ตอนที่5 ปักธง...ชัย

2249 คำ
บทที่5 [พอดีเลยค่ะ ตอนนี้มีโปรโมชั่นเปิดร้าน ชุดสกินแคร์ส่งตรงจากโลกเก่า มีโลชั่นทาผิวขาว ครีมอาบน้ำ เซรั่มหน้าใส เดย์ครีม ไนท์ครีม ครีมกันแดดหน้าและตัว ราคาเพียง 300แต้ม] เสียงเล็กๆตอบกลับมา ‘ต้องทำยังไงถึงจะได้ 300 แต้มกันล่ะ’ ดอกเหมยปวดหัวตุบๆ [ปักธงชาวบ้านธรรมดาคนเดียว ก็ได้1000แต้มแล้วค่ะ] เสียงเล็กๆตอบกลับมา อย่างกับไม่รู้สึกถึงความหนักใจของเธอเลยสักนิด ดอกเหมยตวัดสายตาเคืองๆมองนาง ก่อนที่นางนกจะเมินหน้าหนีไปทางอื่น ราวกับไม่สนใจสายตาของเธอ ‘ขอฟรีสักครั้งไม่ได้เลยหรือ ใจร้ายจังเลยนะเหม่ยลู่เนี่ย ใจร้ายที่สุด’ ‘กระซิก กระซิก’ ดอกเหมยทำท่าทางร้องไห้ เช็ดน้ำตาออกจากหน้าทั้งที่ไม่ได้มีน้ำตาเลยสักนิด [ไม่ได้เจ้าค่ะ อาลู่ให้ฟรีไม่ได้ ...ให้โปรโมชั่นขนาดนี้ก็เยอะแล้วนะเจ้าคะ ปักธงผู้ชายคนเดียว ก็ได้ไปเลย 3ชุด เหลือๆ] พอเห็นว่าไม่ได้ผล ดอกเหมยเลยเลิกแกล้งร้องไห้ ก่อนจะหันไปมองบริเวณถนน เพราะฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เธอเลยต้องนั่งจับเจ่าอยู่นี่ กับยัยนกสีขาวที่เป็นระบบช่วยเหลือ ที่ช่วยอะไรไม่ได้เลยสักนิด ‘ตอนนี้กี่โมงแล้ว’ ดอกเหมยมองฟ้า ก่อนจะถามเจ้านก เพิ่งรู้สึกตัวว่า ตั้งแต่ตื่นมาในร่างของเหม่ยเสี้ยว ฟ้าก็มืดเสียแล้ว แต่เพราะเมื่อกี้เห็นแสงไฟจากโคมแดงหน้ารถม้าที่ผ่านไป เลยเพิ่งรู้สึกตัวว่ามันมืดแล้ว และเธอควรจะกลับบ้าน ในนิยายยังไม่ได้บรรยายบ้านของเหม่ยเสี้ยวด้วย เธอเลยไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน [2ทุ่มเจ้าค่ะ หรือที่นี่เรียกว่า ยามซวี] ดอกเหมยพยักหน้ารับรู้ ‘แล้วเธอรู้มั้ย ว่าบ้านของร่างโฮสต์อยู่ที่ไหน’ ดอกเหมยเอ่ยถาม ก็เหม่ยลู่เป็นระบบช่วยเหลือ ก็ต้องเป็นจีพีเอสได้ด้วยสิ ไม่งั้นเธอคงต้องส่งเรื่องไปที่พระเจ้า ให้อัพเกรดระบบช่วยเหลือใหม่ ให้ทันสมัยเท่าที่ที่เธอจากมาแล้วล่ะ [จะกลับบ้านหรือคะเจ้านาย งั้นตามอาลู่มาเลยค่ะ อาลู่จะนำทางเจ้านายเอง] นกน้อยบินออกไปกลางสายฝน ดอกเหมยหันไปมองกองสินค้าของเธอ ส่วนมากเป็นหวีและพัดของหญิงสาว เธอชั่งใจว่าควรจะทิ้งไว้ตรงนี้ดีไหม