บทที่1.3

1686 คำ
น่าเสียดายที่ตอนนั้นเราไม่ได้แลกคอนแท็กกัน ในภายหลังจึงเป็นผมเองที่ตามสืบจนรู้ว่าเธอชื่อน้ำส้ม เรียนคณะนิเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยเดียวกัน อายุก็เท่ากันอีก ทั้งที่คลั่งรักจนอยากพุ่งเข้าใส่ให้รู้แล้วรู้รอด ทว่ากลับต้องมาผิดหวังเมื่อรู้ว่าส้มนั้นมีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว ด้วยเหตุผลนั้น ผมจึงทำได้เพียงเฝ้ามองเธอจากมุมมืดมาตลอดเวลาหลายปี ไม่คิดก้าวก่ายความสัมพันธ์ของคนสองคน กระทั่งหลังเรียนจบเพียงไม่กี่เดือน ผมได้รู้ว่าส้มเลิกรากับแฟนที่คบหากันมานานหลายปีผ่านการประกาศกร้าวหน้าเฟซบุ๊กของเธอเอง แน่นอน ผมไม่มีทางปล่อยให้โอกาสทองนี้หลุดมือ จึงตีเนียนเข้าไปในชีวิตเธออย่างแยบยล ทว่าการพบเจอกันเมื่อหลายปีก่อนของเรา เธอเห็นผมในสภาพที่ใบหน้ามีแต่บาดแผล กอปรกับตอนนั้นผมยังโตไม่เต็มที่ด้วย หรืออาจเป็นเพราะเธอในครั้งนี้เมามายจนเกินไป วินาทีที่ผมปรากฏตัวตรงหน้าถึงจำอะไรไม่ได้เลย มีแต่คำชมเรื่องหน้าตากับสายตาที่พร้อมจะกลืนกิน รู้อีกที...ก็เป็นส้มที่เอ่ยปาก ‘ชักชวน’ อย่างตรงไปตรงมา และจุดจบของคำชวนนั้นก็ลงเอยในคอนโดฯ ของผมเอง จวบจนเช้าวันต่อมา ทันทีที่ลืมตาขึ้นผมไม่พบแม้แต่เงาของส้ม มีเพียงความยับยู่ยี่ของผ้าผู้เตียงกับไออุ่นบางเบาอันเป็นเครื่องยืนยันว่าเธอเคยอยู่ตรงนี้จริง ๆ ทว่าก็ไม่ใช่การจากไปอย่างว่างเปล่าเสียทีเดียว เพราะเมื่อสำรวจรอบกายอย่างละเอียดอีกครั้งผมถึงพบว่าส้มนั้นได้ทิ้งบางอย่างไว้เป็นของต่างหน้า เป็นโน้ตแผ่นเล็ก ๆ กับเงินจำนวนหนึ่ง ผมหยิบขึ้นมาอ่าน บนกระดาษมีใจความว่า ‘ขอโทษนะคะสุดหล่อ เมื่อคืนพูดผิด จริง ๆ แล้วไม่ใช่หนึ่งหมื่นหรอก เลขศูนย์เกินมาตัวหนึ่ง >_ คิ้วผมกระตุก เมื่อชะโงกหน้ามองเงินที่วางอยู่ตรงนั้น ก็ได้คำตอบทันทีว่าค่าตัวหนึ่งหมื่นที่เสนอมาเมื่อคืน มันถูกลดลงเหลือแค่ ‘หนึ่งพันบาทถ้วน’ เออดี ก่อนเริ่มเสนอราคาหนึ่ง ใช้บริการเสร็จกลับเบี้ยวจ่ายอีกราคา แบบนี้ไม่เรียกว่าขี้โกงแล้วจะให้เรียกว่าอะไร? เมื่อคำตอบประจักษ์ชัดว่าผมได้ค่าตัวมาเพียงหนึ่งพันบาทซึ่งลดฮวบจากสิ่งที่ดีลไว้สิบเท่าก็นึกอยากลากยัยตัวดีกลับมาคุยให้รู้เรื่อง แต่จนแล้วจนเล่า สิ่งที่ผมทำกลับเป็นการยิ้มมุมปาก...ประหนึ่งพึงพอใจในนิสัยแสบซนของเธอเสียอย่างนั้น ความจริงแล้วไม่ว่าส้มจะควักเงินออกมาจ่ายในราคาหนึ่งหมื่น หนึ่งพัน หนึ่งร้อย หนึ่งบาท หรือไม่จ่ายเลยสักบาทเดียวก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะเจตนาที่อยากจะ ‘รุกรานหัวใจเธออย่างบ้าคลั่ง’ ยังคงเป็น ‘เป้าหมายหลัก’ ของการกลับมาปรากฏตัวในครั้งนี้ ดังนั้นปัจจัยภายนอกไม่ได้มีสำคัญมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ไอ้เงินหนึ่งพันบาทนี่ ถ้าเธอให้ผมก็ไม่ปฏิเสธหรอก และผมก็นึกออกแล้วด้วยว่าจะใช้ประโยชน์จากมันยังไงดี ‘คนสวยขาของผม’ น่ะ...เตรียมใจไว้ให้ดีก็แล้วกัน :) End Describe. อกหักไม่ถึงตาย แต่ฉันกำลังจะตายเพราะไม่มีเงินซื้อข้าวกินจ้า! หากถามว่าทำไม... ก่อนอื่นเลย ฐานะทางบ้านของฉันอยู่ในระดับปานกลาง ไม่ได้ยากจนขัดสนหรือร่ำรวยอู้ฟู่ แต่ก็ใช่จะสุขสบายไม่ต้องดิ้นรน ฉันออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองตั้งแต่จบมอ.ปลาย แม้ยังได้เงินจากพ่อในทุก ๆ เดือน รวมถึงเงินฝากในบัญชีที่คุณยายเก็บหอมรอมริบไว้เป็นจำนวนเกือบหนึ่งล้าน แต่เพราะมีภาระที่ต้องแบกรับมากมาย ทั้งค่าเทอม ค่าคอนโดฯ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าอาหาร ค่าน้ำมันรถ ค่ายา ค่าฟีลเลอร์ ค่าโบท็อกซ์ (อันนี้จำเป็นมากสำหรับผู้หญิงที่รักความเป๊ะปังอย่างฉัน) ส่งผลให้ต้องดิ้นรนหาเงินด้วยตัวเองทุกวิถีทาง เพราะถือคติว่าจะไม่แตะต้องเงินที่ได้มาจากครอบครัวหากไม่ถึงวาระจำเป็นจริง ๆ ดังนั้นระยะเวลาสี่ปีนับตั้งแต่ปีหนึ่งยันเรียนจบมหาวิทยาลัย ฉันจึงผ่านมาแล้วแทบทุกบทบาท ทั้งพริตตี เอ็มซีออกบูธ เอ็กซ์ตราโฆษณา เด็กเสิร์ฟ งานแจกใบปลิว พนักงานแคชเชียร์ร้านกาแฟ หรือแม้แต่แม่ค้าออนไลน์ขายของจิปาถะ ยังดีที่อดีตแฟนไม่ใช่พวกเอารัดเอาเปรียบ พอมาอาศัยอยู่ในคอนโดฯ เดียวกันจึงมีข้อดีในแง่ของการแบ่งเบาค่าใช้จ่าย เว้นก็แต่ค่าคอนโดฯ ที่ตัวฉันขอรับผิดชอบเพียงคนเดียว ในส่วนของเหตุผลก็ไม่มีอะไรซับซ้อน ฉันเป็นคนซื้อและหยิบปากกาขึ้นมาเซ็นหลังอ่านสัญญาทุกหน้ากระดาษ แม้จะเป็นการจ่ายสดไปเพียงครึ่งเดียวและยังต้องผ่อนจ่ายอีกหลายงวด แต่ทั้งหมดนั้นก็เป็นเงินที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของฉัน ดังนั้นสิ่งที่ฉันให้ได้จึงมีแค่การชวนแฟนมาอยู่ด้วย ให้เขารับผิดชอบส่วนอื่น ๆ ร่วมกัน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลังหากวันที่ต้องเลิกรากันเดินทางมาถึง กล่าวมายืดยาวขนาดนี้ สิ่งที่อยากบอกจริง ๆ คือฉันไม่ได้ร่ำรวยถึงขนาดจะเอาเงินไปละเลงกับของฟุ่มเฟือยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการซื้อกิน...เหมือนอย่างที่ทำไปเมื่อคืนนี้! ฮือ แค่นึกย้อนกลับไป น้ำส้มก็อยากจะกรีดร้องให้ก้องโลกแล้วแม่ ยอมรับว่าถึงแม้จะเมามาย แต่เมื่อคืนก็ไม่ได้ไร้สติไปซะทีเดียวหรอก ยังพอมีความทรงจำหลงเหลืออยู่บ้างว่าทำอะไรลงไป พูดหรือแสดงออกยังไง แต่ทั้งหมดนั้นค่อนข้างอยู่เหนือการควบคุมไปสักหน่อย รู้อีกทีอีปากไม่รักดีก็เสนอราคากับผู้ชายหล่อแซ่บคนหนึ่งไปจำนวนหนึ่งหมื่นบาท ทั้งที่ความจริง...