ตกเย็นเวลาราว 18.05 น. หยดเทียนกลับมานั่งหงอยที่ร้านอาหารตามสั่งร้านประจำ คิดไม่ตกว่าจะเอาอย่างไรต่อกับชีวิต เศรษฐกิจในประเทศเป็นเช่นนี้คงหางานใหม่ทำไม่ได้ง่ายๆ นั่งคิดย้อนไปแล้วก็พลางนึกเสียดาย หากระงับอารมณ์ให้ดีมากกว่านี้ตนคงไม่ต้องเลื่อนขั้นลงมาเป็นคนตกงานเช่นที่เป็นอยู่ ทว่าเมื่อกลับไปคิดทบทวนอีกรอบกลับคิดว่าตนนั้นทำดีที่สุดแล้วที่สามารถพาตัวเองออกมาจากอำนาจของผู้จัดการอีโก้สูงทะลุฟ้าอย่างตาเฒ่าคนนั้นได้
เบต้าหนุ่มนั่งหน้าหม่นอยู่นานจนกระทั่งพี่สร้อยเจ้าของร้านอาหารตามสั่งทักขึ้นจึงหลุดภวังค์
“เป็นอะไรวะเทียน นั่งหน้าหงอยเป็นหมาไม่พูดไม่จาตั้งแต่มาถึงแล้ว”
หยดเทียนถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้มก่อนจะเงยหน้าหรี่ตามองหญิงสาว “ฉันตกงานน่ะสิพี่ ไม่รู้จะไปหางานใหม่ทำที่ไหน”
สร้อยคว้าตะหลิวผัดวัตถุดิบในกระทะพร้อมกับชักสีหน้าเคลือบแคลงอย่างชัดเจน
“ไปทำอะไรให้เขาไล่ออกวะ แกทั้งขยันทั้งอดทนเก่งจะตายไม่ใช่หรือ?”
“มันก็ใช่แหละพี่ แต่วันนี้มันอดทนไม่ได้น่ะสิ”
“เขาด่าแกอีกล่ะสิ”
“ไอ้ด่าน่ะผมก็พอทนได้นะพี่ แต่วันนี้มันดันเอานิ้วมาจิ้มหน้าผากฉันเนี่ยสิ หน้าฉันหงายคอแทบหักแหนะ”
“ฉันเลยต่อยมันไปทีหนึ่งแล้วก็ด่ามันอีกนิดหน่อย” มือเรียวลูบหน้าผากตัวเองอย่างจำความรู้สึกตอนนั้นได้
พี่สร้อยเสิร์ฟอาหารให้ลูกค้าพร้อมกับหัวเราะเยาะ คิดไม่ถึงว่าพนักงานต๊อกต๋อยอย่างมันจะกล้าต่อยตีคนใหญ่คนโตซ้ำยังต่อว่าเขาอีก อย่างกับไม่กลัวว่าจะโดนเขาฟ้องกลับ หากวันดีคืนดีโดนอดีตเจ้านายฟ้องขึ้นมาจริงๆแล้วละก็ ไอ้เด็กนี่คงได้ขายไตไปขึ้นศาลเป็นแน่
“เอากะเพราเนื้อพิเศษจานหนึ่งพี่!” ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาสั่งอาหารอย่างสนิทสนมกับแม่ค้าก่อนจะหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ที่วางอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะที่หยดเทียนนั่งอยู่
ดิน ชายหนุ่มอัลฟ่าวัย 24 ปีมีสถานะเป็นเพื่อนที่ค่อนข้างสนิทของหยดเทียนเดินเข้าในร้านพอดีจึงพอได้ยินสาเหตุการตกงานของเพื่อนอย่างคร่าวๆ แต่ก็สามารถจับใจความได้ว่าเรื่องดังกล่าวมีความรุนแรงปะปนอยู่ด้วย
มือแกร่งประดับเส้นเลือดถือวิสาสะเอื้อมหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะกระดกดื่มอย่างกระหายก่อนจะกล่าวขึ้น “มึงไปต่อยใครมานะเมื่อกี้กูได้ยินไม่ชัด”
“ต่อยคนกวนตีน”
“ใครอะ? เพื่อนร่วมงานมึงหรอหรือว่าพวกกุ๊ยข้างศาลา”
“มึงนี่แหละ! หิวก็ไม่ไปตักเองเสือกกินน้ำคนอื่น แดกของกูจนหมดแก้วแล้วล่ะมั้งน่ะ”
“ก็คอมันแห้งนี่หว่า มึงก็ทำเป็นบ่นเดี๋ยวกูตักให้ใหม่ก็ได้เพื่อนรัก” ดินว่าท่าทางประชดก่อนจะหยิบแก้วน้ำของเพื่อนเดินไปใส่น้ำแข็งพร้อมกับเติมน้ำให้ แล้วจึงเดินกลับมานั่งที่แล้ววางแก้วน้ำที่ถือมาสองแก้วลงบนโต๊ะ
“สรุปมึงไปต่อยใคร”
“ต่อยหัวหน้าน่ะสิกวนบาทากูดีนัก”
“นี่...” เสียงทุ้มเอ่ยก่อนจะหยุดเคี้ยวก้อนน้ำแข็งก้อนกรุบที่ค้างอยู่ในปากให้ละเอียดแล้วกลืนลงคอ เขากอดอกผายพร้อมกับทำสีหน้าจริงจังชวนให้หยดเทียนรอฟังอย่างไม่กล้าเจียดหูไปฟังอย่างอื่น
“เผื่อมึงจะไม่รู้นะ ความรุนแรงไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดแต่มันแก้ได้ไวที่สุด เชื่อกู...คตินี้กูใช้ประจำ”
เสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายดังขึ้นเสียงดังทันทีที่ฟังคำแนะนำจากเพื่อนเสร็จ อุตส่าห์นั่งตั้งใจฟังนึกว่ามันจะช่วยหาทางออกที่พอฟังเข้าท่า แต่สุดท้ายทางออกที่ว่าก็หนีไม่พ้นเรื่องต่อยตีอยู่วันยันค่ำ
“จะไปแบบนั้นได้ไงวะ กูก็ไม่มีงานทำไปตลอดชาติพอดีสิ”
“แล้วที่มึงทำวันนี้ล่ะ”
“อันนี้กรณีพิเศษ”
“โธ่! แล้วทำเป็นพูดซะดี”
“กูคิดออกล่ะ” ดินเดาะลิ้นเสียงดังเมื่อจู่ๆ สมองก็ดันคิดทางออกได้อีกครั้ง ว่างานที่เหมาะสมกับบุคลิกของเพื่อนและได้เงินดีเป็นเทน้ำเทท่านั่นคืองานอะไร ว่าแล้วเขาจึงรีบเสนอเพื่อนทันที
“เอางี้ป้ะ งั้นมึงก็มาทำงานแทนกูสิได้เงินดีนะเว้ย”
“ไม่เอาอะ เสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางฉิบหาย ว่าแต่มึงเถอะเมื่อไหร่จะออกมาสักที กูฟังมึงบ่นจะออกมาตั้งนานล่ะ”
“ยังไม่รู้วะ กูก็พยายามหาโอกาสอยู่ แต่มึงก็รู้ว่างานแบบนี้มันออกยากจะตายห่า ดูท่าแล้วพวกพี่เขาก็ไม่อยากให้กูออกเท่าไหร่” ดินกล่าวพร้อมถอนหายใจ
“เออ เอาเป็นว่ามึงก็รีบออกมาก่อนได้กินข้าวแดงในคุกก็แล้วกัน” หยดเทียนกล่าวพร้อมตบไหล่ให้กำลังใจเพื่อนเบาๆ กลับกลายเป็นว่าผู้ที่เพิ่งตกงานมาหมาดๆอย่างเขา กลับต้องนั่งปลอบใจเพื่อนที่เป็นทุกข์เพราะลาออกจากงานไม่ได้เสียอย่างนั้น
คุยเล่นกันได้สักพัก อาหารตามสั่งของหยดเทียนก็มาเสิร์ฟตามมาด้วยจานของดินตามลำดับ เมื่อทานอาหารเสร็จสรรพก็จัดการจ่ายค่าอาหารแล้วต่างคนต่างร่ำลาแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน
ร่างสันทัดเดินเท้ากลับห้องพักเนื่องด้วยร้านอาหารของพี่สร้อยอยู่ไม่ไกลจากห้องเช่าของตนมากเท่าไหร่นัก แต่ก่อนกลับหยดเทียนก็ไม่ลืมที่จะแวะเข้าร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้ออาหารสำเร็จรูปและของแห้งกลับไปตุนไว้ เพราะดูเหมือนว่านับจากเดือนนี้ไปหากยังไม่สามารถหางานใหม่ทำได้ เขาก็คงต้องกินมาม่าและปลากระป๋องไปอีกสักพักจนกว่าจะได้งาน
มือเรียวเล็กควักเงินก้นกระเป๋าจ่ายอย่างมือสั่น เพราะนี่คือเงินหนึ่งพันสุดท้ายที่มีติดตัวอยู่ตอนนี้ แล้วก็เดินคอตกออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแหยปลอบใจตัวเอง
หลังจากที่เดินออกมาได้ไม่ไกลมากนัก ในระยะสายตาหยดเทียนก็พลางสังเกตเห็นหญิงวัยกลางคนนางหนึ่งยืนหอบข้าวหอบของรอใครสักคนอยู่ออกไปไม่ไกลจากตนนัก เขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาในหัวว่าน่าจะเป็นคนรู้จักที่เคยพักอยู่ห้องข้างๆ กันเมื่อหลายเดือนก่อนแต่่ก็ไม่มั่นใจมากนักว่าเป็นคนคนเดียวกันหรือเปล่า ด้วยความสงสัยใคร่อยากรู้จึงเดินเข้าไปทักหญิงคนนั้นมันเสียตรงๆเลย
“ป้าน้อยหรือเปล่าครับ?”
หญิงวัยกลางคนอายุราว 47 ปีหันขวับมาหาต้นตอเสียง ริมฝีปากเหี่ยวแห้งคลี่ยิ้มทันทีเมื่อพบว่าคนที่เรียกตนคือเด็กหนุ่มที่มักพูดคุยกันประจำเมื่อตอนที่ยังพักอาศัยอยู่ในห้องเช่าเมื่อ 9 เดือนก่อน
“ตายแล้ว! ไม่เจอเอ็งตั้งนานสบายดีไหมไอ้หนู” ป้าน้อยถามคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยใบหน้าตื่นเต้นเพราะไม่ได้เจอกันตั้งนาน
“ก็ไม่ค่อยสบายดีหรอกครับป้า ว่าแต่ป้าเถอะจะไปไหนครับเนี่ยถือของหลายอย่างเชียว ให้ผมช่วยถือไหมครับ” ว่าแล้วเขาก็ปรี่เข้าไปแย่งสิ่งของในมือป้าน้อยทันทีโดยไม่รีรอให้เธออนุญาตก่อน
“ป้าซื้อของกลับไปทำอาหารให้คุณท่านเขาน่ะ อีกหน่อยผัวป้าก็มารับแล้ว” หญิงวัยใกล้ชราใช้มือพัดไล่ความร้อนเบาๆ ก่อนจะนึกอะไรได้ขึ้นมาได้
“เออ แล้วนี่เอ็งเรียนจบหรือยัง ป้าว่าถ้าเอ็งว่างจะชวนมาทำงานด้วยกัน”
“เรียนจบอะไรกันละป้า ฉันลาออกมาทำงานได้จะสามปีแล้ว ว่าแต่งานที่ป้าว่าน่ะ...งานอะไรหรือครับ” ดวงตาของคนที่เพิ่งตกงานมาเปล่งประกายทันทีเมื่อหญิงตรงหน้าเอ่ยชวนตนไปทำงาน ทำให้หัวใจดวงน้อยๆ พองโตอย่างมีความหวัง เขากระเถิบร่างไปหาป้าน้อยพลางทำสายตาออดอ้อน
“ก็ดูแลสวนปกติเนี่ยแหละแต่สวนที่บ้านคุณท่านมันใหญ่อยู่พอสมควรเลยนะ ไม่รู้เอ็งจะทำคนเดียวไหวหรือเปล่า”
“แต่ได้เงินดีอันนี้ป้ารับประกัน” เพียงแค่เสียงแหบกระซิบประโยคสั้นๆ ก็สามารถทำให้หยดเทียนโตลุกวาวขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย ทำเอาเจ้าตัวอยากไปทำงานเสียวันพรุ่งนี้เลย
“ไหวครับป้า! ผมไหวแน่นอนครับ!”
“อ้ะ งั้นก็เอานี่ไป เบอร์โทรของพ่อบ้าน ไว้วันพรุ่งนี้เอ็งค่อยโทรไปถามรายละเอียดกับคุณเขาซะ”
มือเรียวเล็กเอื้อมหยิบกระดาษจากมือเหี่ยวย่น ก่อนจะคลี่ออกปรากฏเห็นเป็นเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของคนที่ป้าน้อยเรียกว่าพ่อบ้าน เขาพลางกวาดสายตาอ่านดูอย่างพอคร่าวๆ แล้วจึงเก็บเข้ากระเป๋ากางเกง
“ว่าแต่พ่อบ้านนี่ผัวป้าหรอ?”
ป้าน้อยได้ยินเด็กหนุ่มว่าดังนั้นก็ตีแขนไปหนึ่งทีเบาๆ ทำให้หยดเทียนต้องแอ่นตัวหลบฝ่ามือของหญิงวัยใกล้ชราพลางชักสีหน้างง
“ผัวเผออะไรล่ะ พ่อบ้านเป็นหัวหน้าคนใช้ในบ้านต่างหากไม่ใช่ผัวป้าสักหน่อย”
“แฮะๆ ก็ผมไม่รู้นี่ครับ”
“ปี๊ก ปี๊ก” เสียงแตรรถเครื่องพ่วงข้างดังขึ้นก่อนที่รถซาเล้งจะขับเข้ามาจอดแอบข้างถนน ซึ่งเจ้าของรถเครื่องคือลุงศักดิ์สามีของป้าน้อย หยดเทียนไม่รอช้ารีบส่งของที่อยู่ในมือคืนก่อนที่เธอจะเอ่ยขอบคุณแล้วลุงศักดิ์ก็สาร์ตเครื่องขับออกไปอย่างชำนาญ
เมื่อเห็นว่ารถซาเล้งลับสายตาไปไกลแล้วก็ถึงเวลาที่หยดเทียนต้องกลับที่พักของตนเองบ้าง ด้วยความที่วันนี้เขาใช้พลังกายและพลังใจไปมากเป็นพิเศษจึงรู้สึกอ่อนล้ามากกว่าปกติ เปลือกตาที่กะพริบมาทั้งวันก็ช่างอ่อนล้าจนอยากจะปิดลงแล้วเอนกายนอนมันเสียตรงนี้
แต่ทว่าปัญหาที่ต้องประสบพบเจอก็ยังมีเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อนราวกับโปรดปรานคนชื่อหยดเทียนเป็นพิเศษ
เพราะในขณะที่หยดเทียนเดินมาถึงหน้าทางเข้าของห้องเช่า ก็โชคร้ายโดนกลุ่มอันธพาลกลุ่มประจำที่มักจะนั่งรวมตัวกันอยู่ที่ศาลาหน้าทางเข้าหารื่องอีกเช่นเคย แม้จะไม่ถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือกันแต่หากโดนหาเรื่องอยู่ทุกวันมันก็ย่อมสร้างความรำคาญให้แก่หยดเทียนไม่น้อย
“ยืมเงินซื้อเหล้าหน่อยดิวะ!” โจ๊ก หนึ่งในกลุ่มอันธพาลทั้งหกร้องทักขึ้นเมื่อเห็นว่าชายเบต้าอดีตเพื่อนรักร่วมแก๊งเมื่อครั้งยังเป็นวัยแตกหน่อกำลังเดินกลับเข้าห้อง
หยดเทียนไม่ได้โต้ตอบกลับเพราะเหนื่อยเกินกว่าจะมาต่อปากต่อคำกับพวกเกเร จึงทำหูทวนลมแล้วเดินต่อไปเงียบๆ
“อย่าทำเป็นเหมือนไม่รู้จักกันสิวะเพื่อน เมื่อก่อนยังนั่งก๊งเหล้าด้วยกันอยู่เลย!”
ยังคงไร้เสียงโต้ตอบเช่นเดิม
“งั้นก็ขอยืมห้องสักชั่วโมงสองชั่วโมงหน่อยสิวะ พอดีลูกพี่เขาจะพาเด็กไปติวหนังสือก่อนสอบหว่ะ!”
“แต่ถ้าน้องมึงอยากติวด้วยก็มาร่วมวงได้นะเว้ย! พวกกูสอนฟรีไม่คิดตังค์!!” ไอ้เม่นกล่าวเสริมทำให้ลูกสมุนในกลุ่มต่างหัวเราะชอบใจกันยกใหญ่
“อ้าวไอ้พวกจัญไรนี่” หยดเทียนหลุดปากออกมาทันทีที่มีคนเอาน้องชายตนไปว่าในทางเสียๆ หายๆ อุตส่าห์กดอารมณ์ทำเป็นไม่สนใจเพราะเหนื่อยเกินกว่าจะตอบโต้ หากแต่ตอนนี้พวกนั้นเริ่มล้ำเส้นถึงขั้นเอ่ยถึงน้องชายผู้เป็นที่รักมีหรือที่พี่ชายคนนี้จะยอม
เสียงหายใจเข้าเฮือกใหญ่ของร่างที่ยืนอยู่ดังขึ้นก่อนจะปลดปล่อยอารมณ์ออกมา “กูว่าพวกมึงไปหางานทำเถอะหว่ะ! ดีกว่ามานั่งรอขอเศษเงินกูไปวันๆ”
“หึ! มีปัญญาเ****นแต่ไม่มีปัญญาหาเงินไปเปิดห้อง งั้นก็ให้ลูกพี่มึงนอนเอากันข้างทางนั่นแหละ ถ้ายังมียางอายอยู่บ้างก็ให้ลูกน้องสมองนิ่มอย่างพวกมึงยืนล้อมหน้าล้อมหลังไว้สิเผื่อจะปิดมิด” พูดจบหยดเทียนก็สับขาเดินเข้าห้องอย่างหัวเสียทันที
“โห่ ยังปากหมาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน” ไม้ หัวหน้ากลุ่มอันธพาลกล่าวขึ้นพร้อมกับยกยิ้มมุมปาก
เสียงถอนหายใจพร้อมร่างอันแสนเหนื่อยล้านั่งลงบนเตียงนิ่ม ก่อนจะล้วงกระเป๋ากางเกงควานหาแผ่นกระดาษที่ได้มาจากป้าน้อยเมื่อตอนก่อนค่ำ เขาหยิบมันออกมาก่อนจะเอนตัวลงบนเตียงพลางชูกระดาษขึ้นสูงเหนือศีรษะแล้วคลี่ยิ้มอย่างมีความหวัง
ชีวิตของเขานับจากนี้ขึ้นอยู่กับปลายสายของเบอร์โทรในแผ่นกระดาษแผ่นนี้ หากโชคชะตาเข้าข้างบ้างและประทานของขวัญให้เขาได้รับงานนี้คงจะเป็นบุญแก่ชีวิตคนหาเช้ากินค่ำอยู่ไม่น้อย
ไม่นานนักหลังจากที่ปล่อยกายปล่อยใจลงบนเตียง เปลือกตาที่ตกแต่งด้วยขนยาวงอนก็เริ่มเคลื่อนไหวช้าลงเรื่อยๆ ความคิดเริ่มมัวหมองและทื่อถื่อลง จนในที่สุดร่างสันทัดก็ผล็อยหลับไป