1 ความจริงกระแทกใจ

1394 คำ
1 ความจริงกระแทกใจ @ ปารัณ นราวิชญ์ ผมกำลังมองไปยังมุมด้านในของลานจอดรถใต้ตึกโรงแรมหรู ในความมืดสลัวเพราะแสงไฟส่องไม่ถึง ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังกอดจูบลูบคลำกันอย่างเร่าร้อนโดยไม่กลัวว่าจะมีใครเห็น ภาพตรงหน้าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ชั้นนี้เป็นชั้นจอดรถของผับในโรงแรม จึงมักจะมีหนุ่มสาวที่มาเที่ยวทำเรื่องทำนองนี้ให้เห็นอยู่เนืองๆ บางคู่เพิ่งทำความรู้จักกันในผับ ถูกตาต้องใจกัน ก่อนจะไปจบที่เตียงในลักษณะความสัมพันธ์ที่เรียกว่า วันไนต์สแตนด์ คนทั้งคู่อยู่ห่างจากรถผมไปเพียงสองคัน แม้ไม่ได้ยินเสียงพูดคุยของพวกเขา ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของชายหญิงทั้งคู่ได้ชัดเจน ก่อนหน้านั้น ตอนที่สองคนนั่นเดินโอบกอดกันผ่านหน้ารถไป ฝ่ายชายก้มลงพูดอะไรข้างหูเธอสักอย่าง เธอเบือนหน้ามาหัวเราะ ผมจึงเห็นหน้าเธอชัดเจน ผู้หญิงที่กำลังแอ่นอกอวบใหญ่ให้ผู้ชายซุกหน้าเข้าซุกไซ้ดูดกลืน เธอหลับตาพริ้มห่อปากหน้าเชิด สองมือโอบรอบบ่าชายคนนั้น ขยุ้มขยำไหล่ ดึงทึ้งผมของเขาบอกอาการว่ากำลังเสียวซ่านขนาดไหน อึดใจต่อมา เธอถูกพลิกตัวหันหน้าเข้าหากระโปรงรถสปอร์ตสุดหรูราคาหลักสิบล้านอัป ชายคนนั้นตามเข้าประกบด้านหลัง มือผมกำพวงมาลัยรถแน่น เมื่อสองร่างเริ่มโยกโยน... ผู้หญิงที่กำลังถูกอัดกระแทกอย่างถึงพริกถึงขิงคนนั้นคือแฟนผมเอง...ณฤดี “ไพนต์...” เสียงเบาดังขึ้นใกล้ตัว ดึงผมให้ละสายตาจากภาพตรงหน้าหันมามองคนข้างๆ รติมาคือชื่อของเธอ หนึ่งในเพื่อนผู้หญิงที่ผมสนิทสนมด้วยเพราะเราเรียนด้วยกัน “ไม่เป็นไรผิง” เธอยื่นมือมากุมมือผม สายตาอ่อนแสงมีความเข้าใจและเห็นใจ “ฉันอยากดู” ...จนจบ ผมอยากเห็นอยากมองผู้หญิงที่บอกว่ารักผมสุดหัวใจกำลังครวญครางในอ้อมกอดของผู้ชายคนอื่น ใบหน้าแหงนเงยขึ้นจูบคางชายคนนั้นมันเป็นอาการออดอ้อนที่เคยใช้กับผมในตอนที่เธอกำลังจะเสร็จสุขถึงจุดสุดยอด “แล้วมึงจะดูเฉยๆ แบบนี้เหรอวะไอ้ไพนต์ ตองเป็นแฟนมึงนะเว้ย...” “แล้วมึงจะให้กูทำอะไรไอ้ต้า” “ก็...” ไอ้ต้าสบถคำหยาบอย่างไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาใช้ “เธอดูไม่เต็มใจให้มันเอาเหรอ” “แม่ง” มันสบถออกมาอีกคำ “แต่ฝันไม่อยากดูเลย” ชวนฝันพูดขึ้นเบาๆ เธอนั่งอยู่เบาะหลังกับไอ้ต้า นั่นก็เพราะสองคนนี้กำลังคบกัน “ไม่อยากดูก็ไม่ต้องดูสิ” ไอ้ต้าแค่นเสียง เห็นจากหางตาว่ามันดึงฝันเข้าไปซุกอก จากนั้นในรถจึงมีแค่ความเงียบ เสียงกระแทกของชายหญิงคู่นั้นดังมาเข้าหูเพราะในลานจอดรถเงียบมากช่วงห้าทุ่มแบบนี้ ผม ผิง ไอ้ต้าและฝัน คือนักศึกษาแพทย์ปีหกของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคกลาง ชั้นปีนี้เราได้ทำงานกันจริงๆ พวกผมขอออกมาฝึกงานต่างจังหวัด เราเลือกเชียงใหม่ หนึ่งในเหตุผลที่ผมเลือกมาที่นี่ก็คือตอง เธอได้งานในเชียงใหม่เมื่อครึ่งปีก่อน ตองเรียนการตลาด ผมกับเธอคบกันตอนเรียนปีสาม ซึ่งช่วงปีสี่ปีห้าผมเรียนหนักมากแทบไม่มีเวลาให้เธอ การมาฝึกงานใกล้ๆ กันจะทำให้ผมมีเวลาให้เธอมากขึ้น ตองดีใจมากตอนที่ผมย้ายมาใหม่ๆ พอหลังๆ เธอมียุ่งงานมากขึ้น เวลาพบกันของเราน้อยลง ดูเหมือนเธอยุ่งมากจริงๆ ผู้ชายคนนั้นหมุนตองหันหน้าเข้าหา ยกตัวเธอขึ้นนั่งบนฝากระโปรง ก่อนจะเริ่มโยกใส่กันอีกครั้ง ผมคลายมือที่กำพวงมาลัยมากอดอก เอนหลังพิงหนังสดด้วยท่าสบายราวกับบันเทิงเริงใจ จับตามองภาพตรงหน้าไม่กะพริบ อึดใจใหญ่ๆ ต่อมา เธอก็รูดตัวลงนั่งตรงหน้ามัน ไม่ต้องเห็นภาพชัดผมก็รู้ว่าเธอทำอะไร ก่อนที่พวกเราในรถจะขาดอากาศหายใจ ผมเปิดประตู ก้าวไม่กี่ก้าวก็ถึงคนทั้งคู่ เพื่อนผมตามมาเร็วเหมือนกัน “พะ ไพนต์” ตองเรียกชื่อผมอย่างตกใจ ขณะที่ผมกวาดดูสภาพผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าแฟนด้วยสายตาเย็นเยียบ เดรสสายเดี่ยวคอลึก สายข้างหนึ่งหลุดลงมาคล้องแขน เต้าขาวผ่องข้างหนึ่งหลุดออกมานอกเสื้อ อีกข้างหมิ่นเหม่จะหลุดไม่หลุดแหล่ กระโปรงรัดรูปร่นขึ้นมาเหนือบั้นท้าย ผมเบือนสายตาหนี ได้ยินเสียงฝันอุทานเบาๆ ปลุกสติตอง เธอรีบจัดเสื้อผ้าหน้าผมลนลาน ผมตวัดสายตาไปมองคู่สวาทของเธอ มันหาได้มีท่าทีทุกข์ร้อนใจอะไร เก็บหลักฐานเข้ากางเกงด้วยท่าทางเอื่อยสบาย มันมองหน้าผมแวบเดียวแต่ไปหยุดเลิกคิ้วมองเพื่อนผม “ผิง” “พี่กาย ถึงว่าเมื่อกี้ดูคุ้นๆ พี่กลับจากนอกเมื่อไหร่” “รู้จักเหรอ” ผมถามผิง แต่ยังจ้องหน้าหมอนั่น “พี่กายเป็นลูกชายเจ้าของโรง’บาลN น่ะ” ผิงเป็นหลานสาวเจ้าของโรงพยาบาลนั่น ผมจำได้ เธอเคยเล่าว่ามีลูกพี่ลูกน้องห่างกันหลายปีกำลังเรียนหมออยู่ต่างประเทศ ณฤดีทำงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาลนั่น “แล้วนี่พี่กับตอง...” ผมตวัดสายตามามองคนขึ้นชื่อว่าแฟนอีกครั้งเมื่อผิงพูดถึงเธอ ตองแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เธอเชิดหน้ามองผมตอนที่ขยับเข้าไปคล้องแขนหมอนั่น “รู้แล้วก็ดี เราจะได้ไม่ต้องพูดกันเยอะ” “เพื่อนตองเหรอครับ” หมอนั่นถามเธอเสียงนุ่ม สีหน้าเรียบราบไม่เปลี่ยนสี ทั้งที่พวกผมได้เห็นหนังสดเต็มตา “ผมเป็นแฟนตอง” ผมเป็นคนตอบเสียเอง “เมื่อก่อนใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วล่ะไพนต์ ตองกำลังคบกับพี่กาย” “ง่ายดีจริงคนเรา” ผิงแทรกขึ้นลอยๆ “รักกันมาตั้งหลายปี พอจะเลิกก็เลิกง่ายๆ” “ไม่เกี่ยวกับเธอ” ตองกระชากเสียงใส่ผิง “รักกันเหรอ เขาเคยมีเวลาให้ฉันไหม เคยใส่ใจฉันในฐานะแฟนหรือเปล่า ไม่ใช่มีแค่ฉันเหรอที่คอยรอ คอยห่วง เพื่อนอย่างเธอยังใกล้ชิดกับเขามากกว่าฉันอีก” “เธอบ้าหรือเปล่า ฉันกับไพนต์เรียนด้วยกัน เจอกันบ่อยมันแปลกตรงไหน แล้วหมอนี่ก็ไม่เคยนอกใจเธอเลย” “พอเถอะผิง” ผมจับแขนผิงไว้ ดูท่าเธอจะเดือดกว่าผมแล้ว “เราจบกันแค่นี้เถอะไพนต์ ตองรอไพนต์ไม่ไหวอีกแล้วล่ะ แล้วตอนนี้ตองก็รักพี่กาย” เธอแหงนหน้าไปมองมันตาเชื่อมอ่อน หมอนั่นก้มลงยิ้มบางๆ ให้ ผมแสยะยิ้มหยัน “ตอนเห็นเธอเอากับหมอนี่ ฉันก็รู้จุดจบเรื่องของเราแล้วล่ะ สิ่งที่ฉันเกลียดที่สุดก็คือการนอกใจ โกหก สวมเขา” เธอทำมันครบทุกอย่าง โกหกว่ายุ่งงาน ที่ไหนได้ยุ่ง ‘เอา’ กับผู้ชายคนอื่น พอจับได้ยังปั้นหน้าตายไม่รู้สึกผิดสักนิด โคตรจี๊ดใจ หน้าผมชาจนคิดว่าต่อให้ตึกถล่มทับก็คงไม่รู้สึกรู้สา “ขอให้เธอโชคดีก็แล้วกัน” ผมหันหลังให้ เดินออกมาจากตรงนั้น ไม่สนใจอีกแล้วว่า เธอกับมันจะเป็นยังไงต่อไป “พี่กายเรามีเรื่องต้องคุยกันนะ” ผิงหันไปตะโกน ผมกอดไหล่เธอให้เดินมาด้วยกัน มีนักเที่ยวกลุ่มใหญ่ออกมาจากผับ ผมไม่อยากเป็นจุดสนใจ “เอาไงมึง” ไอ้ต้าถามขึ้นเหมือนมันเพิ่งหาปากตัวเองเจอหลังจากยืนเงียบเป็นเป่าสากมานาน “มาผับก็ต้องเที่ยวผับสิวะ” ยักคิ้วให้มัน “ไปเหอะ” ผิงส่ายหัว สีหน้าอ่อนใจ ผมหัวเราะในคอ จับหัวเธอโยกเบาๆ “ฉลองความโสดกันหน่อย”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม