บทที่2.1

1175 คำ
สามวันต่อมา “ดูท่าจะไม่หยุดตกง่าย ๆ ให้พี่ไปส่งดีกว่าไหมน้องส้ม” “ไม่เป็นไรค่าพี่ ส้มเกรงใจ” ฉันปฏิเสธความหวังดีที่พี่นานาหยิบยื่นให้อย่างเต็มใจ หลังพบว่าสายฝนซึ่งเทกระหน่ำลงมาตั้งแต่ช่วงบ่าย จนถึงตอนนี้...ซึ่งเป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว ความเปียกชื้นที่โปรยปรายลงมาไม่ขาดสายยังไม่มีทีท่าจะสงบ โดยปกติแล้วฉันมีรถยนต์ส่วนตัวเวลาไปไหนมาไหน ดังนั้นเวลาฝนตกจึงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการเดินทางสักเท่าไหร่ แต่อย่างที่บอก...ฉันเหลือเงินติดตัวไม่มากแล้ว กอปรกับต้องประคับประคองชีวิตด้วยเงินอันน้อยนิดนี่จนกว่าเงินเดือนจะออก จึงไม่มีหนทางไหนดีไปกว่าการระมัดเรื่องจับจ่ายใช้สอย ราคาน้ำมันทุกวันนี้แพงชนิดว่าจะเติมให้เต็มถังทีต้องใช้เงินหลายพัน ผลสุดท้ายเลยต้องจอดไอ้แก่ไว้ที่คอนโดฯ และใช้บริการรถเมล์ไปก่อน เพราะหากเทียบกับขนส่งอื่น ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน สิ่งที่ฉันเลือกนั้นมีราคาสบายกระเป๋าสุดแล้ว ด้วยเหตุนั้น ระหว่างรอลิฟต์เคลื่อนตัวลงชั้นล่าง พี่นานาซึ่งมีรถส่วนตัวและไม่ได้ประสบปัญหาเรื่องเงินทองเช่นเดียวกับฉันจึงเอ่ยอาสา “เกรงใจอะไรคะ คนกันเองเนี่ย” แววตาพี่นานาฉายชัดถึงความกังวล ทำเอาฉันซาบซึ้งสุด ๆ ที่พี่สาวคนสวยเป็นห่วงกันขนาดนี้ แต่ต่อให้ซาบซึ้งยังไง ฉันก็ไม่อาจตอบรับความหวังดีนั้นได้ด้วยเหตุผลที่ว่าทางกลับบ้านของเธอกับเส้นทางไปคอนโดฯ ของฉันห่างกันเป็นโยชน์ แถมยังเป็นถนนคนละเส้นอีกด้วย ครั้นบวกกับการสัญจรช่วงค่ำที่แน่นิ่งเป็นอัมพาต หลังส่งฉันเสร็จเรียบร้อย กว่าเธอจะเดินทางถึงบ้านตัวเองคงกินเวลาไปหลายชั่วโมง พี่นานามีน้องแมวสามตัว น้องหมาอีกสี่ คิดสภาพน้อง ๆ นั่งหงอยอยู่หน้าประตู ไม่มีคนเทอาหารให้ หัวใจคนสวยก็เจ็บแปลบอย่างไม่น่าให้อภัยแล้ว ดังนั้นไม่เอาดีกว่า “แหมพี่นาก็ ทำเหมือนส้มเป็นเด็กไปได้ ก็เข้าใจนะว่าส้มสวยมาก พี่คงกังวลว่าจะมีคนมาจับจ้องทำมิดีมิร้ายใช่มะ แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ” กล่าวพลางใช้มือปัดผมที่ยาวปรกไหล่ไปด้านหลัง ยืดอกเชิดหน้าเล็กน้อย เรียกได้ว่าพกความมั่นหน้ามั่นโหนกมาเต็มเปี่ยม “อีกอย่าง พี่ก็รู้ว่าสมัยเรียนส้มน่ะเป็นมือตบเลื่องชื่อเชียวนะ จะใครก็มาเถอะ แม่ฟาดไม่ยั้งแน่” ความจริงมันไม่ใช่ประเด็นที่จะเอามาคุยโวโอ้อวดเลย แต่เพราะไม่อยากให้พี่นานาเป็นกังวลจนเกินไป ในฐานะที่สนิทสนมกัน ฉันแค่อยากให้เธอได้รับความสบายใจกลับไปมากกว่าจะมานั่งเครียดน่ะ “ก็เพราะพี่เห็นว่าช่วงนี้เราดูเหม่อลอยแปลก ๆ น่ะสิ เลยเป็นห่วงเนี่ย” อือ ไอ้เรื่องเหม่อน่ะไม่ปฏิเสธเลย เพราะนับตั้งแต่เลิกกับแฟน จวบจนเมามายแล้วเอาเงินไปทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ ความเครียดที่ประเดประดังเข้ามาพร้อมกันมักฉุดให้ตัวฉันจมอยู่ในภวังค์บ่อย ๆ กว่าจะหลุดออกมาได้ก็ต้องให้พี่นานาช่วยสะกิด เธอคงกลัวว่าหากฉันไปยืนเหม่ออยู่เพียงลำพัง อาจจะคลาดสายตากับรถเมล์ ดีไม่ดีอาจถูกล้วงกระเป๋าโดยไม่รู้ตัวก็ได้ สัปดาห์ก่อนเพิ่งมีข่าวการก่ออาชญากรรมแถว ๆ นี้ด้วยนี่นา “ส้มคงไม่กล้ายืนเหม่อตอนอยู่ข้างนอกหรอกค่ะพี่สาว วางใจได้เลย” ฉันกดความรู้สึกบางอย่างไว้แล้วระบายยิ้ม “แน่ใจนะ?” “แน่ใจล้านเปอร์เซ็นต์จ้า” เมื่อได้รับการยืนยืนอย่างหนักแน่นจากฉันเป็นครั้งที่สอง พี่นานาจึงพรูลมหายใจอย่างเสียไม่ได้ แน่ล่ะ เธอรู้ว่าฉันคนนี้ขึ้นชื่อเรื่องความดื้อด้านและเด็ดขาด รบเร้าต่ออีกสักชั่วโมง ผลก็คงไม่ต่างจากเดิมหรอก “โอเคค่ะ ยังไงก็ระวัง ๆ แล้วกัน ถึงคอนโดฯ แล้วกรุ๊งกริ๊งมาหาพี่ด้วยนะ” “ค่าแม่” ยิ้มหวานสำทับคำยืนกราน เป็นเวลาเดียวกันที่ประตูลิฟต์เปิดออก พี่นานาโบกมือร่ำลาแล้วตรงไปยังประตูทางออกที่สองซึ่งเชื่อมกับลานจอดรถของบริษัท ส่วนฉันตรงไปยังทางออกแรกซึ่งหากมองทะลุประตูกระจกจะพบกับสะพานลอยที่คลอบทับถนนสองเลน อีกฟากนั้นเป็นป้ายรถเมล์ที่ฉันต้องเดินข้ามสะพานลอยไป จริง ๆ ก็อยากรอให้สายฝนเบาบางลงสักหน่อยนะ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องรออีกนานเท่าไหร่ไอ้ฝนบ้า ๆ นี่ถึงจะซา ปกติฉันยัดร่มไว้ในรถตัวส่วนตัวเสมอ เตรียมพร้อมสำหรับความแปรปรวนของสภาพอากาศที่บางครั้งฝนก็ตก บางคราวก็หนาวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนมันทำให้สมดุลทางธรรมชาติผันผวนแบบนี้แหละ คิดมาถึงตรงนี้แล้วก็อยากยกกำปั้นเขกกบาลตัวเองสักสองทีที่สะเพร่าไม่ยอมหยิบของสำคัญแบบนั้นติดตัวมา จะยืมคนอื่นก็คงไม่ทันเพราะกลับกันเกือบหมดแล้ว อยากเข้าเซเว่นไปซื้อมาใช้แก้ขัดก็ไม่ได้อีก เพราะร้านสะดวกซื้อที่ใกล้ที่สุดห่างจากที่นี่เจ็ดร้อยเมตร กว่าจะไปถึงที่หมาย...ทั้งเนื้อทั้งตัวคงเปียกซกแล้ว เมื่อไม่มีทางเลือก ฉันจึงใช้กระเป๋าครอสบอดี้ประจำตัวแทนร่ม ยกมันบดบังเม็ดฝนอันเย็นเฉียบ ใช้เวลาประมาณนาทีครึ่งก็ข้ามสะพานมายังอีกฟากสำเร็จ แน่นอนว่าชุดที่สวมอยู่ถูกความเปียกชื้นยึดครองไปแล้วกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ แล้วให้ตายสิ! ไอ้เราก็อุตส่าห์ดีใจที่ป้ายรถเมล์มีหลังคา แต่พอมายืนจริง ๆ กลับต้องหงุดหงิด เพราะหลังคาที่ถูกออกแบบอย่างขอไปทีนี่แทบกันอะไรไม่ได้เลย โชคดีที่ไม่ต้องรอนานมาก เพราะเพียงสองนาทีหลังจากนั้นรถเมล์สายที่ต้องการก็เคลื่อนมาจอดเทียบ ลดความรำคาญเรื่องหลังคาผุพังไปเปราะหนึ่ง ทว่า...มองจากตรงนี้แล้วกลับแอบหวั่นใจ เพราะจำนวนคนบนนั้นเรียกได้ว่าอัดแน่นเป็นปลากระป๋อง แค่จินตนาการว่าต้องเบียดเสียดกับคนแปลกหน้าก็เอาหงุดหงิดจนอยากกรีดร้องแล้ว แต่ทำยังไงได้ล่ะคะ...นี่ไม่ใช่เวลามาเรื่องมากสักหน่อย ขืนรอคันต่อไปซึ่งไม่รู้ว่าจะมาอีกทีตอนไหน ฉันคงได้กลับถึงคอนโดฯ เที่ยงคืนพอดี ตัดสินใจได้ดังนั้นก็ก้าวเท้าขึ้นรถเมล์คันดังกล่าวตามประสาคนไม่มีทางเลือก
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม