“แกร่วจัง” นั่นคือคำที่ออกมาจากปากของเหม่ยเสี้ยว เธอแจ้งไปทางคุณชายต้าให้มาร่วมงานเปิดร้านแล้ว แต่ตั้งแต่เปิดร้านในช่วงเช้า ก็มีเพียงชาวบ้านมาด้อมๆมองๆอยู่หน้าร้านเท่านั้น ตอนนี้เธอเลยยืนยิ้มแกร่วอยู่หน้าร้านอย่างเดียวดาย
เพราะเธอไล่หานตงไปฝึกปราณ ส่วนเก็นบุออกไปหาปลา และโอริวไปเตรียมเค้กและอบใบชา เพราะเมื่อเช้าเธอสอนโอริวเกี่ยวกับการทำเค้กและแยมแล้ว
แต่อย่างนี้มันกร่อยเกินไปแล้ว นั่นทำให้เหม่ยเสี้ยวคิดหนัก ว่าตัวเองพลาดอะไรไปรึเปล่า ตอนที่ขายของในตลาดถึงจะไม่ค่อยมีลูกค้าแต่อย่างน้อยก็มีคนสนใจเดินมาดูสินค้า แต่พอเป็นร้านแล้วกลับไม่มีใครเดินเข้ามาเลยสักคน
หรือว่า....เหม่ยเสี้ยวตบหน้าผากตัวเองจนแทบขึ้นรอยมือ
โถ่เอ้ย...ดันลืมไปเสียได้ว่าตึกนี้อยู่จุดอับ จำนวนคนที่เดินผ่านก็น้อย ดังนั้นใครเขาจะรู้ล่ะว่าร้านของเธอขายอะไร มีเพียงชื่อร้านให้เห็นเท่านั้น... ชายาสวรรค์ ชื่อร้านก็ไม่ได้บ่งบอกว่าขายอะไรเป็นพิเศษด้วย
“โอริว” เหม่ยเสี้ยวเรียกเบาๆ ไม่รู้เพราะอะไรโอริวเหมือนจะมีประสาทสัมผัสเร็วมากๆ เพียงเธอเรียกชื่อนางเบาๆ เด็กน้อยก็วิ่งมาจากที่ไหนก็ตามแต่ แต่มักจะมาอยู่ตรงหน้าในเวลาไม่กี่อึดใจ
“เจ้าคะ หม่าม๊า” โอริวที่เปื้อนเต็มตัวเพราะแป้งที่ทำเค้ก ยืนยิ้มหน้าแป้นแล้นอยู่ต่อหน้าเหม่ยเสี้ยว ที่กำลังทำหน้าเครียด เด็กน้อยเลยหุบยิ้มลง
“เค้กที่อบไว้มีกี่ชิ้นจ๊ะ”
“3ก้อนเจ้าค่ะหม่าม๊า แต่แยมมัน” โอริวยืนบิดไปมา ทำให้เหม่ยเสี้ยวขมวดคิ้วมุ่น สงสัยว่าเหตุใดเด็กหญิงต้องกังวล
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าไปดู ฝากหน้าร้านหน่อยนะโอริว” เหม่ยเสี้ยววางมือแปะลงบนหัวเด็กน้อย ก่อนจะเดินไปโกดังหลังบ้านที่ถูกต่อเติมเป็นห้องครัวแยก
“แยมมัน....กลายเป็นคาราเมลไปแล้วแหะ” เหม่ยเสี้ยวได้แต่หัวเราะหึหึในลำคอ ไม่คิดว่าเด็กน้อยจะเคี่ยวมากเกินไปจนไหม้เสียได้ เธอใช้ช้อนจิ้มลงไปในคาราเมลสีคล้ำดูหนืดๆนั้น ก่อนจะเอาขึ้นมาชิม...
ไม่ไหว.... นั่นคือคำเดียวที่อธิบายได้ คงเพราะไหม้ของแท้เลยไม่ได้กลายเป็นคาราเมล สงสัยไฟจะแรงไป
เหม่ยเสี้ยวหันไปมองตัวเค้กที่อบไว้แล้ว3ก้อน ก้อนละ2ปอนด์ โดยประมาณ เพราะขนาดพอๆกับเค้ก2ปอนด์ที่โลกเก่า เธอหยิบมีดครัวที่มีรอยหยักคล้ายมีด ซึ่งสั่งทำเป็นพิเศษขึ้นมาเลื่อยลงไปบนเค้ก
เหม่ยเสี้ยวแบ่งเค้กเป็นชิ้นเล็กๆ วางบนใบจานขนาดเล็ก ที่มีความแข็งพอสมควร ใบจานเป็นชื่อที่เธอเรียกเอง เพราะบังเอิญพบมันในป่า เป็นใบไม้ขนาดตั้งแต่ครึ่งฝ่ามือ มีหลายรูปร่าง และแข็งราวกับไม้เนื้ออ่อน แต่เมื่อเวลามันร่วงหล่นสัมผัสโดนพื้นดินก็จะกลายเป็นเถ้าผงเลย เป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งในโลกใบนี้
[อย่าลืมส่งงานนะเจ้าคะ] เสียงเหม่ยลู่ยังคงดังอยู่ตลอด ทั้งเตือนเวลาและเสนอขายตรง
[ว่าแต่ เนื้อเรื่องนี่ ต้องเขียนตามที่เกิดขึ้นมั้ยฮึ] เหม่ยเสี้ยวถามข้อข้องใจ เพราะพอมาลงรายละเอียดชีวิตจริงๆแล้ว มันกลับไม่น่าเขียนและน่าฟินเท่าไหร่เลย อย่างที่เธอกำลังจะหักธงต่างๆทิ้งนี่...ถ้าให้นางเอกทำเหมือนกันมีหวังคนอ่านหายหมดพอดี
[ไม่จำเป็นเจ้าค่ะ ชีวิตนี้ของท่านอยากจะใช้เช่นไรก็ตามแต่ใจเลยเจ้าค่ะ พระเจ้าทรงบอกมาเช่นนั้น] เหม่ยลู่พูดเสียงอ่อน
[เป็นอะไรไป] เหม่ยเสี้ยวหยุดมือ หันไปมองนกน้อยที่ออกมายืนลู่ปีกอยู่ด้านหลัง .... วันนี้เหม่ยลู่ดูแปลกๆ
[ข้ามาลาเจ้าค่ะ] เหม่ยลู่ยิ้มให้เหม่ยเสี้ยวนิดๆ เหม่ยเสี้ยวยิ้มกลับแม้จะรู้สึกใจหายนิดๆ แม้หลายวันมานี้จะไม่ค่อยได้คุยกันเหมือนช่วงแรกๆที่ถูกส่งมาแล้ว แต่เหม่ยลู่ก็ถือเป็นเพื่อนคนแรกของเธอ...ตั้งแต่เกิดมา
[ลาไปไหนล่ะ มีหน้าที่ต้องขายตรงให้ฉันไม่ใช่รึยังไง...]
[ต่อไป...ถึงจะเป็นเสียงของข้าเช่นเดิม แต่วิญญาณของข้ามิได้อยู่แล้วเจ้าค่ะ ...ข้าต้องกลับไปจุติพร้อมกับผู้ถูกเลือกคนใหม่] น้ำใสๆไหลออกจากสองตาของเหม่ยลู่ ก่อนจะรวมกันเป็นแอ่งอยู่บนอากาศเหนือพื้นบริเวณที่น้ำตาหยดลงนิดหน่อย
[มีเรื่องอย่างนี้ด้วยสินะ...ไม่ไปไม่ได้เหรอ] เหม่ยเสี้ยวมีแววเศร้าในดวงตาอย่างเห็นได้ชัด นางยื่นมือไปจับร่างนกน้อยเข้ามาในอ้อมกอด ยังจำวันแรกที่พบกันได้อยู่เลย เหมือนทุกอย่างเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวาน
[ไม่ได้เจ้าค่ะ ขอให้ท่านใช้ชีวิตให้มีความสุขนะเจ้าคะ..] เหม่ยลู่เงยหน้าขึ้นมามองหน้าเหม่ยเสี้ยวเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ร่างกายของนางจะค่อยๆแตกสบายกลายเป็นไอสีขาวไป
[เดี๋ยวสิ เร็วเกินไป...อยู่ก่อน] เหม่ยเสี้ยวที่ไม่เคยรู้สึกสูญเสียเลยทั้งชีวิต กระทั่งพ่อแม่... แต่ตอนนี้เพิ่งจะรู้สึกถึงความสูญเสีย แต่เธอก็พยายามกลั่นเสียงออกมาไม่ให้สั่น ดวงตาเริ่มแดงก่ำเมื่อรู้สึกว่าร่างในอ้อมกอดกำลังสลายไปคามือ
[อย่าร้องไห้เจ้าค่ะ...แหม่ๆ ไม่เหมือนตัวท่านเลยสักนิด] เหม่ยลู่หัวเราะนิดๆ ทั้งๆที่ร่างกำลังค่อยๆหายไป
“ไม่...ไม่เอานะ ข้าต้องการเจ้า...ไม่” เหม่ยเสี้ยวน้ำตาไหลพราก ร่างเล็กๆของเหม่ยลู่หายเกลี้ยงจากอ้อมกอด เหลือเพียงประกายแสงวิบวับอยู่ ณ ตรงนั้นที่ร่างของนกน้อยสลายไป
เสียงวิ่งตึกตักดังขึ้น พร้อมกับร่างของโอริวที่มาก่อนใครเพื่อน ตามด้วยหานตงและเก็นบุตามลำดับ ก่อนที่พวกเขาจะต้องตกใจกับสภาพน่าสังเวชของเหม่ยเสี้ยว ที่กำลังตัวสั่นนั่งร้องไห้อยู่บนพื้นโดยมีประกายระยิบระยับสีขาวอยู่เหนือหัว ราวกับเป็นการปลอบประโลมครั้งสุดท้ายของเหม่ยลู่
[ต้องการซื้อสกิล ต้านทานความเจ็บปวด(จิตใจ) หรือไม่คะ] เสียงเหม่ยลู่ในหัวทำให้เหม่ยเสี้ยวที่ยังคงนั่งสะอื้นชะงัก
เด็กๆที่นั่งร้องไห้กอดแขนเธออยู่เองก็ชะงัก แต่ก็ยังคงสะอื้นอยู่ หานตงนั้นทำเพียงมองมาด้วยความเป็นห่วงเท่านั้น เหม่ยเสี้ยวเลยกวาดมือไปกอดเด็กทั้งสองไว้แทน....
[ไม่ค่ะ...น้ำตาเป็นหลักฐานของชีวิต] เหม่ยเสี้ยวพูดตอบ รู้สึกใจหายนิดๆเพราะไม่มีเสียงล้อเลียนตอบกลับมาเหมือนทุกที ถ้าเป็นเหม่ยลู่คงตอบกลับมาว่า ‘สมแล้วที่เป็นนักเขียนนะเจ้าคะ เจ้าบทเจ้ากลอนสุดๆ’
คิดแล้วก็ยิ้มขึ้นมา ลืมไปเลยว่าคนๆหนึ่ง คงจะอยู่เพียงในความทรงจำเท่านั้นเมื่อต้องแยกจากกัน... ไม่มีคนที่จะอยู่ด้วยกันโดยไม่ต้องแยกจากเลย
“หม่าม๊า เป็นอะไรไปเจ้าคะ โอริว...ฮึก...เป็นห่วงหม่าม๊านะเจ้าคะ” เด็กน้อยซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดเหม่ยเสี้ยวมากขึ้น เพราะเก็นบุนั้นวิ่งหนีหายไปแล้วเนื่องจากเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองอ่อนไหวไปตามอารมณ์ของเหม่ยเสี้ยว และเป็นห่วงเธอจนนั่งกอดกันร้องไห้ตามไป
“ไม่เป็นไรจ๊ะ ขอบคุณนะโอริว เก็นบุและหานตงด้วย ไปทำงานกันต่อเถอะ เอาล่ะ เรามาโปรโมทร้านกันดีกว่า” เหม่ยเสี้ยวยิ้มหวาน
“โมโตะ? โปโมโตะ?” โอริวได้แต่ทำหน้าสงสัย ไม่ต่างจากคนอื่นๆ
เหม่ยเสี้ยวหยิบแยมส้มที่อุ่นเรียบร้อยแล้วมาเทลงไปบนเค้กแต่ละก้อนที่จัดเรียงไว้บนถาดไม้ก่อนจะยื่นไปให้เด็กๆช่วยกันถือคนละถาด ก่อนจะเดินไปหาโต๊ะว่างในโกดัง
“หานตง มาช่วยทางนี้หน่อยสิ” เหม่ยเสี้ยวรับถาดขนมในมือหานตงมาวางบนโต๊ะ ก่อนจะช่วยกันยกโต๊ะคนละด้านออกไปวางไว้บริเวณถนนหน้าร้าน หันหน้าไปทางถนนหลัก
จริงๆต้องบอกว่าตึกหลังนี้อยู่ท้ายตลาดทางด้านขวา ซึ่งเพราะเป็นตึกท้ายตลาดก่อนถึงเขตสลัมเลยไม่ค่อยมีคนมาเดิน แต่เหม่ยเสี้ยวก็เพิ่งจะรู้เรื่องเขตสลัมก็เมื่อวานนี้เอง
ไม่แน่ว่าทำเลนี้อาจจะบอดกว่าที่คิด ดังนั้นเธอเลยคิดจะเรียกลูกค้าด้วยของกินฟรี แต่จำนวนน้อยๆบรรดาคนจากสลัมมีหวังมาต่อแถวกินกันหมดก่อนแน่ๆ
“ไม่ไหวอีกแล้ว” เหม่ยเสี้ยวพึมพำ ขณะที่ยังคงยิ้มอยู่แม้ว่าแถวที่ต่อรอรับเค้กจะยาวขึ้นเรื่อยๆ และส่วนมากนั้นเป็นคนที่มาจากทางสลัมทั้งสิ้น เพราะทั้งคนไร้บ้านไร้งานหรือขอทานก็มาต่อแถว ข่าวลือแพร่กระจายเร็วจนคนมาต่อกันตรึม
“ไม่ต้องห่วงหรอกหานตง ... ว่าแต่ขายน้ำมันหอมได้เท่าไหร่แล้ว” โต๊ะข้างๆกันนั้นขายน้ำมันหอมไปด้วย และไม่ว่าจะเป็นคนแต่งตัวยังไง เหม่ยเสี้ยวก็แนะนำพวกเขาด้วยคำเดียวกันทั้งหมด
“..” หานตงนั้นมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เขาเกรงว่าท่านหญิงจะลำบากใจที่มีแต่คนมาขอกินซะส่วนใหญ่ แต่เหม่ยเสี้ยวก็เหมือนอ่านใจเขาออก เขาก็ได้แต่หวังว่าท่านหญิงของเขาจะไม่ลำบากไปมากกว่านี้
“หากชื่นชอบ แวะมานั่งดื่มชาที่ร้านของเราได้นะเจ้าคะ ร้านชายาสวรรค์มีสินค้าหลากหลายให้เลือกซื้อหากัน” เหม่ยเสี้ยวพูดคำเดิมซ้ำๆ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนที่ดูเหมือนมีตังค์หรือไม่ก็ตาม ....
กุบ กับ กุบ กับ
เสียงควบรถม้ากุบกับดังขึ้นมา พร้อมๆกับที่เหม่ยเสี้ยวกำลังปฏิเสธคนที่มารอคิวต่อๆไป เนื่องจากเค้กหมดแล้ว
“สินค้าให้ชิมหมดแล้วเจ้าค่ะ หากท่านไหนสนใจอยากลองชิมสามารถเข้าไปหาซื้อได้ในร้าน ชายาสวรรค์นะเจ้าคะ ราคาไม่แพง เค้ก1ชิ้นเล็กเพียง1เงินเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีสินค้าอื่นๆให้เลือกซื้ออีกมาก” เหม่ยเสี้ยวยังคงเชิญชวน
ถึงแม้จะมีหลายๆคนหัวเสียที่ของแจกฟรีหมดแล้วและรีบแยกย้ายกันกลับไป แต่ก็มีหลายๆคนที่อยากจะลองชิมและอยากกินมากกว่านี้ตัดสินใจจับกลุ่มกันเดินเข้าร้านไป 1เงินเป็นราคาไม่น้อยเลย แต่หากพวกเขาหารกันสัก5คนราคาก็จะพอเหมาะ
สำหรับเหม่ยเสี้ยว เธอคิดว่าราคาอาหารที่นี่ จะอยู่ที่จานละ1เงินขึ้นไป ดังนั้นเงินนี้เป็นราคาที่ไม่ถือว่าแพงสำหรับชนชั้นแรงงานเลย เพราะคำนวณเรื่องสถานที่ซึ่งอยู่ใกล้สลัมด้วย ดังนั้นกลุ่มลูกค้าเลยถูกลดลงมา... คิดว่าร้านเครื่องหอมคงต้องย้ายไปที่อื่นเสียแล้วล่ะ
“เหมยเอ๋อร์” เสียงเรียกพร้อมกำร่างสูงใหญ่ที่ปรากฏทำให้เหม่ยเสี้ยววางมือจากของที่กำลังจะเก็บ
“คารวะคุณชายต้า...เชิญด้านในก่อนเจ้าค่ะ” เหม่ยเสี้ยวผายมือเชิญ ทำให้คนรอบข้างหันมามองเป็นตาเดียว คุณชายเจ้าสำราญสวมชุดเขียวผู้นี้ใครๆต่างก็รู้จัก...แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าเขาคือท่านอ๋องเขียวผู้นั้น
“ไม่เป็นไร ...มากับข้าเถอะ...ให้หว้าอูช่วยเก็บ” เหม่ยเสี้ยวจำต้องวางมือจากสิ่งที่ทำอยู่และเดินตามฟางอ๋องเข้าร้านไป เก็นบุนั้นกำลังยืนขายของอยู่ด้านในร้าน ส่วนโอริวกำลังยกน้ำชาไปเสิร์ฟชาวบ้านที่นั่งบนโต๊ะแล้ว
“เหมือนจะกำลังยุ่งเลย เจ้าไปดูช่วยนางก่อนก็ได้” ฟางอ๋องแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ามีคนเข้าร้านเยอะพอสมควร คราวแรกที่เขาได้ยินรูปแบบร้านที่เหม่ยเสี้ยวตั้งใจทำนั้น เขาก็นึกค้านในใจ...
คาเฟ่? ชื่อนั้นที่เหม่ยเสี้ยวเรียก คล้ายๆกับโรงเตี้ยมแต่ไม่มีอาหารหลัก มีเพียงน้ำชา แถมยังขายของอื่นๆตามป้ายหน้าร้านด้วย สามารถมาเช็คว่าในแต่ละวันมีอะไรขายบ้างได้จากป้ายหน้าร้าน ซึ่งเป็นกระดานชนวนขนาดใหญ่
ฟางอ๋องมองกระดานชนวนในร้านที่มีเขียนไว้เหมือนๆกับกระดานหน้าร้าน ว่าวันนี้มีอะไรบ้าง ....
เค้กแยมส้ม... ชาดำ ชาเขียว ชาขาว ชาสมุนไพร ...น้ำมันไป่เหอ น้ำมันตะไคร้ และน้ำตาล ...เขาสะกิดใจ น้ำตาลที่สุด เพราะเค้กแยมส้มนั้นเขาได้ลองทานดูแล้ว มันเลิศรสมากๆจนอยากจะรีบนำไปทูลถวายเสด็จแม่และฮ่องเต้ในเร็ววัน
น้ำตาล... สิ่งนั้นคือของล้ำค่าที่ต้องสั่งซื้อจากแถบทะเลทราย ชนเผ่าต่างๆผลิตออกมาและส่งออกมาแลกกับเสบียง แค่เพียง1จิน มีค่าเทียบเท่ากับสเบียง2เกวียน
ฟางอ๋องมองหญิงสาวที่กำลังเสิร์ฟชาและเค้กสม รวมถึงอธิบายว่าร้านมีอะไรบ้างด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และพูดคุยต้อนรับทุกคนอย่างดี แม้กระทั่งกลุ่มคน5คนที่เข้ามาสั่งเค้กแค่ก้อนเดียว
เหม่ยเสี้ยวเดินกลับมาที่โต๊ะ ไม่ลืมชงชากลับมาด้วย วันนี้ฟางอ๋องดูอ่อนเพลีย คิดว่าเมื่อคืนคงหนัก...หมายถึงทำงานหนักหรือไม่ก็สังสรรค์หนัก เธอเลยชงชาหมักเปลือกหานซือมาให้เขาลองชิม เพราะมีรสชาติขมปร่าแต่เมื่อโดนน้ำร้อนกลับหอมหวานและจืดลง แถมมีสรรพคุณคลายเมื่อยล้าด้วย
“หืม...น้ำผึ้งหรือ” ฟางอ๋องตกใจแทบตกเก้าอี้ น้ำผึ้งนั้นราคาแพงเอามากๆ ใช้กันแค่ในราชวังเท่านั้น ไม่คิดว่าเหม่ยเสี้ยวจะหามาได้แถมยังตั้งเคียงกับชาราคาเพียง 2เงินอีก
“เหม่ยเสี้ยว...ข้าว่าเราคงต้องคุยเรื่องสามัญสำนึกของเจ้าหน่อยแล้ว” ฟางอ๋องหน้าเสียนิดๆ
“คุณชายต้า อย่าเพิ่งใส่น้ำผึ้งดีกว่าเจ้าค่ะ...ชานั้นมีกลิ่นหอมหวานอยู่แล้ว อาจจะไม่ต้องเติมน้ำตาลหากไม่ชอบทานหวาน” เหม่ยเสี้ยวเอ่ยเตือน เขาเลยชะงักมือ ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจ่อปาก
จะว่าไปเขาก็เพิ่งจะสังเกตว่าชาของเขามาเป็นถ้วย มิใช่กา แปลว่าอาจจะมีอะไรพิเศษกว่า...กลิ่นหอมหวานของชาแตะจมูกอันดับแรก รสชาติของน้ำชานั้นธรรมดาออกเฝื่อนปากนิดหน่อย แต่เพราะกลิ่นหวานๆนั้นทำให้รู้สึกเหมือนรสชาติชาละมุนลิ้นขึ้นมา
“อืม...อันนี้คืออะไรรึ” อดถามไม่ได้จริงๆ เขาไม่เคยดื่มชาที่มีรสชาติแปลกเช่นนี้มาก่อน
“ชาสมุนไพรเจ้าค่ะ...ในเมนูก็มี” เหม่ยเสี้ยวชี้ไปที่กระดานซึ่งมีเขียนทั้งชื่อสินค้าและเมนูเอาไว้แล้ว ชาสมุนไพรนั้นราคาแพงกว่าชาปกติมากทั้งๆที่บางอย่างอาจจะเสิร์ฟเป็นถ้วยมิใช่กา
“สมุนไพร...เหมือนที่หมอยาจัดให้น่ะรึ เจ้าเป็นหมอสมุนไพรเหรอเหม่ยเสี้ยว... ถ้าว่าคงไม่เหมาะนักหากไม่รู้ว่าปริมาณเท่าใดจึงจะเหมาะกับร่างกายมนุษย์ สมุนไพรนั้นมีคุณก็จริง แต่หากมากเกินไปก็ทำโทษได้ด้วย”
ฟางอ๋องเริ่มรู้สึกว่าเหม่ยเสี้ยว นางขาดสามัญสำนึกมนุษย์ธรรมดาไปอย่างสิ้นเชิง หรือเป็นเพราะนางอยู่ในป่ามาตลอดกันนะ?
