ได้ออกรบ ก็อยู่ที่ร้านเหล้า ร้านใดร้านหนึ่งในเมืองนี่ล่ะ แต่เมื่อหายไปจากร้านเหล้า ก็คืออยู่ในสนามรบ เป็นที่รู้กัน ในนาม อ๋องเขียว อนุชาคนโปรดของฮ่องเต้ ทรงโปรดกระทั่งมอบทุกสิ่งอย่างให้ ยอมกระทั่งให้เขามาพำนักในเมือง ไม่ต้องอยู่รับใช้ใกล้ตัว “ท่านกลับมาปลอดภัย พวกข้าก็อุ่นใจ” สหายซ่งเอ่ย “ท่านไปรบพวกข้าก็อุ่นใจ” สหายหลิน ซึ่งได้ชื่อว่าปากเปราะพูดออกมา ทำเอาวงสุราแทบแตกเพราะเหล่าสหายวิ่งมาปิดปากเขาแทบไม่ทัน ก่อนจะส่งยิ้มแหยให้ท่านอ๋อง “เพราะเป็นแม่ทัพ ก็ต้องไปรบ” อ๋องเขียวไม่ได้สนใจใดๆ ไม่นึกใส่ใจความปากเปราะของสหายคนสนิท เพราะเมาทีไรก็เป็นเช่นนี้ทุกที “วันนี้ไม่ได้ทรงนำสาวงามมาหรือขอรับ” ปกติฟางอ๋องต้องมีหญิงงามเคียงกายา อย่างต่ำก็สองคนตลอดเวลา แต่วันนี้ข้างกายกลับว่างเปล่า ใครจะรู้เล่า ว่าเขาไล่ส่งไปหมดแล้ว เนื่องจากเมื่ออาทิตย์ก่อนพวกนางทำให้การแกล้งเล่นของเขาเลยเถิด ได้ข่าวว่าแม่นางขอทานที่เขาแกล้งเล่น ไปเป็นศพในป่าไปแล้ว เพราะไม่มีใครเห็นนางอีกเลย ฟางอ๋องมองออกไปนอกระเบียงจากชั้นสอง เห็นด้านถนนพอดี แต่ยังไม่ปรากฏร่างของหญิงสาว แปลว่านางคงยังไม่ออกมาเดิน เขามองตามร่างเล็กๆในชุดสีเขียวแก่ดูเก่านั้น ยามเยื้องย่างราวกับนางพญา อย่างกับหญิงสาวที่ถูกฝึกสอนมาอย่างดี แถมยังมีความรู้ทางสมุนไพร น่าสนใจยิ่งนัก “มองอันใดรึท่านอ๋อง” สหายทั้งสามอดถามไม่ได้ สหายยู่เองก็รู้สึกสงสัย เพราะเขาเป็นหนุ่มนักปราชญ์คนเดียวในกลุ่ม ทำให้ค่อนข้างจะเงียบกว่าใคร พวกเขามองตามสายตาท่านอ๋อง กลับพบว่ามีเพียงหญิงสาวหน้าตาไม่เอาไหนยืนอยู่ในร้านเสื้อผ้า น่าแปลกที่เป็นร้านเสื้อผ้าสำหรับชายหนุ่ม ฟางอ๋อง ผู้ที่ถูกเรียกว่าอ๋องเขียวขมวดคิ้วน้อยๆ คิดในใจว่านางมีครอบครัวแล้วรือ จึงหาซื้อเสื้อผ้าบุรุษ “ข้าเพียงมองผู้คนด้านล่าง” ฟางอ๋องไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก สหายทั้งสามเลยหันไปจับกลุ่มพูดคุยกันต่อเสีย ไม่รบกวนพระองค์ สายตาคมกริบราวกับตาเหยี่ยว เพราะวิทยายุทธ์ที่ฝึกมา จึงมองเห็นได้ชัดว่านางซื้อผ้าแบบใดบ้าง นางไม่หาซื้อกระทั่งเครื่องประทินโฉมตัวเองด้วยซ้ำ นอกจากเสื้อผ้า นางก็หาซื้อขวดยา สงสัยจะเอาไปทำน้ำมันมาขายอีก คิดแล้วก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ‘นี่เจ้าค่ะ หากท่านจำเป็นต้องใช้น้ำมันกันแมลงเยอะๆ ข้าออกมาขายเพียงสัปดาห์ละครั้งเท่านั้นเจ้าค่ะ คราวหน้าจะลองทำกลิ่นอื่นๆมาด้วย ท่านมาลองดูนะเจ้าคะ ข้าจะให้ฟรี’ เสียงหวานพร้อมกับรอยยิ้มทำเอาเขาแอบยิ้มตาม คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหญิงนางหนึ่ง หน้าตาธรรมดาๆ จะทำให้เขาชื่นชอบเพียงเพราะรอยยิ้มหนึ่งของนางเท่านั้น แม้รวมๆแล้วจะดูดีก็เถิด แต่สำหรับคนทั่วไปคงคิดว่านางอัปลักษณ์ อย่างเจ้าสองคนที่ขูดรีดนางเอก ก็ยังพูดว่านางขี้เหร่ ทั้งที่หากเพ่งพิศมองดีดี จะเห็นว่าหน้านางงามใช้ได้ ปากอวบอิ่มน่าสัมผัส แก้มระเรื่อยามเขินอายยิ่งน่าดูชม ฟางอ๋องจับหน้าตัวเองนิดๆ รู้สึกเหมือนหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา เหล่าสหายมองท่านอ๋องเขียวอย่างไม่เชื่อสายตา ตั้งแต่รู้จักกันมาแต่เด็ก จนตอนนี้อายุ35ปีแล้ว ก็เพิ่งจะเคยเห็น ท่านอ๋องเขียวเจ้าสำราญ แสดงท่าทางราวกับคนมีความรักก็ครานี้แล เมื่อเห็นว่านางเดินกลับมาทางเดิม คล้ายกำลังจะกลับบ้าน เขาอดไม่ได้ที่จะตามไป “หว้าอู ตามนางไป” เขาสั่งเงาอย่างอดไม่ได้ หากนางมีครอบครัวแล้วก็จะได้ตัดใจเสียแต่เริ่ม ก่อนจะถลำตัวไปลึกกว่านี้ ถึงเขาจะมีชายามานับไม่ถ้วน แต่ก็เพิ่งจะมีหญิงที่ถูกตาต้องใจถึงเพียงนี้เป็นคราแรกนี้ล่ะ ส่วนมากก็เพียงถูกตา เห็นว่างามเท่านั้น แต่ตอนนี้เขาไล่พวกนางออกไปหมดแล้วล่ะ จะเหลือก็แต่ชายาพระราชทาน ที่เสด็จพี่หามาให้ แต่พวกนางก็อยู่เรือนหลัง ไม่เป็นที่รักเท่าไร แต่ตำแหน่งหวังเฟยของพระองค์ก็ยังคงว่างอยู่ แม้จะมีลูกหญิง2คน ลูกชายหนึ่งคน จากหรูเหรินทั้งสองแล้ว ซึ่งยังคงครองตำแหน่งอยู่ เพราะพวกนางเป็นชายาพระราชทานเพียงสองนาง ที่เขาพอใจ แต่ตอนนี้ ใจเขากลับสมัครรักเพียงหญิงสาวชาวบ้านหน้าตาธรรมดาๆ “วันนี้ข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน ไว้วันพรุ่งค่อยนัดกันใหม่” ฟางอ๋องเอ่ยลาเพื่อนฝูง ก่อนจะเดินกลับไม่ได้สนใจท่าทางสับสนของเหล่าสหายสนิท “สงสัยอ๋องเขียวกำลังจะมีหวังเฟยเป็นแน่แท้ ข้าวาง10ทอง” สหายยู่ท้าทาย ทำให้เพื่อนทั้งสองอดไม่ได้ “ข้าว่าไม่ วาง10ทอง/ข้าว่าไม่ วาง10ทอง” และเป็นไปตามคาด สหายทั้งสองรวมใจกันอยู่อีกฝั่ง คนฉลาดกว่าได้แต่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี หากอ๋องเขียวแต่งหวังเฟยเมื่อไหร่ ถึงแม้จะไม่เร็วๆนี้เขาก็ได้20ทองอยู่ดี . ต้าจินฟาง ย่องตามนางไป ก่อนจะต้องหยุดมองนางยืนพึมพำอะไรคนเดียว นานเป็นเค่อ ก่อนที่นางจะเดินเข้าป่าไป เขาแปลกใจอย่างมาก ไม่คิดว่านางจะเป็นจำพวกคนไร้บ้าน จนต้องอาศัยอยู่ในป่า หากเป็นเช่นนั้น หากนางยังไม่มีใคร เขาคงต้องพาตัวนางเข้าจวนก่อนกำหนดเสีย เขาย่องเดินตามนางห่างๆ เพราะเงาอย่างหว้าอู ตามดูนางอยู่แล้ว จึงไม่พลัดหลงอย่างแน่นอน “ท่านอ๋องขอรับ นางอยู่ด้านนั้น” เงาของเขาโผล่ออกมาชี้ ก่อนจะหายวับไป อ๋องเขียวขมวดคิ้วมุ่น มองสองหนุ่มสาวที่นั่งอยู่คนละด้านของกองไฟ ดูจากรอบๆกองไฟ เหมือนว่าพวกเขาจะอยู่ที่นี่มาตลอด และถ้าให้เดา ข้างกองไฟคงจะเป็นที่หลับนอนอย่างแน่นอน พอเห็นความลำบากของนางก็ยิ่งใจสั่น ไม่คิดว่าคนเราจะต้องลำบากกาย ถึงขนาดนอนบนพื้นหินแข็งๆ ได้ บ่งบอกว่าชาวบ้านที่ลำบากยังมีอีกเยอะ พอนึกถึงตรงนี้ ก็อดที่จะรู้สึกแย่กับพวกนักเลงที่รีดไถเอาเงินจากนางไม่ได้ คราแรกนั้นเขาคิดว่า เงินเพียง 20ทองแดง ให้พวกมันไปเสียก็จบเรื่อง แต่พอได้มาเจอหญิงสาว ที่เหนื่อยกายขายของได้เพียง 20ทองแดงต่อวัน แต่กลับต้องจ่ายทั้งหมดให้พวกนั้น เขาก็อดที่จะรู้สึกว่าต้องทำอะไรจริงจังสักอย่าง เกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างแล้ว แต่ใจก็ยังคงพยายามมองท่าทีของทั้งสอง เด็กหนุ่มคนนั้นยังดูหนุ่ม อาจจะเป็นพี่ชาย น้องชาย หรือญาติกับนางก็ได้ เพราะทั้งคู่ไม่ได้แสดงท่าทางเป็นคนรักกันเลยสักนิด “เจ้าติดตามนางอยู่ที่นี่ล่ะ คอยส่งข่าวให้ข้าพอ วันพรุ่งข้าจะส่งเงามาเปลี่ยน” อ๋องเขียวสั่งหว้าอู ก่อนจะหันหลังเดินทางกลับ “กลับไปหยิบตระกร้าที่ซื้อเมื่อยามอู่มาให้ข้า ข้าจะเข้าเฝ้าฮ่องเต้เสียหน่อย” ฟางอ๋องรับสั่ง ก่อนจะเสด็จขึ้นรถม้าที่มารออยู่ชายป่า รถม้าควบอย่างเร็วผ่านเมืองหลวงไป ก่อนจะเข้าเขตพระราชฐานชั้นใน ที่ประทับของฮ่องเต้ “ว่าอย่างไรรึอ๋องเขียว” กระทั่งพระเชษฐาของพระองค์ ก็เรียกหยอกเย้าตามคำที่เหล่าบริวารและสหายตั้งให้ “กระหม่อมอยากจะจัดการ บำบัดทุกข์ของชาวบ้าน พระองค์คงจะเคยได้ยิน ว่ามีหลายตระกูลใหญ่ เรียกร้องค่าคุ้มครองจากชาวบ้าน ที่ทำมาหากินในพื้นที่” ฟางอ๋องไม่ปล่อยโอกาสให้เสียไป เขารีบกราบทูลรายงาน ก่อนที่เหล่าขุนนางจะทันได้แย้ง “กระหม่อมอยากจะจัดการยกเลิกระบอบนั้นเสีย แม้ทางตระกูลใหญ่จะอ้างว่า เป็นเงินเพียงเล็กน้อย แต่จริงๆแล้วเรารู้หรือว่าประชาชน หาเงินได้วันละเท่าไหร่กันเชียว ” ฮ่องเต้พยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปปรึกษากับเหล่าขุนนาง ถึงอย่างไรพระองค์ก็ตัดสินใจด้วยพระองค์เองไม่ได้ แม้จะอยากตามใจอนุชามากเท่าใดก็ตามที แต่ใครๆก็รู้ หากเรื่องเข้ามาทางฟางอ๋อง มีหรือจะไม่สำเร็จความ เพราะอ๋องต้าจินฟาง เป็นอนุชาร่วมมารดาเพียงผู้เดียว แถมพระยศยังใหญ่กว่าอ๋องทุกผู้ ด้วยเพราะเป็นบุตรของฮองไทเฮา “อะไรกัน เพราะเหตุใด ทำไมจึงจะไม่ได้!!” เสียงเกรี้ยวกราดไม่พอพระทัยของฮ่องเต้ ทำเอาเหล่าขุนนางที่คัดค้านหน้าเสีย “เพราะอาจจะเป็นการ ทำลายฐานความภักดีของตระกูลใหญ่พะยะค่ะ ” ขุนนางตอบอ้อมแอ้ม เพราะรู้อยู่แล้ว ถึงจะผิดฮ่องเต้ก็จะกลับให้เป็นถูก หากเป็นเพราะท่านอ๋องคนโปรดขอร้อง แต่ก็อดที่จะค้านและชี้แจงตามหน้าที่ไม่ได้ “ส่งราชโองการลงไป ให้ตระกูลใหญ่เลิกรีดไถ่ค่าคุ้มครองจากประชาชน หากมันผู้ใดฝ่าฝืน ถือว่าขัดราชโองการ มีโทษประหาร7ชั่วโคตร” หลังจากประชุมนานกว่าครึ่งชั่วยาม องค์ฮ่องเต้ก็ทรงตรัส ฟางอ๋องลอบถอนหายใจ ทุกคราที่เขาเข้ามาหาพระเชษฐา มักจะต้องเจอกับเหล่าขุนนางที่คอยแต่จะยัดเยียดลูกสาวให้ กระทั่งในการประชุมเคร่งเครียด ก็ยังมีคนเสนอขายลูกสาวขึ้นมา หากเขาแต่งตั้งหวังเฟยได้สักที ก็คงจะหมดปัญหานี้ไป “กระหม่อมขอพระราชานุญาตสนทนากับฮ่องเต้เป็นการส่วนตัว” ฟางอ๋องรีบเอ่ยไล่ขุนนาง พวกเขาจะได้ไม่ต้องมานั่งขายลูกสาวอีก แม้เขาจะเสเพล เป็นหนุ่มเจ้าสำราญ แต่เขาก็เลือก ไม่ใช่จะถูกใจหญิงสาวไปซะทั่ว “ว่าอย่างไรล่ะ จินฟาง วันก่อนก็เพิ่งจะเจอกัน วันนี้จะชวนเราจัดงานรื่นเริงอีกแล้วรึ” ฮ่องเต้ทรงมองอนุชาด้วยความเอ็นดู ราวกับว่าเขาเป็นน้องชายตัวเล็กๆตลอด เพราะฟางอ๋องเอง ก็ทำตัวเช่นนั้นเมื่ออยู่กับเขาด้วยล่ะ แถมเพราะความเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ ทำให้เขาไม่สามารถเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่เคียงข้างบัลลังค์ได้ จนฮ่องเต้ต้องทรงตั้งพระเชษฐาหนิงต้าเจียงขึ้นเป็นอ๋อง ควบตำแหน่งแม่ทัพใหญ่อีกคน เพราะภาพลักษณ์ของฟางอ๋องนั้น ห่างไกลจากคำว่านักรบมากโขเชียว “หาใช่เรื่องนั้นไม่ ผู้น้องเพียงอยากถามว่า จะเป็นการขัดกฎมณเฑียรหรือไม่ หากหวังเฟยของผู้น้อง จะเป็นเพียงหญิงสามัญชน” “บ๊ะ! เจ้านี่ยังไง หญิงงามเพียบพร้อมทั้งกริยา วาจา และยศฐา เราก็มอบสมรสพระราชทานให้แล้ว เหตุใดจึงจะไปคว้าหญิงชาวบ้านขึ้นมาเป็นหวังเฟยอีก” ฮ่องเต้ตบเข่าเสียงดัง ไม่ชอบใจสิ่งที่ได้ยินอย่างยิ่ง “ผู้น้องเกิดมา35ปี ก็เพิ่งจะรู้จักความรักก็ครั้งนี้ หากพระองค์ไม่ยอมรับ ก็ปลดยศผู้น้องให้ต่ำลงเถิด หากจะสามารถแต่งตั้งสามัญชน ให้เป็นหวังเฟยได้ ผู้น้องยินดี” ฮ่องเต้ยกมือขึ้นกุมขมับ พระองค์ทรงทราบดีว่าอนุชาของตนนั้นกำลังบีบ ให้พระองค์พระราชทานนางสามัญชนผู้นั้น ให้แก่ตัว เพื่อจะได้ไม่เป็นข้อครหา แต่คนที่จะถูกครหากลับเป็นพระองค์เองนี่สิ “เอาไว้เจ้ารักนางจริงๆ ให้ตัวเราเห็น เราจะเก็บมาพิจารณา” ว่าแล้วก็รีบสะบัดมือไล่ให้เขาไปพ้นๆหน้าเสีย ฟางอ๋องทำความเคารพพระเชษฐา ที่ได้ชื่อว่าฮ่องเต้ ก่อนจะเดินออกจากพระราชโถงด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาเดินไปขอพบฮองไทเฮาพร้อมกับตะกร้าน้ำมันหอมในมือ ก่อนจะมอบน้ำมันหอมให้พระมารดา รวมถึงฝากให้องค์ไทเฮา และชายาทั้งหลายด้วย เพียงเท่านี้เขาก็หาข้ออ้างไปพบกับนาง ได้บ่อยๆแล้ว...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม