“คุณป้าเอารายการมาค่ะ เดี๋ยวทรายไปซื้อให้ค่ะ” พราวฟ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เรียกอรุณว่าแม่อย่างที่ควรจะเป็น เธอจึงเรียกบิดามารดาของปรินทร์ว่า คุณลุงคุณป้า ตามที่ทั้งสองต้องการ
“เอ้า เอาไป” อรุณไม่ได้ส่งเงินและกระดาษที่จดรายการที่ต้องซื้อดีๆ นางปาใส่หน้าพราวฟ้า พร้อมกับคำสั่ง “ซื้อมาให้ครบ ซื้อเสร็จแล้วก็จัดเตรียมให้ด้วย ที่สำคัญทำให้เสร็จก่อนที่เปิ้ลจะมา เข้าใจไหม”
พราวฟ้าน้ำตาริน มือสวยติดสั่นเก็บเงินที่กระจายตรงตักขึ้นมาเรียง ความเสียใจอาบทั่วจิตใจดวงน้อย
“เธอนี่ยังไงนะ วางเงินบนโต๊ะดีๆ ก็ได้ ทำไมต้องทำกิริยาแบบนี้ด้วย เธอว่ามันว่าต่ำ แต่สิ่งที่เธอทำฉันว่ามันต่ำกว่านะ” บุหงันทนไม่ไหว แม้ว่าไม่ชอบหน้าพราวฟ้า แต่นางก็ไม่เห็นด้วยในเรื่องที่ลูกสะใภ้ทำ “แค่เธอสั่งมัน มันก็พร้อมทำตาม ทีหลังอย่าให้ฉันเห็นเธอทำแบบนี้อีกนะ ครั้งหน้าฉันจะด่าให้ยับ”
“คุณแม่ว่าอรุณหรือคะ คุณแม่เข้าข้างมัน” อรุณยิ่งชังน้ำหน้าพราวฟ้ามากขึ้น
“ก็สมควรด่าไหมล่ะ ทำตัวต่ำ” เรื่องนี้บุหลันไม่ยอม “เธอออกไปได้แล้ว ฉันไม่อยากเห็นหน้าเธอ”
อรุณไม่กล้าเถียงแม่สามี นางมองพราวฟ้าที่เอาแต่ก้มหน้า ลุกขึ้นยืนแล้วสะบัดหน้าออกไปจากห้องนั่งเล่นอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ยิ่งแก่ยิ่งร้ายกาจ ฉันเอามาเป็นสะใภ้ได้ไงเนี่ย” บุหงันพูดกับตัวเอง ก่อนก้มหน้ามองพราวฟ้า “เธอก็หัดมีปากมีเสียงบ้างสิ ไม่ใช่เอาแต่ยอมอยู่แบบนี้ คนในบ้านนี้ถึงได้ใจ โขกสับต่อว่าเธอไม่เว้นวัน โต้กลับซะบ้าง มีปากไม่ใช่เหรอ”
บางครั้งบุหงันรู้สึกขัดใจที่เห็นพราวฟ้านิ่งเงียบราวกับคนไม่มีปาก อยากให้โต้กลับบ้าง
“ทรายไม่อยากให้พี่โดมไม่สบายใจค่ะ อะไรทรายยอมได้ก็ยอมค่ะ” พราวฟ้านึกถึงสามีสุดที่รัก โดยไม่นึกถึงสภาพจิตใจตัวเอง
บุหงันถึงกับถอนหายใจออกมายาวๆ เรื่องหนึ่งที่บุหงันตระหนักดีคือ พราวฟ้าเป็นคนดี คิดดีและทำดี สำคัญที่สุดคือ รักปรินทร์ หลานชายคนโปรดของนางมาก มากขนาดยอมให้อรุณก่นด่า ว่ากระทบไม่เว้นวัน และบางวันก็ใช้งานเยี่ยงทาส ไม่เคยเห็นพราวฟ้าเป็นลูกสะใภ้ พราวฟ้ายอมทุกอย่างเพื่อให้ปรินทร์สบายใจ เพราะหลายครั้งที่เห็นปรินทร์มีปากเสียงกับบิดามารดาเรื่องเธอ เธอไม่อยากสร้างความลำบากใจให้สามีไปมากกว่านี้
เป็นคนดีได้ แต่อย่าดีเกินไป เพราะเธอจะกลายเป็นคนโง่ และเจ็บปวดมากที่สุด
เป็นประโยคที่บุหงันอยากพูดออกไป แต่ก็ต้องระงับไว้ เพราะไม่ต้องการตอกย้ำความเจ็บปวดในหัวใจพราวฟ้าไปมากกว่านี้
“รีบไปซื้อของเถอะ กลับมาช้าจะถูกว่าอีก”
“ค่ะคุณย่า”
พราวฟ้ายกมือไหว้บุหงัน เธอลุกเดินออกจากห้อง เพื่อไปซื้อของตามรายการ
“ระวังเถอะ เสียเพชรในมือไป ฉันนี่แหละจะหัวเราะให้ฟันโยกเลยคอยดู”
บุหงันพูดกับตัวเอง ขณะมองประตูห้องที่ค่อยๆ ปิดลงอย่างเบามือ นางรู้ดีว่า เวลานี้ลูกชายและลูกสะใภ้คิดทำอะไร แล้วมีแนวโน้มสูงว่า ปรินทร์ก็เป็นไปตามที่บิดามารดาต้องการ นางก็อยากรู้นักว่า เพชรที่ใครคิดว่าสวยงามเลอค่า จะสู้เม็ดทรายไร้ราคาได้หรือไม่
หากวันใดทิวาทิพย์มาบ้าน ปรินทร์จะกลับบ้านเร็วกว่าทุกวัน พอมาถึงก็ได้จังหวะแม่ครัวจำเป็นทำอาหารทุกครั้ง แน่นอนว่าเขาต้องเข้าครัวเป็นลูกมือช่วยทำอาหาร แล้วการช่วยกันทำกับข้าวของทั้งคู่ก็เหมือนคู่รัก พูดจากระหนุงกระหนิง หยอกล้อกันไปมา บางครั้งทิวา-ทิพย์ก็ป้อนกับข้าวที่ทำให้ปรินทร์ชิม คนรับใช้ที่เป็นลูกมือในครัวต่างพากันยิ้ม คงจะมีเพียงคนเดียวที่ทำหน้าเศร้า รู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนเกิน หัวใจเหมือนถูกบีบกับภาพที่เห็น จนต้องเดินออกมาด้านนอก เพื่อหลีกหนีความเสียใจที่นับวันจะยิ่งมากขึ้น
แต่ก็ไม่ใช่ว่าพราวฟ้าจะหลีกหนีความเศร้าเสียใจพ้น เธอพานพบกับความรู้สึกนี้อีกครั้งในเวลากินมื้อเย็น ปกติเธอจะนั่งข้างปรินทร์ ทว่ายามทิวาทิพย์มาบ้านหลังนี้ เธอจะต้องยกเก้าอี้ตัวนี้ให้อดีตคนรักของสามีนั่งแทน ส่วนตัวเธอก็ย้ายไปอยู่ด้านหลังสุด วันนี้ก็เช่นกัน พราว-ฟ้านั่งตรงจุดที่เหมือนเป็นแขกมากกว่าคนในครอบครัว แม้แต่ยุรนันท์กับดลภพ แขกพิเศษอีกสองคนที่มาร่วมกินอาหารยังได้นั่งต่อจากทิวาทิพย์
พราวฟ้าลอบมองปรินทร์เป็นระยะ เธอเห็นเขาเอาอกเอาใจทิวาทิพย์ด้วยการตักอาหารใส่จาน อาหารที่เป็นน้ำอย่างเช่นต้มยำทะเล เขาก็จะใส่ถ้วยแบ่งให้ พราวฟ้าเห็นแล้วอยากร้องไห้ นึกในใจว่าคนที่ปรินทร์ควรเอาใจคือตน ที่อาหารตรงหน้ามีเพียงหมูทอดกับผัดผัก อาหารอย่างอื่นเธอก็ไม่กล้าเอื้อมมือไปตัก ทว่ามีคนใจดีอย่างยุรนันท์ที่นั่งใกล้กับพราวฟ้า คอยตักอาหารที่เธอตักไม่ถึงให้
แล้วที่แย่ไปกว่านั้น การสนทนาบนโต๊ะอาหารเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาที่พราวฟ้าไม่เข้าใจอยู่คนเดียว ราวกับว่าไม่อยากให้เธอรู้เรื่องที่สนทนากัน ความรู้สึกตอนนี้คือ เธอเหมือนแกะดำหลงเข้ามาในหมู่หงส์ นำพาความเศร้ามาให้พราวฟ้าอีกทำนบ
บุหงันที่นั่งหัวโต๊ะรู้และเห็นทุกอย่าง นางมองหลานชายก่อนมองพราวฟ้าที่นั่งตัวลีบอยู่ที่นั่งท้ายสุด นางวางช้อนและส้อมคู่กันบนจาน ทั้งที่ยังกินไม่อิ่ม
“คุณแม่กินไปนิดเดียวเองนะครับ อิ่มแล้วหรือครับ” ปุริมถามมารดา
“ยังไม่อิ่ม” บุหงันตอบ
“ยังไม่อิ่มแล้วทำไมไม่กินต่อล่ะคะคุณแม่” ลูกสะใภ้ถาม
“หรือว่าอาหารที่เปิ้ลทำไม่ถูกปากคุณย่าคะ” แม่ครัวรังสรรอาหารมื้อนี้เอ่ยถามต่อจากอรุณ
“กับข้าวน่ะอร่อย แต่ฉันไม่ชอบคนกระแดะ” ทุกคนบนโต๊ะอาหารพากันเงียบ มองหน้าบุหงันเป็นตาเดียว “เป็นคนไทยแท้ๆ แต่ไม่พูดภาษาไทย ทั้งที่บนโต๊ะอาหารไม่มีคนหัวทองสักคน มีแต่หัวดำหัวย้อม ก็ต้องโทษคนเริ่มพูดคนแรกล่ะนะ คงไปอยู่เมืองนอกนานเกินไป พอกลับมาเมืองไทยเลยลืมกำพรืดตัวเอง ดัดจริต”
บุหงันพูดกระทบทิวาทิพย์เต็มๆ เพราะเธอเป็นเพียงคนเดียวบนโต๊ะอาหารที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศเมื่อห้าเดือนก่อน ทิวาทิพย์ถึงกับหน้าชา ไม่คิดว่าบุหงันจะต่อว่าตนต่อหน้าทุกคน คนที่อึ้งและตกใจไม่แพ้ทิวาทิพย์คือ ปรินทร์ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยคำใด เสียงบุหงันดังขึ้นอีกครั้ง วาจาประโยคนี้ยิ่งทำให้ทิวาทิพย์หน้าชามากขึ้น