“จริงๆข้าพอมีความรู้บ้างเจ้าค่ะ จากการได้เดินทางไปในหลายๆที่ เลยได้เรียนรู้มาหลายอย่าง อีกอย่างชาสมุนไพร มิใช่ยาหรอกเจ้าค่ะ เป็นเพียงชาเท่านั้นและแน่นอนว่าข้าไม่ได้ขายพร่ำเพรื่อ” เหม่ยเสี้ยวตอบกลับยิ้มๆ ..
หมอนี่ มีความรู้สมเป็นท่านอ๋อง แต่การที่เธอจะขายทุกอย่างที่เธอรู้มันเร็วเกินไป ร้านนี้จะกลายเป็นร้านขายทุกอย่าง ดังนั้นเธอถึงทำรายการสินค้าขึ้นมา เพื่อบอกทุกคนว่าวันนี้มีของชนิดนั้นมั้ย
“อืม...แต่ถึงอย่างนั้น ข้าขอแนะนำสักอย่างได้หรือไม่” ฟางอ๋องยังคงเป็นห่วง แม้นางจะบอกว่ามีความรู้พอสมควรก็เถอะ
“อย่างไรเจ้าคะ” เหม่ยเสี้ยวเองก็รู้สึกว่า รับฟังคนที่รู้กฎหมายไว้ดีกว่า อย่างน้อยเขาก็ยังมิใช้ศัตรู
“ถึงอย่างไรมันก็ถือว่าเป็นตัวยา หากเจ้าอยากขายได้อย่างสบายใจคงต้องไปสอบเอาใบอนุญาต...” ฟางอ๋องชะงัก เขารู้ว่าเหม่ยเสี้ยวเป็นเด็กกำพร้า ดังนั้นเรื่องรู้หนังสือนั้นหารู้ไม่
“แต่ตัวข้าไม่รู้หนังสือ...อืม...” เหม่ยเสี้ยวเริ่มเครียด จริงอย่างเขาบอก ถึงในโลกเก่าจะมีใบอนุญาตแยกกันระหว่างหมอกับเภสัช แต่ที่นี่เขาไม่ได้แยกกัน
สิ่งที่ทำให้เธอรู้ตัวว่าเขียนหนังสือของที่นี่ไม่ได้ นั่นก็คือ วันก่อนฟางอ๋องพาเธอไปลงทะเบียนการค้า ตอนแรกเหม่ยเสี้ยวก็มั่นใจว่าตัวเองอ่านหนังสือออก แต่พอจะจับพู่กันเขียนกลับมือสั่นและเขียนไม่ไป...
“แต่เจ้าอ่านออกนี่... งั้นข้าจะขอให้เป็นกรณีพิเศษ ให้หว้าอูเข้าร่วมการสอบ อีกอย่างนะเหม่ยเสี้ยว...” เหม่ยเสี้ยวที่คิดว่าหมดเรื่องแล้วคอตก