มีเงินติดตัวแค่ไม่กี่พันเท่านั้น เชื่อเหอะว่าพอเช้าถัดมา ฉันอยากหนีออกมาโดยไม่จ่ายเลยสักแดงเดียว แต่เพราะไม่รู้จักมักจี่กับคู่นอน ไม่รู้เลยว่าเป็นใครมาจากไหน อาจเป็นฆาตกรต่อเนื่อง คนดัง หรือลูกหลานผู้มีอิทธิพล หากจากมาโดยไม่จ่ายก็กลัวว่าจะถูกตามล่าแล้วฆ่าทิ้งในภายหลัง สุดท้ายเลยหักใจ ยอมควักแบงก์พันเหี่ยว ๆ ออกมาหนึ่งใบ วางไว้บนหัวเตียงพร้อมโน้ตแผ่นเล็ก ๆ แผ่นหนึ่ง ก็หวังว่าพ่อหนุ่มกล้ามแน่นคนนั้นจะเข้าใจนะคะ ดูสิ พอสติกลับคืนมาครบถ้วนสมบูรณ์ก็ต้องมานั่งโอดครวญเพราะเหลือเงินติดตัวไม่มากแล้ว กว่าเงินเดือนจะออกก็ตั้งอาทิตย์หน้า ลองคำนวณดูแล้ว...หากตัดค่าปาร์ตี้และเครื่องสำอางออกไปก็พอไหวอยู่หรอก แต่อยากมีเผื่อไว้อีกสักพันเผื่อกรณีฉุกเฉินไง จะโทษใครได้ล่ะถ้าไม่ใช่ตัวเองที่ขาดสติ รู้แบบนี้นั่งดื่มเบียร์ย้อมใจในคอนโดฯ ตั้งแต่แรกก็จบ “ทำไมทำหน้าเหมือนตูดแบบนั้นล่ะน้องส้ม” เสียงแหบห้าวที่ถูกดัดให้เล็กแหลมกระชากฉันออกจากภวังค์แห่งความสิ้นหวัง เมื่อเคลื่อนสายตาไปยังทิศทางของเสียงก็พบว่าเป็นพี่นานา เพื่อนร่วมงานสาวประเภทสองที่ฉันค่อนข้างสนิทสนมนั่นเอง “เครียดนิดหน่อยค่ะพี่” สิ่งที่ฉันให้เธอไปคือรอยยิ้มอันแห้งแล้ง ตอนนี้ยังเป็นเวลางาน แต่เพราะโต๊ะทำงานเราอยู่ติดกันจึงสามารถพูดคุยโต้ตอบกันได้น่ะ อ้อ ใช่ ลืมบอกไปเลย ฉันเข้าทำงานที่บริษัทโฆษณาแห่งหนึ่งในตำแหน่ง Content Creator ซึ่งต่อยอดมาจากตอนฝึกงานก่อนเรียนจบ บอสให้เหตุผลว่าเล็งเห็นถึงความสามารถในตัวฉัน ฉันจึงไม่ต้องยื่นพอร์ตหรือเข้าสัมภาษณ์เหมือนคนอื่น ๆ นับว่าเป็นความโชคดีของฉัน เพราะนอกจากได้ตัดความลำบากในส่วนนั้นทิ้งไป เพื่อนร่วมงานยังค่อนข้างโอเค แม้แต่บอสเองก็แฟร์กับพวกเราทุกคน “เรื่องหนุ่มกล้ามแน่นคนนั้นเหรอคะ?” พี่นานาถามเหมือนอ่านความคิดกันออกทะลุปรุโปร่ง ส่วนฉันชะงักไป “เอาน่าลูกสาว เงินพันเดียวเอง เราบอกเองไม่ใช่เหรอว่าแซ่บทะลุทรวง พี่ว่าคุ้มออกนะคะ เพราะพี่เนี่ยก็เคยซื้อกินค่ะ หล่อแซ่บกล้ามแน่นเหมือนกัน แต่ไอ้จ้อนเล็กเท่าไม้ขีดไฟก็ไม่ไหวนะ” รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนนิสัยไม่ดีเลยที่เอาเรื่องบนเตียงมาเมาท์กับพี่นานา แต่ทำยังไงได้...เพราะถูกคะยั้นคะยอถึงเหตุผลที่เข้างานสาย ฉันเลยหลุดปากและลากยาวไปถึงลีลาบนเตียงของเขาคนนั้น เผลอบรรยายความรู้สึกไปค่อนข้างละเอียดด้วยว่าไม่เคยรู้สึก ‘จุก’ ขนาดนี้มาก่อน ตัวคนฟังคงตีความไปถึง ‘ขนาด’ ของเขานั่นแหละ อยู่ดี ๆ ถึงได้พูดเรื่องขนาดไอ้จ้อนที่เล็กเท่าไม้ขีดไฟแบบนี้ แต่ยังไงก็เถอะ... จนถึงตอนนี้...ชักไม่แน่ใจแล้วว่าเป็นฉันที่คุ้ม หรือคนที่คุ้มคือผู้ชายคนนั้น เพราะนอกได้ตักตวงความสุขจากร่างกายของฉันแล้ว ยังได้ค่าตัวจากมนุษย์เงินเดือนจน ๆ ไปใช้อีก โอ๊ย ไม่รู้แหละ! ฉันยกมือยีผมแล้วสลัดทุกความคิดออกจากหัว ก่อนหันมาโฟกัสกับงานตรงหน้า ตั้งใจหน่อยอีส้ม ทำผลงานให้มันดี ๆ หากบอสพอใจจะได้เพิ่มเงินเดือนให้แกไง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม