“พี่สาว”
เสียงเรียกเบาๆนั้นทำให้เหม่ยเสี้ยวสะดุ้งตื่นขึ้นมา เธอมองไปรอบๆเห็นเด็กชายตื่นขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงแล้ว แต่ตอนนี้พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เธอเลยคิดว่าน่าจะเป็นช่วงยามอิ๋น(03.00 - 04.59 น.) เนื่องจากเธอไม่ได้ง่วงหาวนอนแล้ว
“ตื่นแล้วหรือ กินยาอีกสักอึกนะ” เหม่ยเสี้ยวเดินไปหยิบถ้วยยาที่เย็นแล้วมาให้เขาจิบอึกหนึ่ง ก่อนจะเดินลงไปด้านล่างเพื่อต้มน้ำให้เด็กน้อย และใช้สำหรับน้ำอุ่นเช็ดตัวในตอนเช้าด้วย
“พี่สาว” เด็กคนนั้นยังคงพูดคำเดิม ทำให้เหม่ยเสี้ยวแปลกใจมากๆ
“ว่ายังไงจ๊ะ มีอะไรจะพูดงั้นเหรอ” เด็กน้อย ชี้ไปที่เด็กอีกคนข้างๆตัว ก่อนจะชี้ไปที่เหม่ยเสี้ยว แล้วพูดอีกครั้ง
“พี่สาว” เขาพูดคำเดิม
เหม่ยเสี้ยวหมวดคิ้วมุ่น เพ่งมองเด็กๆอีกครั้ง ตอนนี้เด็กน้อยผู้หญิงเองก็ตื่นขึ้นมาแล้ว เธอกำลังขยี้ตาและมองนิ่งๆมาที่เหม่ยเสี้ยว ก่อนที่จะทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“หมะม๊า” เด็กน้อยร้องไห้ ก่อนจะโผเข้าหาเหม่ยเสี้ยว เธอได้แต่รับเด็กน้อยเข้ามากอด แต่เด็กหญิงก็ยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้น และพูดอยู่คำเดียว
“หม่าม๊า”
“พี่สาว !!” เด็กชายเองก็เหมือนจะโดนอาการร้องไห้ของเด็กหญิงสะกดจิต เขาร้องไห้สะอึกสะอื้น จนเหม่ยเสี้ยวต้องอุ้มเด็กน้อยไปนั่งบนเตียง และกอดเด็กชายไว้เหมือนกัน
ถึงแม้จะยัง งง อยู่หลายส่วนก็ตามที
หลังจากหานตงตื่นขึ้นมา เหม่ยเสี้ยวเลยวานให้เขาพาเด็กๆไปอาบน้ำด้วยสูตรของเธอ และให้ดื่มน้ำใบบัวบก ซึ่ง...สำหรับเด็กมันโหดยิ่งกว่ากินยาต้ม เพราะมีกลิ่นเหม็นเขียว ทำให้พวกเขาร้องให้โยเย
ส่วนตัวเธอ ออกไปซื้อเสื้อผ้า มาให้เด็กๆใส่ ก่อนจะลากหานตงออกไปเพื่อเก็บสมุนไพรต่างๆ ที่เธอเห็นเมื่อวาน
ตอนนี้ตรงหน้าเธอคือดอกหญ้าหรูเวง เป็นดอกหญ้าที่มีฤทธิ์ทำให้ชา น่าจะใช้สำหรับเป็นยาชาเวลาที่บาดเจ็บหนักได้ แต่ก็มีส่วนที่จะถูกใช้ในทางที่ผิด เหม่ยเสี้ยวเลยคิดจะเอาไว้ใช้แค่ที่ตัวเอง ไม่ขายออกไปจะดีกว่า
เมื่อวานเธอเจอกับต้นหานซือ เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ที่สรรพคุณคือความหวาน เธอเลยให้หานตงรับผิดชอบตัดต้นไม้นั้นลง เนื่องจากเป็นต้นไม้ใหญ่ แต่เพราะหานตงมีสกิลลมแล้วเลยสามารถโค่นต้นไม้ได้ง่ายๆ
ส่วนตัวเหม่ยเสี้ยวเอง เดินไปเก็บเปลือกต้นเฮมาเพิ่ม เพราะเป็นยาสารพัดโรค ไม่แน่ ถ้าเธอนึกอยากทำร้านสมุนไพรก็น่าจะมีคุณประโยชน์ต่อชาวบ้านอย่างมาก
แต่น่าแปลกที่ต้นเฮนั้น มีอยู่น้อยมาก คิดว่าคงเพราะเป็นสมุนไพรหายาก เธอเลยต้องเดินหาสมุนไพรอย่างอื่นที่จะทดแทนได้ อย่างเช่นใบธง ซึ่งเป็นสมุนไพรที่ชาวบ้านใช้กันอยู่แล้วเวลาเป็นไข้ แต่บางทีก็ผิดตำรับ
เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าเป็นไข้ธรรมดา ไข้ป่า ไข้เลือดออก หรือไข้หวัด ทำให้พวกเขาไม่ได้กินขนานยาป้องกันโรคแทรกซ้อนอื่นๆด้วย เลยมีอัตราการเสียชีวิตสูง
เหม่ยเสี้ยวนั่งคิดหนัก เมื่อคืนเธอต้มยาให้เด็กๆ จากตอนแรกที่ชิมสมุนไพรสดๆ อย่างใบธงมีรสขมมากๆเหมือนฟ้าทะลายโจร ส่วนเปลือกต้นเฮมีรถฝาดมากจนลิ้นเสียเลยล่ะ
แต่เมื่อคืน เธอเติมรากจินเข้าไปเพื่อฟื้นฟูให้ร่างกายเด็กๆอบอุ่น แต่เหมือนไปทำปฏิกิริยาทำให้ตัวยาที่ต้มออกมา จืดเหมือนน้ำเปล่า
ตอนแรกก็ชั่งใจว่า ตัวยาเสียรึเปล่า แต่พอเห็นเด็กๆดีขึ้นในตอนเช้า ก็บ่งบอกว่า รากจิน อาจจะเป็นตัวช่วยที่ทำให้ตัวยาหายจากรสชาติน่ากลัว ถึงจะยังมีกลิ่นไม่น่าพิสมัยเหมือนเดิมก็เถอะ
แต่ปัญหาคือรากจิน เป็นที่นิยมนำไปทำชาร้อน ทำน้ำกินกันเพราะมีรสหวานลิ้นนิดๆ ทำให้เป็นสินค้าที่ต้องการอย่างมาก และป่าแถบนี้ก็แทบเกลี้ยงแล้ว
เหม่ยเสี้ยวเลยคิดว่า จะใช้พื้นที่หลังร้าน ทำแปลงทดลองเพาะปลูกรากจินลองดู แล้วค่อยเผยแพร่ไปให้ชาวบ้าน เพื่อให้พวกเขาปลูกและนำมาขาย เธอก็รับซื้อต่อ น่าจะดีกว่า
ปัญหาคือ สมุนไพรส่วนมากเป็นของป่า ไม่แน่ใจว่าจะปลูกได้หรือเปล่า เธอเลยต้องทดลองเองหมดเลย แต่ยังไงก็ถือเป็นการเริ่มต้นธุรกิจนั่นล่ะ
เหม่ยเสี้ยวเดินกลับไปจุดที่หานตงตัดต้นหานซือไว้ พบว่ามันถูกหั่นเป็นท่อนๆ เหมือนเตรียมสำหรับทำฟืนแล้ว เธอเลยเดินเข้าไปหยิบเศษที่ถูกตัดมาชิมดู เนื้อไม้สีขาวมีรสชาติหวานอย่างที่คิดจริงๆ แต่เปลือกไม้กลับขมและทำให้เสียรสชาติ
“หานตง เก็บไม้ไปไว้ที่หลังร้านเราก่อนนะ” เหม่ยเสี้ยวคิดว่าจะใช้ประโยชน์จากพลังของตัวเองสักที ธาตุมิติ
เหม่ยเสี้ยวพาหานตงกลับมาที่ร้านด้วยกัน ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าคุณชายต้า(ฟางอ๋อง) กำลังยืนอยู่กับเด็กน้อยทั้งสองที่เธอช่วยไว้ และเหมือนพวกเขากำลังคุยกันอยู่ แต่ที่น่าหนักใจคือเด็กๆพูดได้แค่คำว่า หม่าม๊า กับ พี่สาวเท่านั้น
“พวกเจ้าแอบลักลอบเข้ามาบ้านคนอื่นเช่นนี้มีความผิดนะ ออกไปจากที่นี่ซะก่อนที่ข้าจะเรียกทหารมาจับตัว” ฟางอ๋องพูดอย่างอ่อนใจ เพราะเด็กๆยืนยันว่าจะอยู่ที่นี่ไม่ว่ายังไง
“หม่าม๊า รอ รอ” เด็กหญิงพูดอะไรสักอย่างแล้ววิ่งวนไปมา ไม่ได้มีทีท่าหวาดกลัวเลยสักนิด
“พี่สาว ไป... ” เด็กชายกลับยืนนิ่งและไม่ยอม แม้ว่าหว้าอูจะพยายามลากเขาให้ออกไปจากร้าน
เหม่ยเสี้ยวเห็นท่าไม่ดี เธอรีบวิ่งเข้าไป แต่เพราะยังไม่ชินทางและร้านที่ยังไม่ถูกปรับปรุงทำให้มีไม้กระดานที่เผยออยู่ และโชคร้ายที่เธอเตะเข้าเต็มๆ เลยสะดุดล้มไปในอ้อมกอดของคนที่หันมารับพอดี
“ขอโทษเจ้าค่ะ…. คุณชายต้า แต่เด็กพวกนี้เป็น เอ่อ ลูก...” เหม่ยเสี้ยวหันไปมองเด็กหญิงที่เรียก หม่าม๊า แล้วทำท่าจะวิ่งเข้าหาเธอ ขณะที่เธอผละออกจากอ้อมอกของชายหนุ่มแล้ว
“ลูกเจ้างั้นรึ?” ฟางอ๋องอึ้ง เขาคิดไม่ถึงว่านางจะเป็นแม่ลูกติด เพราะที่ผ่านมาไม่เห็นนางจะมีสัมพันธ์กับเด็กๆที่ไหนเลย
“ลูก ... ลูกน้องคนใหม่เจ้าค่ะ” คำตอบนั้นทำเอาฟางอ๋องตกใจไปหมด ใจเสียเลย…. คิดว่านางเป็นแม่หม้ายลูกติด โชคดีที่นางไม่เว้นไว้นานนัก
“อ้อ ถ้าเช่นนั้นจะให้ข้าส่งคนของข้ามาทำงานเมื่อใดเล่า” ฟางอ๋องเปรย เขาอยากจะรู้เคล็ดวิธีการทำงาน เพื่อสร้างน้ำมันหอมนั้น แต่อีกเหตุผลก็คงเป็นอยากจะสนิทชิดเชื้อกับนางมากกว่านี้นั่นล่ะ
“ข้าคิดว่าไม่อยากรบกวนท่านมากเกินนัก และตอนนี้ก็ได้เจ้าสองคนนี้มาช่วยแล้วจึงคิดว่าไม่จำเป็นแล้วเจ้าค่ะ ขออภัยที่ต้องปฏิเสธความหวังดีของคุณชาย ” เหม่ยเสี้ยวเอื้อนคำนิดๆเพื่อดูท่าที นั่นไงล่ะ เขาคิดอยากรู้วิธีทำจริงๆด้วยถึงได้มีสีหน้าเสียดายเช่นนั้น
“ถึงอย่างไรก็คงต้องรบกวนคุณชายต้า จัดหาช่างไม้อยู่ดี ข้านั้นด้อยกำลังนัก กระทั่งเรื่องแค่นี้ยังต้องขอร้อง ขอกำลังคุณชาย...” แต่เพราะเสน่ห์ที่ฟางอ๋องหลงไปแล้ว ทำให้เหม่ยเสี้ยวใช้วิธีพูดจาหว่านล้อมและทำเหมือนเขาสำคัญ ทำให้ฟางอ๋องอารมณ์ดีขึ้นมาในพริบตา
หานตงแอบมองอยู่ห่างๆ ได้แต่คิดว่า สมแล้วที่เป็นนายหญิง ช่างเจรจากลับดำเป็นขาวได้ในพริบตาจริงเทียว
“แหม ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกเหมยเอ๋อร์ ยืนกันอยู่เช่นนี้คงไม่ดีนักเพราะเราต้องหารือลงทุนร้านนี้อีกหลายเรื่องเลย ” อ๋องฟางมองไปรอบๆ ไม่มีที่ๆ พอจะตั้งโต๊ะได้เลยด้วยซ้ำ แม้จะบังเอิญมีโต๊ะขึ้นมาก็เถอะ
“ถ้าเช่นนั้น ถือโอกาสไปกินข้าวกันเลยดีกว่าเจ้าค่ะ” เหม่ยเสี้ยวถือวิสาสะเชิญฟางอ๋องไปยังโรงเตี้ยมตรงข้าม ซึ่งเป็นโรงเตี้ยมเล็กๆไม่ค่อยมีคนนัก และนั่นล่ะที่เธอต้องการ
เหม่ยเสี้ยววิเคราะห์ของรอบๆตัวอยู่ตลอด เพราะติดเป็นนิสัยทำให้มองเห็นมีดพิษของหว้าอู ได้แต่สงสัยว่าใครกันที่ประดิษฐ์มีดที่ใส่ความสามารถเข้าไปได้
“เอาล่ะ ก่อนอื่นนี่เป็นสัญญาการร่วมทุนของเรา ” เหม่ยเสี้ยวรับแผ่นกระดาษที่มีรายมือเรียงตัวกันสวย บ่งบอกว่าคนเขียนนั้นตั้งใจอย่างดี นอกจากนี้ในโลกนี้ยังบ่งบอกฐานะของคนด้วย เพราะคนปกติแค่อ่านออกเขียนได้ไก่เขี่ยเท่านั้นล่ะ
“อืม... ข้าคิดว่าหากเปลี่ยนการร่วมทุนระยะยาว เป็นการลงทุนระยะสั้นในทุกๆ ธุรกิจของเรา เพื่อลดความเสี่ยงของท่าน และอีกส่วนเพื่อกระจายรายได้ให้ประชาชน จะว่าอย่างไรเจ้าคะ” เหม่ยเสี้ยวเอ่ยทัก
เนื่องจากเธอคิดไว้แล้วว่า หุ้นส่วนที่ว่าหมายถึง จะมีคนของเขา ซึ่งในเนื้อเรื่องเป็นหนึ่งในคนที่ทำร้ายเหม่ยเสี้ยว ร่วมอยู่ด้วย เป็นสิ่งที่อันตรายสุดๆไปเลย
เธอเลยคิดว่า ท่านอ๋องอย่างเขาน่าจะสนใจปากท้องประชาชนมากกว่า
เหม่ยเสี้ยวเริ่มอธิบายเรื่อง ความเสี่ยงและผลตอบแทนที่เขาจะได้ แม้จะยังไม่แน่ชัดว่าเธอจะสามารถสร้างหลายๆธุรกิจได้ก็จริง แต่นั่นก็ในกรณีที่สร้างได้
หากธุรกิจไหนเจ๊ง เขาก็ไม่จำเป็นต้องรับผลของมันร่วมด้วย และได้รับเงินลงทุนกลับไปเต็มเม็ดเต็มหน่วย คล้ายๆกับหุ้นกู้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็จะได้รับสิทธิหลายๆอย่างจากการเป็นหุ้นส่วน หรือการร่วมลงทุน
อย่างเช่น เขาสามารถเรียกร้องค่าตอบแทนเป็นอย่างอื่นในราคาที่เท่ากันได้ เช่นถ้าเขาอยากดื่มกินฟรีก็เป็นหุ้นส่วนในโรงเตี๊ยม ถ้าอยากรักษาฟรีก็เป็นหุ้นส่วนในร้านหมอ
นั่นคือที่เธอเสนอ แต่ก็เป็นเพียงแค่ตัวหลอก หลักๆแล้วเธอเพียงไม่อยากให้เขารู้ถึงความลับทางธุรกิจของเธอ และจะต้องจำกัดคนที่รู้ให้น้อยที่สุด
“ไม่คิดเลยว่า เจ้าจะคิดไว้หมดแล้วเช่นนี้ ” ฟางอ๋องยิ้มพอใจ ออกจะแปลกใจเล็กน้อยด้วยซ้ำ ราวกับเขาได้เห็นญาติคนนั้น เจ้าคนที่อยู่ทางใต้คนที่เขาร่วมทุนด้วย
“ถึงอย่างไรข้าก็เป็นเพียงสามัญชน ไร้การศึกษา ลำพังตัวข้าเองคงไม่สามารถเปิดร้านได้หรอกเจ้าค่ะ หรือถึงจะเปิดได้ก็คงจะขาดทุนในเร็ววัน”
“ถ้าเจ้าขายสิ่งนั้น ร้านเจ้าไม่มีวันขาดทุนหรอก เพียงแต่อาจจะยากลำบากเพราะไม่ใช่ของที่คนทั่วไปใช้กัน”
“จริงๆข้ามีแผนอื่นๆอยู่ด้วย แต่คงจะเริ่มดำเนินการหลังจากนี้ และสิ่งเหล่านั้นอาจจะนำมาปรึกษาคุณชายต้าก่อน เพื่อให้ท่านช่วยลงทุนกับข้าอีกครั้ง” เหม่ยเสี้ยวไม่อยากเผยอะไรเท่าไหร่
ไม่แน่ใจว่าอีกนานแค่ไหน กว่าที่คนๆนี้จะหลุดจากธง แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นเธอก็คงจะเป็นนกน้อยในกรงทองเข้าสักวัน ขอบคุณความโชคร้ายของเหม่ยเสี้ยวเลยจริงๆ
“น่าสนใจ งั้นข้าจะเปลี่ยนจุดนี้ให้เป็นดังที่เจ้าบอก แต่ว่า เงินปรับปรุงร้านเจ้าคงต้องจัดการเองแล้วล่ะ ” ฟางอ๋องยืดอกนิดๆ เขาไม่พอใจอยู่แล้วล่ะเมื่อต้องถูกลดระดับความสำคัญ แถมยังไม่ได้วิธีการทำน้ำมันนั่นอีก
“แค่คุณชายช่วยแนะนำช่างไม้ให้ ก็เป็นความกรุณามากแล้ว” เหม่ยเสี้ยวยิ้มหวานให้เขา ทำเอาฟางอ๋องต้องเมินไปทางอื่น เขาไม่พอใจที่นางทำเหมือนไม่ไว้ใจเขา และแน่นอนว่านางดูฉลาดกว่าตัวตนนางที่แสดงออกเสมอมา นี่อาจจะเป็นมุมที่เขาไม่ควรแตะต้องแต่แรก เขาชักอยากได้นางมาไว้ใกล้ตัวเร็วๆแล้วสิ
เหม่ยเสี้ยวยิ้มพอใจ หลังจากที่ลงนามกันเรียบร้อยชายชุดขาวก็เดินมา ก่อนจะทำพิธีทำสัญญา ก่อนที่หนังสือฉบับนั้นจะหายไป
“สัญญาพันผูกด้วยปราณ ดังนั้นพวกเราจะไม่ผิดข้อสัญญา” ฟางอ๋องพูด
เหม่ยเสี้ยวเพิ่งรู้ว่ามีวิธีนี้ เธอเลยกังขาเขาไปหลายส่วน และเหมือนจะทำให้เขาเองก็เริ่มกังขาเธอ
รู้สึกเหมือนจะเดินหมากผิดไปตัวหนึ่ง เหม่ยเสี้ยวคิดแค่นั้นจริงๆ
“ถ้าเช่นนั้น ไปหาช่างไม้กันเถอะ” ฟางอ๋องยิ้มให้นาง แม้จะเริ่มรู้สึกว่านางมิใช่ม้าน้อยขี่ง่ายแล้วก็ตามที แม้นางจะเป็นม้าพยศ เขาก็จะปราบพยศเสีย อ๋องหนุ่มเจ้าสำราญคิดอย่างได้ใจ