EP. 7 อย่าทิ้งหนูไป
“อาน่าน!”
แสงดาวร้องเรียกเป็นครั้งสุดท้ายจนสุดเสียงก่อนจะสะดุดล้มลงไถลไปกับพื้นจนเป็นแผลถลอก เอื้องคำและสมบัติรีบวิ่งตามมาแล้วปราดเข้าประคองเด็กสาวเอาไว้ด้วยความสงสาร
“เป็นยังไงบ้างหนูดาว เจ็บมากมั้ย”
แสงดาวส่ายหน้าทั้งน้ำตา หันมองไปทางประตูรั้วด้วยความหวังว่าจะเห็นรถของพ่อเลี้ยงน่านฟ้าย้อนกลับมา แต่ก็ไม่เห็นแม้เงา
“หนูทำตัวไม่น่ารักเลย อาน่านคงเกลียดหนูแล้ว” เธอยกมือขึ้นปิดหน้าแล้วก่นร้องราวกับจะขาดใจ โกรธตัวเองที่ไม่ยั้งคิดออกวิ่งตามรถของพ่อเลี้ยงจนทำให้เขาต้องลำบากใจ ป่านนี้พ่อเลี้ยงคงไม่อยากเห็นหน้าเด็กดื้ออย่างเธออีกแล้ว
“พ่อเลี้ยงไม่คิดแบบนั้นหรอกหนูดาว ไปเถอะเข้าบ้านไปทำแผลกับป้าดีกว่า” เอื้องคำประคองร่างบอบบางให้ออกเดิน แสงดาวร้องไห้หนักเสียจนเธอรู้สึกสงสาร อาจเพราะแสงดาวรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก เมื่อพ่อเลี้ยงจากไปเด็กสาวจึงเสียใจมากขนาดนี้ อยากจะปลอบแต่ก็ไม่รู้จะปลอบเด็กสาวอย่างไรดี เห็นทีต้องโทรศัพท์ไปขอให้ณรงค์วิทย์ช่วยมารับประทานอาหารเย็นเป็นเพื่อนแสงดาวเสียแล้ว
ดูเหมือนว่าคนที่กระสับกระส่ายด้วยความเป็นห่วงแสงดาวจะแทบไม่เป็นอันทำอะไร ก่อนขึ้นเครื่องบินเขาโทรกลับไปที่ปางไม้วงศ์ภูริและแน่นอนว่าคนที่เขาถามถึงนั้นไม่ใช่ใคร แต่เป็นแสงดาวนั่นเอง
“แสงดาวเป็นยังไงบ้างครับพี่เอื้อง”
“ร้องไห้จนนอนหลับไปแล้วค่ะ พ่อเลี้ยงไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ตอนนี้แสงดาวยังเด็กอีกเดี๋ยวก็จะเข้าใจเองว่าพ่อเลี้ยงไปเรียนหนังสือ ใช่จะหนีหน้าไปที่ไหน” เอื้องคำเอ่ยปลอบเจ้านายที่เงียบกริบได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจดังกลับมาแทนคำตอบ
“ผมฝากแสงดาวด้วยนะครับ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ” เอื้องคำรับปาก เธอรับปากเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่แน่ใจเพราะดูเหมือนพ่อเลี้ยงน่านฟ้าจะเน้นย้ำซ้ำๆ หลายรอบด้วยความเป็นห่วงเด็กในความดูแล ลองมาคิดกลับกัน...หากเธอเป็นพ่อเลี้ยงเธอก็คงเป็นห่วงแสงดาวเช่นกัน เพราะแสงดาวกำลังตกอยู่ในอันตรายอีกทั้งยังสูญเสียความทรงจำอีกด้วย
“ผม...”
“ทำใจให้สบายเถอะค่ะ ขอให้เดินทางปลอดภัยนะคะพ่อเลี้ยง” เอื้องคำยืนยันอีกครั้งเพื่อให้เจ้านายสบายใจ นี่ถ้าแสงดาวเป็นหญิงสาวอายุ 18-19 ปี เธอคงคิดว่าพ่อเลี้ยงน่านฟ้ามีใจให้หญิงสาวแน่ๆ แต่นี่แสงดาวมีอายุแค่ราวๆ 14-15 ปี ยังดูเป็นเด็กมาก ตัวผอมยาวเก้งก้าง หน้าอกหรือสัดส่วนที่หญิงสาวพึงจะมีก็ยังไม่มี เรียกว่าโตช้ากว่าเด็กวัยเดียวกันเสียด้วยซ้ำไป
“ครับ ถ้าผมไปถึงอเมริกาผมจะรีบโทรกลับมา”
พ่อเลี้ยงน่านฟ้าวางสายโทรศัพท์ไปแล้ว แต่เขากลับมิอาจสลัดภาพแสงดาววิ่งตามเขาทั้งน้ำตาได้เลย หัวใจของเขาปวดแปลบ รู้สึกผิดที่ไม่จอดรถแล้วลงไปกอดปลอบและอธิบายให้เธอเข้าใจก่อนจะจากมา
เขาน่าจะทำแบบนั้น... เขาน่าจะทำแบบนี้...
มันก็แค่ความคิดที่เป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเหตุการณ์มันผ่านมาแล้ว ป่านนี้แสงดาวอาจเกลียดหน้าเขาแล้วก็เป็นได้ และทันทีที่เธอกลับคืนสู่ครอบครัวของเธอ เธอก็คงลืมเขาอย่างง่ายดาย...
ช่างเป็น 5 ปีที่ยาวนานเหลือเกินในความคิดของแสงดาว การนับวันนับคืนรอคอยการกลับมาของพ่อเลี้ยงน่านฟ้าอย่างใจจดใจจ่อคือกิจวัตรที่เธอต้องทำทุกวันไม่เคยขาด เธอเขียนจดหมายพร้อมแนบงานฝีมือที่เธอทำขึ้นอย่างตั้งใจส่งไปให้พ่อเลี้ยงทุกปี เธออยากจะออนไลน์ถามไถ่ทุกข์สุขของพ่อเลี้ยงแต่ก็ไม่กล้าด้วยกลัวว่าจะเป็นการรบกวนเขามากเกินไป เพราะเท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เธอก็กลายเป็นภาระที่พ่อเลี้ยงต้องรับผิดชอบดูแล ทั้งค่ากินอยู่ค่าเล่าเรียนและอื่นๆ อีกมากมาย แม้พ่อเลี้ยงจะไม่เคยปริปากบ่นด้วยเขาเป็นคนใจดีมีเมตตา แต่เธอก็สำนึกเสมอว่าไม่ควรเรียกร้องหรือทำให้พ่อเลี้ยงน่านฟ้าลำบากใจไปมากกว่านี้
ใช่แล้ว...เกือบ 5 ปีที่ผ่านมา ความทรงจำของเธอยังคงจางหาย ไม่มีใครออกตามหาตัวเธออย่างที่ควรจะเป็น เธอน้อยใจ เสียใจ จนกลายเป็นความเคยชินและทำใจได้ในที่สุด บางทีอาจจะไม่มีใครรอคอยการกลับไปของเธอเลยก็เป็นได้ แต่อย่างน้อยเธอก็ยังโชคดี ที่มีพ่อเลี้ยงน่านฟ้าให้ความกรุณารับดูแลเธอเป็นเด็กในการปกครองมาเกือบห้าปี
ณรงค์วิทย์ช่วยตามหาครอบครัวของเธออย่างเต็มที่ แต่ก็ไร้วี่แวว กระนั้นนายตำรวจหนุ่มก็ช่างใจดียังคงติดตามครอบครัวของเธอไม่ได้ล้มเลิกไป เธอใช้ชีวิตวิ่งเล่นอยู่ในปางไม้วงศ์ภูริอยู่เกือบปี จนในที่สุดก็มีคำสั่งของพ่อเลี้ยงน่านฟ้ามาจากอเมริกา ว่าเธอต้องเข้าโรงเรียนไม่เช่นนั้นเธอจะเรียนไม่ทันเพื่อนๆ รุ่นเดียวกัน
‘อีกไม่นานหนูดาวก็จะโตเป็นสาว ปางไม้ของเรามีแต่ผู้ชาย ป้าเอื้องอยากให้หนูไปเรียนโรงเรียนประจำหญิงล้วน เดี๋ยวป้าจะบอกพ่อเลี้ยงเอง’
แสงดาวยินยอมโดยไม่โต้แย้ง เธอตั้งใจเรียนนำผลการเรียนยอดเยี่ยมประจำชั้นมาให้พ่อเลี้ยงเมื่อเขากลับมาเยี่ยมปางไม้ปีละครั้งพร้อมกับของฝากมากมายที่เธอกินไปทั้งปีก็ไม่หมด แต่เธอได้พบพ่อเลี้ยงแค่สามปีแรกเท่านั้น พอเข้าปีที่สี่และห้าก็ไม่ได้พบเขาอีกเลย พ่อเลี้ยงบอกว่าต้องเร่งทำวิทยานิพนธ์จึงไม่ได้กลับมาที่เมืองไทย
‘แสงดาวคิดถึงอาน่าน’
หญิงสาวรู้สึกร้อนที่ขอบตา จึงรีบก้มหน้าแล้วใช้หลังมือเช็ดหยาดน้ำตาออกไปอย่างรวดเร็ว เธอต้องตั้งใจอ่านหนังสือสอบ เพราะว่าเดือนหน้าพ่อเลี้ยงน่านฟ้าเรียนจบและจะกลับมาอยู่ที่ปางไม้วงศ์ภูริตลอดไป คราวนี้ล่ะเธอก็จะได้เห็นหน้าพ่อเลี้ยงน่านฟ้าบ่อยเท่าไหร่ก็ได้
หญิงสาวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ หยิบชีตที่เธอและเพื่อนจัดทำขึ้นเพื่ออ่านเตรียมสอบวางลงบนโต๊ะ แล้วอ่านด้วยความตั้งใจ บัดนี้เธออายุ 19 ปีเรียนมหาวิทยาลัยปี 2 คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรมที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผลการเรียนของเธอดีเยี่ยม ดูเหมือนว่าตำแหน่งเกียรตินิยมอันดับ 1 จะเป็นของหญิงสาวแสนขยันคนนี้อย่างแน่นอน
จะปิดเทอมแล้ว เธอจะได้กลับปางไม้วงศ์ภูริและจะได้เจอกับพ่อเลี้ยงน่านฟ้า ไม่มีของขวัญในโลกชิ้นไหนที่จะทำให้เธอมีความสุขไปมากกว่าการได้เจอพ่อเลี้ยงน่านฟ้า...