หรือจะพยายามลากกลับบ้านไปด้วยดี เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ดอกเหมยค่อยๆลากถุงผ้าขนาดใหญ่ ที่เธอใส่สินค้าไว้รวมๆกันออกมาจากซอกตึก ร่างเล็กลากถุงขนาดใหญ่โต ไปตามถนน ซึ่งร้างไร้ผู้คน ท่ามกลางฝนตก สร้างความแปลกใจให้แก่ผู้คนที่พบเห็น ซึ่งส่วนใหญ่ ก็คือคนที่มานั่งกินข้าวเย็น และมาเที่ยวรื่นเริงอยู่แถบนี้ ‘รอก่อนสิอาลู่ มันหนักนะยะ’ ดอกเหมยแอบเอ็ด เหม่ยลู่บินตัวปลิว ขณะที่เธอขนของหนักหลังแทบหัก [ถ้าหนักก็ทิ้งไว้ก่อนได้นะคะ คนที่นี่เขาไม่ลักขโมยของขายกัน โดยเฉพาะของของหญิงอัปลักษณ์ล่มเมือง ไม่มีใครอยากแตะหรอกเจ้าค่ะ] นกน้อยเสียงเล็กตอบ ‘ไม่ได้ สินค้าเป็นเงินเป็นทอง พระเจ้าไม่ได้โยนเงินให้ฉันสักกะตังค์แดงเดียว ฉันต้องกินต้องใช้นะยะ’ ดอกเหมยแหวอีกครั้ง ทำเอานกน้อยถึงกับลอบถอนหายใจ [เค็ม เกลือเรียกแม่] ดอกเหมยเชิดหน้า ไม่สนใจเสียงแว่วๆในหัว เสียงนกเสียงกา ที่โลกก่อน เธอเก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ เผื่อไว้ให้คนรุ่นหลังได้ใช้ ถ้าเธอมีลูก แต่เผลอแป็บเดียว อายุเธอก็เกินวัยจะมีรถไฟขบวนสุดท้ายมาจอดเทียบชานชาลา กลายเป็นเธอไปจอดเทียบชานชราเองแล้ว เธอติดนิสัยเก็บออม เพราะพ่อแม่ที่ด่วนจากไป ก่อนที่เธอจะเรียนจบไม่ถึง3เดือน ทำให้เธอลำบากมากๆเพราะพวกเขาไม่เหลืออะไรไว้ให้เลย นอกจากซากรถพังๆ บ้านก็ไม่มี เงินก็ไม่มี ประกันก็ไม่ทำ จึงติดนิสัยขี้ตืดจนปัจจุบัน [ถึงแล้วค่า เจ้านาย] เสียงนกน้อยเรียกสติของดอกเหมย เธอมองเพิงหมาแหงนเล็กๆ ที่ถูกมุงด้วยผ้าหลายๆผืนทับกันเป็นโพรงเข้าไป ดอกเหมยหันไปมองรอบๆตัว ตอนนี้เธออยู่เกือบจะในป่าก็ว่าได้ บ่งบอกว่าชีวิตของเหม่ยเสี้ยว ลำบากใช้ได้เลย ‘โพรงผ้าเนี่ยนะ ตายแล้ว’ คิดแล้วก็กุมขมับ ตอนที่เธอลำบากในโลกเก่า อย่างน้อยก็ยังมีห้องเช่าถูกๆให้พัก ราคา 1500ก็หาได้ แต่ที่นี่ คนที่ได้ชื่อว่า อัปลักษณ์ล่มเมืองอย่างเธอ มีหวัง.. ตายหยังเขียด [เรามีเครื่องมือช่างในอนาคตขาย ถ้าเจ้านายต้องการค่ะ] เสียงเล็กยังคงเสนอขาย ‘เอาจริงดิ ขายของอีกแล้ว ... ว่าแต่ ช่วยบอกได้มั้ย ว่านี่ช่วงไหนของตอนหนึ่ง หรือตอนสองแล้ว’ ดอกเหมยรีบถาม [ตอน1ตอนปลายเจ้าค่ะ อีกไม่เกิน3ชั่วยาม จะเข้าตอน2ตอนต้นค่ะเจ้านาย] ตึง อย่างกับลมพัดตึ้ง ดอกเหมยแทบจะลมจับ นี่เธอต้องเผชิญเรื่องราวการบูลลี่ของชาวเมือง ที่มีกับเหม่ยเสี้ยวงั้นหรอ ‘อ้าก! พระเจ้าเอาฉันมาแก้แค้นใช่มั้ย ฮือ~’ ดอกเหมยได้แต่โอดในใจ ‘ทำยังไงดีล่ะ ตั้งนาฬิกาปลุกได้มั้ย’ ดอกเหมยเริ่มคิดแผน ที่จะทำให้หลุดพ้นจากเนื้อเรื่อง หรืออย่างน้อยก็ให้บรรเทาลงสักหน่อยก็ยังดี [งั้นอาลู่จะตั้งเวลาปลุกไว้ก่อนเกิดเรื่องนะคะ] ดอกเหมยพยักหน้า ก่อนจะยัดตัวเองเข้าไปในบ้านมุงผ้าของเหม่ยเสี้ยว ‘เอาวะ อย่างน้อยก็อุ่นกว่านอนข้างนอก หรือถ้านอนข้างทาง อาจจะยิ่งแย่ไปใหญ่’ ฮัด ชิ่ว เสียงจามดังขึ้น แต่เดี๋ยวก่อน ไม่ใช่เสียงเธอนี่นา ฮัด ชิ่ว อีกแล้ว เสียงจามเหมือนจะทำให้เธอตื่น ดอกเหมยขยับตัวออกจากบ้านผ้าของเธอ ก่อนจะขยับบิดตัวคลายความเมื่อยขบ ‘ทั้งหนาว ทั้งเมื่อย อยากนอนเตียงอุ่นๆชะมัด’ [ฮัด ชิ่ว ทักทายค่ะเจ้านาย เสียงปลุกเวิร์คมั้ยคะ] ‘ไม่เลยย่ะหล่อน เชื่อเถอะไม่มีใครตื่นเพราะเสียงจามหรอก ถ้าไม่ใช่ฉันง ดอกเหมยพูดเยาะเย้ยนกน้อย ก่อนจะเดินไปยังลำธารหลังเต้นท์ “หนาวชิบเลยเว้ย!” ดอกเหมยตะโกนออกมาแทบจะสุดเสียง เพราะพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เลยทำให้อากาศยังเย็นอยู่ แม้จะไม่ถึงขนาดเป็นน้ำแข็ง แต่ก็หนาวอยู่ดี ดอกเหมยเดินเข้าป่า เมื่อวานเหมือนจะเดินผ่านต้นมะนาว ว่าแล้วก็หยิบขึ้นมาหนึ่งลูก ก่อนจะไปหยิบมีดปาดมะนาว เธอบีบน้ำมะนาวลงบนผิวที่มีตุ่มยุง ตุ่มแมลงกัดอยู่เต็ม ก่อนจะใช้มือถูวนๆ ไล่ลงไปเรื่อยๆจนทั่วร่างกาย “แสบโว้ย” เสียงบ่นดังอยู่เรื่อยๆ ดอกเหมยเดินไปขัดตัวด้วยกรวดแม่น้ำนิดหน่อย ก่อนจะใช้เปลือกมะนาวที่เหลือถูฟัน [เจ้านายนี่ เก่งเหมือนกันนะคะ] ‘เห็นผลทันตามั้ยล่ะ คราบดำๆ ตุ่มแมลงกัด รอยแดง ลดลงเยอะเลย จริงๆอยากได้ขมิ้นชัน แต่ไม่รู้ที่โลกนี้จะมีมั้ย เจอก็แต่มะนาว แต่เหมือนจะเป็นของป่า คนที่นี่คงกินกัน’ [สวยขึ้นมา 10%แล้ว พยายามเข้าค่ะ ไฟท์ติ้ง] นกน้อยยกปีกขึ้นมาด้านหน้า ก่อนจะงอปลายปีกเข้าหาตัว แล้วกระตุกดึงปีกทั้งอันเข้าหาตัว ดอกเหมยพยักหน้าเข้าใจ ‘ทำไมไม่เป็นคนนะ จะได้ไม่ต้องลำบากทำท่าทางแปลกๆง อดถามไม่ได้จริงๆ [เจ้านายคะ ถึงเวลาแล้ว] แต่เสียงเล็กกลับตอบกลับมาอย่างร้อนรนมากกว่า แสงอาทิตย์ค่อยๆสาดส่องขึ้นมารำไร ค่อยๆคลืบคลานราวกับว่ากำลังมอบความอบอุ่นให้แก่โลกนี้อย่างช้าๆ ‘ทำยังไงดีนะ’ [เล่นนอกเนื้อเรื่องไม่ได้นะเจ้าคะ ไม่งั้นเราจะค้างอยู่ที่บทนี้เพราะเจ้านายเขียนเนื้อเรื่องจบไปแล้วสองตอน แต่ตอนหลังที่จะเขียนต่อจากนี้ก็จะไม่มีผลแล้ว] เสียงเล็กๆเอ่ยเตือน ดอกเหมยพยักหน้ารับรู้ เธอวิ่งเข้าไปในป่า เพื่อหลบให้พ้นผู้ชายสองคน เป็นพวกขอทานแก่หงำเหงือก ซึ่งกำลังจะเข้าไปปล้ำเธอในกระโจมผ้าเล็กๆนั่น [นี่นอกบทแล้วนะคะ] เหม่ยลู่เอ่ยเตือน [ไม่นอกๆ บทหลักๆของพาร์ทนี้ คือฉันโดนบูลลี่ ดังนั้นไม่นับรวมเรื่องสองแก่นั่น] เพราะเธอวางแผนให้ชีวิตของเหม่ยเสี้ยวบัดซบมากๆ ในเนื้อเรื่อง เหม่ยเสี้ยวจะฆ่าสองเฒ่านั้น ก่อนจะมาเผชิญชะตากรรมลำบาก แล้วในอนาคตเธอจะถูกขุดเรื่องนี้ แม้จะขึ้นเป็นใหญ่แล้ว แต่ตอนนี้เธอคือเหม่ยเสี้ยว ดังนั้นเธอต้องทำทุกวิธี เพื่อไม่ให้เหม่ยเสี้ยวตกต่ำอีกในอนาคต แต่ในปัจจุบัน เธอคงต้องรับผลกรรมที่ตัวเองเขียนไว้ ‘ถ้ารู้ว่าเหม่ยเสี้ยวจะมีตัวตนจริงๆ ในโลกอื่น ฉันคงไม่ใจร้ายกับเธอขนาดนั้น’ ว่าแล้วก็คิดถึงตัวละครอื่นๆที่เธอเขียนมา ได้แต่ขอให้พวกเขาอโหสิกรรมให้ ในใจ [หนุ่มสาวกลุ่มนั้นมาแล้วค่ะ] ดอกเหมยเงยหน้า เธอสบเข้ากับดวงตาคมที่จ้องมา จนเธออดไม่ได้ที่จะกระชับผ้าคลุมหัวให้ปิดมิดมากขึ้นไปอีก เพราะอับอายหน้าตาตัวเองตอนนี้ เธอเดินตุปัดตุเป๋ เพราะไม่ได้กินข้าวมาตั้งแต่เมื่อวาน ก็เพิ่งจะรู้ตัวนี่ล่ะ ว่าร่างกายนี้ซูบผอมเอามากๆ แถมตอนนี้ยังหิวข้าวมากๆด้วย “โอ้ย! ขยะ อี๋~ ออกไปไกลๆนะ” เสียงหวีดร้องของหญิงสาวดังขึ้น ก่อนจะถีบหัวส่งเธอ จนดอกเหมยก้นกระแทกพื้นอย่างแรง ‘ยัยบ้า เจ็บนะเว่ย จำไว้ๆ’ ดอกเหมยมองหน้าสวยนั้น พยายามจดจำเธอไว้ ในอนาคตเธอเอาคืนแน่ [ต้องเข้าไปขอทานนะเจ้าคะ] “ขะ...ขอหมั่นโถวกินหน่อยนะเจ้าคะ ข้าหิวเหลือเกิน” ดอกเหมยรีบคลานเข่าเข้าหากลุ่มคนพวกนั้น จนพวกเขาแตกกระเจิงหนี เหลือเพียงชายหนุ่มคนเดียวในกลุ่ม ที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงให้เธอเกาะขา เรียกคะแนนสงสาร คุณชายคนนี้ล่ะ ต้นเหตุการกลั่นแกล้ง “หิวงั้นรึ ... ข้าให้” ดอกเหมยรีบก้มหน้าลง ขณะที่คุณชายคนนั้นกำลังเทเหล้าราดหัวของเธอ ก่อนจะสะบัดขา ทำให้ร่างของเธอปลิวไปด้านข้าง แปะ แปะ แปะ แปะ ไม่ใช่เสียงฝน แต่คือชาวบ้าน และหญิงสาวคนนั้น ที่กำลังปาไข่ใส่เธอ พร้อมทั้งหัวเราะคิกคัก รวมถึงร้องอี๋ อี๋ ปัก ปึก ปัก ปึก เหมือนว่าไข่จะหมด เพราะพวกเขาเปลี่ยนเป็นหยิบหินแถบนั้น มาขว้างปาใส่ร่างเล็กที่ขดสั่นอยู่บนพื้น ‘แล้ววันนี้ฉันจะได้ปักธงใครมั้ยล่ะเนี่ย ข้าวก็ไม่ได้กิน ครีมก็ไม่ได้ซื้อ’ ดอกเหมยบ่นในใจ แต่ก็ยังคงก้มหน้ารับชะตากรรม “อัปลักษณ์” เสียงตะคอกมาพร้อมกับข้าวของที่หล่นใส่ตัว “ไปตายซะ น่ารังเกียจ” เสียงชาวบ้านยังคงดัง แม้ว่ากลุ่มชายหญิงกลุ่มแรกจะเลิกล้ม และเดินจากไปนานแล้ว “อย่าอยู่เลย รกโลกเปล่าๆ” ‘โอ๊ะ มีคำใหม่ๆอย่างนั้นอยู่ด้วยแหะ โลกนี้เขาใช้คำว่ารกโลกกันด้วยแหละ อินเทรนด์ชะมัด’ “น่ากลัว ยี้” พอหมดของจะโยนใส่ กลายเป็นว่าพวกเขาเดินเหยียบ เดินเตะเธอแทน ดอกเหมยได้แต่สะอึก ทั้งชีวิตเกิดมา เพิ่งจะเคยโดนทำร้ายหนักก็คราวนี้ ‘จำแล้วจ้า ต่อไปจะเขียนแนวโพนี่วิ่งเล่นในทุ่งลาเวนเดอร์ จะไม่อ้วก ไม่แหวะแล้ว ฮือ~ พระเจ้า ฉันสำนึกแล้ว ’ [อดทนหน่อยนะเจ้าคะ ตามเนื้อเรื่อง ช่วงหลังของตอนที่2 เหม่ยเสี้ยวจะปักธงได้หนึ่งคน] [ตามเนื้อเรื่อง ผ่านไปเกือบหนึ่งอาทิตย์ ฉันรอไม่ได้หรอก ผ่านวันนี้ไปแล้ว ฉันจะต้องปักธงให้ได้สักคน อาลู่รู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร... เจ้าแม่นักเขียนนิยายรักขายดีอันดับหนึ่งนะ หึหึ ยังไงวันนี้ฉันต้องได้ผู้] [เจ้าค่ะ] นกน้อยตอบมาราวกับอ่อนใจกับเธอเหลือเกิน ‘เออ ไม่เคยมีหลัวเลย แล้วยังไงล่ะ ถึงยังไงฉันก็เป็นนักรักอันดับหนึ่งในนิยาย’ [แล้วสภาพหน้าบวมปูดเช่นนั้น จะปักธงใครได้หรือเจ้าคะ] [ปักธงชายอาจจะไม่ได้ แต่ถ้าปักธงชัย ฉันทำไปแล้ว...] ดอกเหมยยิ้ม ทำเอานกน้อยข้างกายขนลุก [เจ้านายน่ากลัวสุดๆเลย ยิ้มเมื่อครู่]…
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม