บทที่1.วิวาห์พาฝัน
บทนำ
'ฉันคงไม่อาจทำให้เธอเปลี่ยนใจ ฉันคงไม่อาจทำให้เธอกลับมารักฉัน
ฉันจึงขอแค่เพียงยังรักเธอ จะได้ไหม นะเธอจะได้ไหม (รักเธอตลอดไป)
ฉันคงไม่อาจทำให้เธอกลับมารักฉัน…
ฉันจึงขอแค่เพียงยังรักเธอ จะได้ไหม นะเธอจะได้ไหม (รักเธอตลอดไป)
ฉันคงไม่อาจทำให้เธอเปลี่ยนใจ ฉันคงไม่อาจทำให้เธอกลับมารักฉัน
ฉันจึงขอแค่เพียงยังรักเธอ จะได้ไหม นะเธอจะได้ไหม (รักเธอตลอดไป)’
Cr.เจมส์ เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์ ‘ไม่อาจเปลี่ยนใจ’
อินโทรเพลงเศร้า...ติดชาร์ทสมัยที่บุษบันอายุแค่10ขวบกว่าๆ ยังไว้ผมเปียใส่ชุดนักเรียนชั้นมัธยมต้น เป็นเพลงที่แสนไพเราะเกี่ยวกับ ความรัก ที่ไม่สมหวัง ไม่อาจรั้งใจคนที่จะไปไว้กับตัวเองได้...ตัวนักร้องถ่ายทอดอารมณ์สุดเศร้าได้อย่างเห็นภาพชัดเจน ถึงจะเป็นเพลงเก่ายุค90 แต่เมื่อได้ฟังเพลงนี้ทีไร หยดน้ำตาของเธอก็รินไหลออกมาทุกที เป็นความทรงจำแสนเลวร้ายที่หญิงสาวพยายามลบออกไปจากความทรงจำ แต่ไม่เคยทำได้สำเร็จ ยิ่งวันนี้... วันที่โลกถล่มลงตรงหน้าเพราะผู้ชายคนเดียวที่เธอปักใจรัก!! กำลังหน้าชื่นมีความสุขกับผู้หญิงที่เขาเลือกอยู่ต่อหน้าต่อตา สายตาของเขามองผู้หญิงข้างตัวด้วยความรักและเทิดทูน สายตาคู่นั้นไม่เคยมีเงาของเธอสักนิด ความรักระหว่างเธอกับเขา ถูกซ่อนเร้นไว้ด้วยกาลเวลา และมันจะถูกลบเลือนด้วยหัตถาของพระพรหม เมื่อท่านไม่ได้ขีดเส้นทางรักนั่นไว้ ให้เธอตั้งแต่แรก...
งานวิวาห์แสนเลิศหรูของลูกหลานคนร่ำรวย เป็นความบังเอิญที่แสนโหดร้าย!! สำหรับผู้หญิงที่ถูกทิ้งแบบไร้สาเหตุ เพียงเพราะเธอไม่มีค่ามากพอให้เขาเชิดชู เขาเห็นเธอเป็นแค่ขนมหวานใกล้มือ บุษบันหลานสาวแม่บ้าน หรือจะสู้ภารตีบุตรสาวเจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดังในเมืองกรุงได้ ดังนั้น...นักรบ ไชยยะนัน จึงตัดสินใจทิ้งขนมหวานที่เขาคิดแค่อยากชิมเล่นเป็นทางผ่านหนึ่งในชีวิต... แต่บุษบันดันเล่นตัว ชายหนุ่มสุดฮอตอย่างเขาจึงขอเก็บหล่อนไว้เงียบๆ จนกระทั่งตกลงปลงใจคบหาดูใจกับว่าที่ภรรยาในอนาคต เขาจึงบอกหล่อนตรงๆ และจบความสัมพันธ์ที่คลุมเครือนั่นลงแบบไร้เยื่อใย
นรสิงห์ กษิดิศชญาธร เขม่นมองผู้หญิงหน้าคุ้นๆ หล่อนยืนหลบอยู่ข้างซุ้มดอกไม้ ใบหน้าหมองๆ นั่น เหมือนกำลังเศร้าใจอะไรหนักหนา เขาคุ้นหน้าหล่อน จนไม่อาจถอนสายตากลับได้ หากยังไม่ได้ความกระจ่าง...
“มองอะไรคะน้าสิงห์?” ภารตี กษิดิศชญาธร หลานสาวที่ห่างกันไม่กี่ปี เนื่องจากมารดาของเธอ หรือพี่สาวของเขา มีบุตรตั้งแต่แรกสาวกับสามีคนแรก...ร้องทัก และหล่อนคือเจ้าสาวแสนโชคดีในค่ำคืนนี้...
“เปล่า!!” เจ้าของร่างสูง185 เซนติเมตรหมุนตัวกลับมาตอบ สีหน้าเขาขรึมเฉย จนภารตีเดาไม่ออก
“ตีกว่างั้นแหละ ไม่มีอะไรน่าดูเลย ต้องรอให้ค่ำก่อนเถอะค่ะ เพื่อนๆ ตีคงจะทยอยมากัน เวลานั้นน้าสิงห์จะมองเพลินจนตาแฉะ”
หญิงสาวที่มีความสุขที่สุดในเวลานี้ โลกทั้งใบของหล่อนกำลังเป็นสีชมพู ไม่มีความทุกข์ได้มาแผ้วผ่าน อีกไม่กี่ชั่วโมงที่จะถึงข้างหน้านี้ คนรักของเธอ... จะกลายเป็นกรรมสิทธิ์ของเธอแต่เพียงผู้เดียว!! ผู้หญิงคนไหนก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้องเขา
“เอะ!!” เสียงหลานสาวอุทาน นรสิงห์จึงหมุนตัวกลับมามองซ้ำ
“มีอะไรหรือเปล่ายัยตี” ดวงตากลมโตเบิกกว้าง เมื่อมองไปยังจุดๆ เดียวกับที่นรสิงห์จับตามองอยู่เมื่อสักครู่
“น้าสิงห์ อีนังนั่นมันมาโผล่ที่นี่ได้ยังไงคะ?” เสียงของภารตีแหลมปรี๊ด!! เหมือนกำลังโกรธแค้นใครสักคน
“ใคร?” คุณน้าวัยหนุ่มที่อายุเพิ่งจะแตะเลข3 ปีแรกร้องถาม พร้อมกับทำท่าฉงน
“อีบุษไงคะ อีเด็กรับใช้บ้านไชยยะนัน”
น้ำเสียงกดต่ำที่ภารตีมักจะใช้เสมอหากมีใครบางคนขัดใจหล่อน
‘เด็กรับใช้’ นรสิงห์ตามไม่ทัน เขากำลังทบทวนสิ่งที่หลานสาวเคยปรึกษา ก่อนจะครางในคอ ที่เขารู้สึกคุ้นๆ กับผู้หญิงคนนั้น เพราะเขาเคยเห็นเธอมาก่อนนี่เอง...คู่รักที่นักรบเคยซุกไว้ ผู้หญิงในบ้านที่เขาปิดบังภารตีมาตลอด
บทที่1.วิวาห์พาฝัน
รีสอร์ตรินลดา...ภูเก็ต
ซุ้มดอกไม้สีอ่อนถูกจัดเตรียมไว้ที่ชายหาด ด้านหน้ารีสอร์ตรินลดา เป็นความต้องการของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ บุษบันจึงถูกเกณฑ์มาเป็นลูกมือ ช่วยช่างฝีมืออีกแรงหนึ่ง เธอเอียงคอมองซุ้มดอกไม้ที่จัดสำเร็จ ด้วยดวงตาพริบพราว นี่เป็นความฝันอย่างหนึ่งของผู้หญิงอย่างเธอเช่นกัน ได้เดินรอดใต้ซุ้มดอกไม้แสนสวยกับคนรู้ใจ มีเพื่อนฝูงมาร่วมแสดงความยินดีในงานวิวาห์
“เจ้าสาวโชคดีมากเลยนะคะ ดูสิ!! สิ่งเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้เจ้าบ่าวยังใส่ใจแล้วก็เนรมิตให้” บุษบันชวนคุย หลังจากซุ้มเสร็จลงทันเวลา
คนจัดซุ้ม หันมามองพร้อมกับยิ้ม “เปล่าค่ะ นี่เจ้าสาวขอมาเอง...” หล่อนตอบ บุษบันจึงยิ้มเก้อ
“เจ้าบ่าวน่ะ...แค่แต่งหล่อก็พอมั้งคะ ดูเหมือนว่าคนที่ต้องการแต่งจะเป็นฝ่ายหญิงมากกว่า” เหมือนติดพันคนงานจัดซุ้มจึงยังเปรยต่อ บุษบันจึงได้แต่รับฟัง เวลานี้เธอยังไม่แข็งแรงพอ...เมื่อหัวใจของเธอกำลังกลัดหนอง ดังนั้นงานวิวาห์นี่จึงทำให้หญิงสาวยอกแสยงใจไม่น้อย
“ค่ะ” เธอรับคำแกนๆ ก้มลงเก็บเศษใบไม้บนพื้น พยายามไม่คิดถึงอดีตที่ทำให้เธอต้องระเห็จมาอยู่ที่นี่
“อย่างว่าแหละค่ะ คนรวยเขาก็ต้องคนรวยด้วยกัน คู่นี้เป็นคู่ที่เหมาะกันมากหากมองแค่เปลือก แต่ถ้าเจาะลึกตามข่าวเม้าท์ งานนี้ฝ่ายเจ้าสาวเสียเปรียบทุกประตูค่ะ ข้างว่าที่สามี มีแค่เปลือกหุ้ม” ไหนๆ ก็ได้เม้าท์ หล่อนเลยขยายต่ออย่างเมามัน
บุษบันฉุกใจ เรื่องราวที่กำลังถูกพาดพิงถึง มันคุ้นๆ หูพิกล เธอกลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ เธอภาวนาขออย่าให้เป็นอย่างที่นึกระแวง!!
แต่ดูเหมือนทุกอย่างรอบตัวจะไม่เป็นใจเท่าไหร่...เงาปีศาจนั่นตามมาหลอกหลอนเธอจนได้
“เขาเม้าท์กันให้แซ่ดว่า...บ้านไชยยะนันน่ะ เหลือแค่เปลือกเท่านั้นแหละค่ะ”
ลมหายใจของบุษบันสะดุดกึก เธอเงยหน้าขึ้นมองคนพูดตาโตๆ
“คู่แต่งงานวันนี้ คือคุณนักรบกับคุณภารตีหรือคะ?”
เสียงแหบแห้งเอ่ยถามทันทีหลังคนเล่าพูดจบ คนเล่ายิ้มแฉ่ง รีบพยักหน้าเร็วๆ ตอบ “ค่ะ นักรบ ไชยยะนัน หนุ่มไฮโซดีกรีว่าที่ดอกเตอร์ แต่...เขาเม้าท์กันนะคะ ครอบครัวนั้นกำลังล้ม เลยต้องรีบหาคนไปช่วยพยุง ก่อนที่ฟองสบู่จะแตก ความลับจะรั่ว”
ขาเม้าท์ๆ กระจาย หล่อนพูดอย่างออกรส เหมือนนั่งอยู่ใต้เตียงคนบ้านนั้น จนรู้ความลับในครอบครัวนั้นแบบละเอียดยิบ
บุษบันไม่รู้หรอกว่า ฐานการเงินของไชยยะนันเป็นอย่างไร ที่เธอ ‘รัก’ นักรบ และบูชาเขานั้น มันเกิดมาตั้งแต่แรกเป็นสาว เป็นการบูชาผู้ชายแสนดีโปรไฟล์หรูอลังการ แต่ก็ไม่เคยคิดจะเสนอหน้าให้เขารับรู้ เทพบุตรที่เธอฝันถึงต่างหากเล่า ที่โน้มกิ่งลงมาเกี้ยวพาราสีเธอเอง ก่อนเขาจะชิ่งหนีไป... เมื่อเขาพบคนที่ดีและเหมาะสมกับเขาที่สุด ทอดทิ้งคนจงรักภักดีไว้ด้านหลัง
“คนตระกูลนั้นน่ะ ใช้เงินมือเติบใครๆ ก็รู้...ตั้งแต่รุ่นพ่อ แม่ แล้วคนเป็นลูกจะจมลงได้ยังไง”
ข้อนี้เธอเห็นด้วย นักรบทำตัวฟุ้งเฟ้อ เขามักจะบ่นให้เธอฟังบ่อยๆ หากเจอใครก็ตามที่มาเหนือชั้นกว่า ชายหนุ่มจะไปขวนขวายหาสิ่งๆ นั่นมา และก็ย่อมเหนือกว่าคู่แข่งเช่นกัน เธอได้แต่มองห่างๆ เมื่อมันเป็นการใช้จ่ายแบบไร้สาระ ข้าวของเหล่านั้นจะถูกทิ้ง หลังหมดความสำคัญ
“ไม่ต้องเดาเลย ก้นหม้อข้าวไม่ทันดำแน่...อีกไม่นานก็คงต้องแยกย้าย...” หล่อนทำตัวเป็นหมอดู เดาอนาคตคู่แต่งงานนั่นเสียอีก
หญิงสาวผ่อนลมหายใจ ‘เขา’ จะเป็นอย่างไรก็ช่างเถอะ เมื่อเวลานี้บุษบันพยายามตัดผู้ชายคนนั้นออกไปจากใจ เมื่อเขาเผยธาตุแท้ให้เธอเห็นในวันที่บอกเลิกกับเธอ